ตอนที่ 1930 มุ่งหน้าไปที่นครเฟิงอวิ๋น (1) / ตอนที่ 1931 มุ่งหน้าไปที่นครเฟิงอวิ๋น (2)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1930 มุ่งหน้าไปที่นครเฟิงอวิ๋น (1)

อาณาจักรเทียนฉี จวนองค์ชายรอง

ทันทีที่ฉีหลิงกำลังจะจากไป เขาก็บังเอิญเดินชนกับสตรีผู้หนึ่ง นางดึงดูดความสนใจเขา “แม่นางอวิ๋น ข้ากำลังจะไปหาท่านแล้วท่านก็มาปรากฏตัวพอดี”

“ข้ามาเพื่อถามว่าพวกเราจะได้ออกเดินทางเมื่อไหร่” อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบมองฉีหลิงขณะที่ถาม

“การประลองระหว่างสี่อาณาจักรถูกจัดขึ้นที่นครเฟิงอวิ๋นซึ่งไกลจากอาณาจักรเทียนฉีมาก พวกเราควรออกเดินทางในอีกสามวัน”

นครเฟิงอวิ๋นงั้นหรือ ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นประกาย

แคว้นนี้เองก็ชื่อเฟิงอวิ๋นหรือว่า…จะเกี่ยวข้องกับนครเฟิงอวิ๋น

ฉีซูที่เดินตามอวิ๋นลั่วเฟิงมาก็สับสนหลังจากที่ได้ยินที่ตั้งของการประลอง “ตอนที่อาจารย์ของข้ามาแคว้นเฟิงอวิ๋น นางก็มาโผล่มาที่นครเฟิงอวิ๋น”

เมื่อได้ยินที่เขาพูด อวิ๋นลั่วเฟิงก็เริ่มครุ่นคิด นางใช้นิ้วลูบคางเบาๆ “ถ้าอย่างั้นเจ้าช่วยอธิบายถึงสถานการณ์ของนครเฟิงอวิ๋นที”

“เอาล่ะ ท่านตามข้ามาเถอะ พวกเราจะได้ไปคุยกันเรื่องนี้อย่างละเอียดในห้องหนังสือ”

ห้องหนังสือของฉีหลิงเรียบง่ายและไม่มีของประดับอะไรเลย ชั้นหนังสือก็เต็มไปด้วยคัมภีร์มากมายจนมีกลิ่นกระดาษอบอวลอยู่จางๆ

หลังจากที่เดินเข้ามา เขาก็สั่งให้องครักษ์สองคนนำเก้าอี้มาวางไว้ใกล้ตัวอวิ๋นลั่วเฟิงและฉีซูเพื่อให้พวกเขาได้นั่ง

“แม่นางอวิ๋น นายน้อยฉีซู ข้าไม่รู้สถานการณ์ในนครเฟิงอวิ๋นมากนัก ข้าคิดว่าคนเดียวที่รู้เรื่องภายในนั้นคือเสด็จพ่อ” ฉีหลิงทำสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าข้ารู้ว่านครเฟิงอวิ๋นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นเฟิงอวิ๋น ถ้านครเฟิงอวิ๋นยังอยู่ก็เท่ากับแคว้นยังอยู่ ในทางกลับกันถ้าเกิดนครเฟิงอวิ๋นถูกทำลาย ทั้งแคว้นเฟิงอวิ๋นและทุกคนก็จะหายไป!”

อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบ

ก่อนหน้านี้สตรีจากตระกูลเฉียนที่พวกเขาจับได้ที่ภูผาสุสานเทพพูดถึงแผ่นดินเทพวิญญาณว่าถูกสร้างขึ้นโดยใครบางคนใช้พลังแยกทั้งสองโลกออกจากกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถ่ายโอนพลังฌานทั้งหมดจากแผ่นนี้ไปที่แผ่นดินเทพวิญญาณ

จากเรื่องนี้แสดงว่าแคว้นเฟิงอวิ๋นกับแผ่นดินวิญญาณคล้ายกันแต่ถูกสร้างขึ้นจากวิธีที่ต่างกัน โดยที่นครเฟิงอวิ๋นเป็นแก่นกลางมิติของแคว้นนี้

