ตอนที่ 593 คันฉ่องหลากสีแปดสมบัติ

พันธกานต์ปราณอัคคี

จื่อซีเจินจวินมีสีหน้าเคร่งขรึม “สหายจิ้งเหยียน เจ้าเจ็บปวดที่สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไป พวกข้าล้วนเห็นใจอย่างยิ่ง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสร้างปัญหาได้อย่างไร้เหตุผลด้วยการไปแอบดูผู้ที่กำลังเข้าคู่บำเพ็ญเพียรกันอยู่!”

สิ้นเสียง ทุกคนก็มีสีหน้าหลากหลาย จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าแดงเถือกสลับกับซีดขาว มุมปากกระตุก โกรธจนพูดไม่ออก

เนิ่นนานถึงได้เอ่ยออกมาตามอารมณ์ “บุตรสาวดับสูญในพรรคของพวกเจ้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย หากสหายทุกท่านใช้เหตุผลนี้ห้ามข้าไม่ให้พบพวกเขาทั้งสองคน ข้าก็คงทำได้เพียงคิดว่าการตายของบุตรสาวเกี่ยวข้องกับพวกเขา!”

เอ่ยจบ ก็เรียกประกาศิตขนนกแดงกลับมาอยู่ในมือ

จื่อซีเจินจวินเลิกคิ้ว “จิ้งเหยียนเจินจวิน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าการใช้ประกาศิตขนนกแดงแล้วพวกข้าจะเชื่อฟัง เจ้าไม่ดูสักหน่อยว่า ศิษย์เหยากวงของพวกข้า ถูกทำให้ตกอกตกใจกันหมดแล้ว จะสู้ก็สู้ หากไม่สู้ เจ้าก็เป็นเพียงเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง!”

เหิงตั๋วเจินจวินที่เอาแต่ยิ้มตาหยีอยู่ตลอดมุมปากแข็งค้าง

ศิษย์น้องจื่อซี เจ้ากลัวว่าโลกนี้จะวุ่นวายไม่พอหรือ

รอจนศิษย์พี่ประมุขพรรคออกจากการกักตน เจ้าเป็นศิษย์น้องสุดที่รักของเขา เขาย่อมทำใจทำร้ายไม่ได้แม้เพียงปลายขน แต่พวกข้านี่สิ ทำอะไรไม่อาจไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็หมดคำพูด!” จิ้งเหยียนเจินจวินเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรสาว และกำลังโกรธเกรี้ยว กำประกาศิตขนนกแดงแน่นพลางยืนขึ้น แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

ปกติแล้วเหิงตั๋วเจินจวินจะมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปกติแล้วหากไม่ออกหน้าได้ก็จะไม่ออกมา เห็นทั้งสองคนสร้างความวุ่นวาย ก็มองคนที่เหลืออีกหลายคนแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เสวียนหั่วเจินจวินใช้มือลูบไปบนหัวล้านๆ ตามจิตสำนึก อยู่กับศิษย์พี่ศิษย์น้องมาหลายปี เขาจึงรู้จักท่าทีดี เสวียนหั่วเจินจวินทำท่าเช่นนี้ ก็คือกำลังขบคิดว่าเรื่องนี้ทำได้หรือไม่

นี่ นี่ต้องขบคิดอะไรอีก แน่นอนว่าย่อมไม่ได้!

เหิงตั๋วเจินจวินเกือบจะร่ำไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาลืมไปได้อย่างไร เสวียนหั่วเจินจวินเองก็เป็นคนที่ทนกับความคับแค้นใจไม่ได้ ที่ยอมทนจนเรียกพวกเขามาได้นี่ก็สามารถเรียกฝนแดงให้กระหน่ำลงมาได้แล้ว สุสานบรรพบุรุษเหยากวงแมบจะมีควันสีเขียวทะลักออกมาแล้ว

ศิษย์น้องจื่อซีและศิษย์พี่เสวียนฮั่ว คนหนึ่งหยิบฟืน คนหนึ่งจุดไฟ คราวนี้นับว่าครบครันแล้ว

เหิงตั๋วเจินจวินใช้สายตารอคอยมองไปยังกู้หลี กลับพบว่าเขานั่งอย่างสบายอารมณ์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เหิงตั๋วเจินจวินพลันตกตะลึง

ศิษย์พี่เหอกวงมีนิสัยไม่แยแสมากที่สุด คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

บางทีในใจอาจจะร้อนรน ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้นในความคิด พลันเข้าใจขึ้นมาในทันที ศิษย์พี่ผู้นี้รักลูกศิษย์มากกว่าศิษย์พี่ประมุขพรรคเสียอีก จิ้งเหยียนเจินจวินอยากดูศิษย์ของเขาเข้าคู่บำเพ็ญเพียร เขาตอบตกลงก็แปลกแล้ว!

นี่หากเปลี่ยนเป็นบุตรสาวของเขา ผู้อื่นมีความคิดนี้ เขาก็ต้องสู้กับคนผู้นั้นอย่างสุดชีวิต

เหิงตั๋วเจินจวินโอบกอดความคิดเข้าอกเข้าใจพลางยืนขึ้นด้วยสีหน้าจนปัญญา แล้วห้ามจิ้งเหยียนเจินจวิน “สหายจิ้งเหยียน อย่าบุ่มบ่ามเลย เรื่องนี้มีวิธีจัดการอยู่..”