ถ้าแก่นกลางมิติเสียหาย แคว้นเฟิงอวิ๋นก็จะหายไปทันที ส่วนคนพวกนี้…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกทำลายโดยกฎของธรรมชาติ พวกเขาก็อาจจะโดนส่งไปที่แคว้นเจ็ดเมือง

แคว้นเฟิงอวิ๋นมียอดฝีมือมากเกินไปและถ้าพวกเขามาโผล่ที่แคว้นเจ็ดเมืองก็จะต้องเกิดปัญหารุนแรงมากแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!

“นอกจากนั้นล่ะ” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาที่เป็นประกายเย็นชา

ฉีหลิงเงียบไปพักหนึ่ง “ทุกคนบนแคว้นนี้กลัวว่านครเฟิงอวิ๋นจะเสียหาย ดังนั้นในสายตาของทุกคนนครเฟิงอวิ๋นจึงเป็นนครปิดตาย นอกจากเหตุการณ์พิเศษอย่างการประลองระหว่างสี่อาณาจักร ในวันปกติก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าไปในนครเฟิงอวิ๋นแม้แต่ก้าวเดียว…”

อวิ๋นลั่วเฟิงคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามต่อ “เจ้าไม่เคยเข้าไปในนครเฟิงอวิ๋นเลยหรือ”

“ข้าไม่เคยเข้าไปในนครเฟิงอวิ๋นมาก่อนเลย อีกอย่างข้าก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา อวิ๋นลั่วเฟิงก็ไม่ได้ถามต่อ ต่อให้นางถามนางก็อาจจะไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรเลยจากเขา

“แต่ว่า…” ฉีหลิงหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หลังจากที่เข้าไปที่นครเฟิงอวิ๋นแล้ว ก็ยังมีสถานที่ต้องห้ามอีกแห่ง!”

“สถานที่อะไร” ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นประกาย

ตอนที่ 1931 มุ่งหน้าไปที่นครเฟิงอวิ๋น (2)

“พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนครเฟิงอวิ๋น” ฉีหลิงหยุดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ “ความจริงแล้ว ไม่มีใครได้เข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีข่าวลือว่าที่นั่นมีสายฟ้าล้อมรอบ แล้วเมื่อใดที่ก้าวเท้าเข้าไปก็จะถูกสายฟ้าผ่าลงมาทันที…แล้วสายฟ้าเหล่านี้ยังน่ากลัวยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ช่วงการผ่านด่านเลื่อนระดับเสียอีก”

มุมปากของอวิ๋นลั่วเฟิงกระตุก สายฟ้าที่น่ากลัวยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์งั้นหรือ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยเจอกับอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ของจริงน่ะสิ!

ถ้านางไม่ได้มีเกราะเกล็ดมังกรป้องกันและมีหุ่นเชิดที่สามารถดูดซับสายฟ้าไว้ได้ล่ะก็ วิญญาณของนางก็คงโดนทำลายภายใต้อัสนีสวรรค์ไปแล้ว สายฟ้าพวกนั้นไม่มีทางเทียบได้กับอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์แน่นอน…

“เจ้าเตรียมกองทัพไปถึงไหนแล้ว” จู่ๆ อวิ๋นลั่วเฟิงก็ถาม

ฉีหลิงตอบอย่างซื่อสัตย์ “ข้าเลือกยอดฝีมือชั้นสูงมาจากคนของข้าแล้ว และระหว่างนี้พวกเราก็จะไม่มีทางแพ้การประลองระหว่างสี่อาณาจักรแน่นอน!”

ขณะที่พูดเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความอหังการจนดูคล้ายว่ามีความสง่างามของราชาผู้คุ้มกฎ เทียบกับองค์ชายสามแล้ว องค์ชายรองฉีหลิงมีความสามารถที่จะนำพาอาณาจักรเทียนฉีไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างชัดเจน

“อีกสามวันไปรอข้าที่หน้าประตูเมือง เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็จะออกเดินทางไปด้วยกัน” หลังจากที่พูดจบ อวิ๋นลั่วเฟิงก็มองฉีหลิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังจากไปโดยมีฉีซูเดินตามหลัง แล้วไม่นานทั้งคู่ก็หายออกไปจากห้องหนังสือ…

สามวันต่อมาที่หน้าประตูเมืองที่คึกคัก ฉีหลิงพร้อมแล้วและกำลังรอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ แต่จู่ๆ เขาสังเกตเห็นองค์ชายสามฉีอวี่นำกองทัพค่อยๆ เดินผ่านไป

สายตาของทั้งคู่ปะทะกันจนเกิดประกายไฟ ดวงตาของฉีอวี่ก็ลุกโชนด้วยความโกรธขณะที่มองฉีหลิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างดูถูก

“หืม มือเจ้าหายดีแล้วหรือ” ฉีหลิงยิ้มเยาะขณะที่ทำสีหน้าสงสัย

เมื่อได้ยินคำถามของฉีหลิง ใบหน้าของฉีอวี่ก็เปลี่ยนไปทันที เขากำมือซ้ายแน่นขณะที่เขาทิ้งมือขวาไว้ข้างตัว

“พี่รอง ถึงแม้ว่ามือของข้าจะพิการ ข้าก็ยังสามารถเอาชนะการประลองระหว่างสี่อาณาจักรได้ ส่วนท่าน….” ฉีหลิงยิ้มเยาะอย่างดูถูก “ท่านก็แค่ถูกราชวงศ์ส่งมาเพื่อเพิ่มจำนวนเท่านั้นเอง”

เสด็จแม่เคยบอกว่าที่ฉีหลิงมุ่งหน้าไปนครเฟิงอวิ๋นก็เพราะเสด็จพ่อส่งเขาไปเพื่อเพิ่มจำนวนเท่านั้น

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับชัยชนะ!

เหตุผลก็เพราะ…ครั้งหนึ่งราชครูเคยบอกไว้ว่าข้ามีโชคชะตาที่จะได้เป็นผู้รวบรวมอาณาจักรทั้งสี่ให้เป็นหนึ่ง! เมื่อนำฉีหลิงมาเทียบกับคนที่โดดเด่นอย่างเขาแล้ว ฉีหลิงก็ถูกกำหนดให้ต้องยิ่งผิดหวัง!

“อย่างนั้นหรือ” ฉีหลิงยิ้มเยาะด้วยท่าทางเหยียดหยามแล้วหันไปมองแขนที่พิการของฉีหลิง “แขนข้างหนึ่งของเจ้าพิการแล้วเจ้ายังจะมีความสามารถอะไรไปคว้าชัยชนะอีกงั้นหรือ”

ฉีอวี่เดินขึ้นมาแล้วเชิดหน้าขึ้นขณะพูดด้วยท่าทางโอหังว่า “ถึงแม้ว่าตอนแรกข้าจะกังวลแต่สิ่งที่เสด็จแม่พูดก็มีเหตุผล ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าคำพยากรณ์ของราชครูอาณาจักรเทียนฉีแม่นยำมาก! ในเมื่อเขาบอกว่าข้าจะเป็นคนที่รวบรวมอาณาจักรทั้งสี่ได้ ข้าจะต้องชนะไม่ว่าข้าอยู่ในสภาพไหนก็ตาม!”

เขาแสดงสีหน้ามั่นใจราวกับว่าเขาจะต้องได้รับชัยชนะแน่นอน

ความจริงแล้วฉีหลิงก็ตระหนักถึงความสามารถในการพยากรณ์ของราชครูเหมือนกัน โดยเฉพาะราชครูที่ยังคงรักษาความอ่อนเยาว์ของเขาไว้ได้แต่ว่า…คำพยากรณ์ของเขาเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว และเวลาสิบปีก็อาจเปลี่ยนคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าตอนแรกฉีอวี่จะมีพรสวรรค์ แต่ว่าหลังจากที่โดนตามใจมาหลายปี เขาก็กลายเป็นบุรุษเสเพลมานานแล้ว