สิ้นเสียง สามเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกัน “จะจัดการอย่างไร”

จิ้งเหยียนเจินจวิน จื่อซีเจินจวิน และเสวียนหั่วเจินจวินมองมาทางเขาพร้อมกัน

ผู้เดียวที่ไม่ขยับดุจภูผาก็คือกู้หลี ก้มหน้ากำลังคิดดอะไรอยู่ก็สุดจะรู้ได้

เหิงตั๋วเจินจวินแค่ห้ามคนเอาไว้อย่างร้อนรน ไหนเลยจะมีความคิดอะไรดีๆ ลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “ลั่วหยางเจินจวินและชิงเฉิงเจินจวินกำลังกักตนเข้าคู่บำเพ็ญเพียรอยู่จริงๆ ในเมื่อสหายจิ้งเหยียนดึงดันจะพบหน้าพวกเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้ ทว่าตอนนี้ไม่สะดวกจริงๆ ไม่สู้พักอยู่ที่พรรคของข้า รอให้พวกเขาออกจากการกักตนกันก่อน”

“พวกกเขากักตนมานานเท่าไหร่แล้ว” จิ้งเหยียนเจินจวินเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“อืม สิบปี” เหิงตั๋วเจินจวินเอ่ยตามความจริง

จิ้งเหยียนเจินจวินสูดลมหายเข้าใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “เช่นนั้น ขอบังอาจเรียนถามสหายเหิงตั๋ว พวกเขาจะออกมาตอนไหน”

เหิงตั๋วเจินจวินเอ่ยอย่างลำบากใจ “บางทีอาจจะช่วงนี้กระมัง บางทีอาจจะอีกสามถึงห้าปี สหายจิ้งเหยียนท่านก็รู้ เมื่ออยู่ในระดับนี้อย่างพวกเรา การกักตนครั้งหนึ่งใช้เวลาเท่าไหร่ก็พูดยาก อีกอย่างพวกเขาก็มีสองคน”

เสียงอู้อี้ดังขึ้น จิ้งเหยียนเจินจวินกระทืบศิลาหยกบนพื้นในวิหารหลักจนเป็นรอยเท้า โกรธเกรี้ยวอย่างสุดๆ แต่กลับฉีกยิ้ม “ดังนั้น สหายเหิงตั๋วกำลังล้อเล่นกับข้าอยู่หรือ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเหิงตั๋วเจินจวินแข็งค้าง ก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอตัวลา!”

จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าตัดสินใจ ออกไปจากวิหาร ร่างของจื่อซีเจินจวินขยับมาขวางไว้ด้านหน้าเขา ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบอะไรสร้างเป็นหอกยาวสีเขียวควงหมุนวนแทงไปทางเขาอย่างรวดเร็ว

จิ้งเหยียนเจินจวินสลัดกระดองเต่าสีดำออกมาจากแขนเสื้อกว้าง ต้านทานหอกยาวสีเขียวเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี

หอกยาวสีเขียวต้านดองเต่าจนหมุนวนอย่างรวดเร็ว เกิดประกายแสงสีเขียววเป็นจุดๆ เจิดจ้าอย่างหาที่เปรียบมิได้

จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าเย็นชา ควบคุมกระดองเต่าสีดำบีบประชิดไปด้านหน้า

แม้ว่าจื่อซีเจินจวินจะได้ประโยชน์มาไม่น้อยจากแดนลับ แต่พลังยุทธ์และประสบการณ์การต่อสู้ ก็แตกต่างกับจิ้งเหยียนเจินจวินที่เลื่องชื่อว่าเฟื่องฟูไม่ได้

แค่ประมือกันก็ตกเป็นรอง ถูกกระดองเต่าสีดำบีบจนถอยร่นไป

“ไร้สาระ!” เสียงทุ้มต่ำดังมา ชั่วพริบตาแรงกดอันน่าตกตะลึงก็แผ่ไปทั่วทั้งวิหารหลัก

ทั้งสองคนที่ประมือกันอยู่หยุดลงพร้อมกัน

“อาจารย์…” จื่อซีเจินจวินมีสีหน้ายินดี เก็บหอกสีเขียววิ่งไปทางหลิวซางเจินจวิน

เมื่อเข้ามาประชิด ก็ดึงแขนเสื้อของเขาไว้ตามความเคยชิน

หลิวซางเจินจวินกระแอมไอทีหนึ่ง

จื่อซีเจินจวินหยุดมือพร้อมกับยิ้มเยาะ มองท่านอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านออกมาจากการกักตนได้อย่างไร”

หลิวซางเจินจวินถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง กลับไม่อธิบาย เดินมาอยู่ตรงหน้าจิ้งเหยียนเจินจวิน ทำการคารวะผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้วเอ่ยว่า “สหายจิ้งเหยียน พวกเขาไม่รู้อะไร ทำให้เจ้าเห็นเรื่องขบขันแล้ว”

จิ้งเหยียนเจินจวินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย หากสู้จริงๆ พวกเขาร่วมมือกันต่อให้ชนะได้ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ทำร้ายศัตรูจนตนเองได้รับบาดเจ็บไปด้วย

เช่นนั้น เหยากวงและลั่วสยาทั้งสองก็ต้องแตกหักอย่างสมบูรณ์

สี่สำนักแปดพรรคระดับเดียวกัน มีชื่อเสียงในโลกผู้บำเพ็ญเพียร มหาสงครามระหว่างพรรคสำนักเป็นสิ่งที่น่าอนาถที่สุด ต่อให้ชนะแล้วอย่างไร ไม่ใช่การทำให้รากฐานได้รับบาดเจ็บจนทำให้พรรคอื่นฉวยโอกาสได้หรอกหรือ

หลิวซางเจินจวินใช้สายตาเหลือบมองเสวียนหั่วเจินจวินและพวกทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วลอบพยักหน้า

พวกเขาเองก็นับว่ามีสติปัญญา หากเมื่อครู่ลงมือช่วยกันโจมตี นั่นก็เป็นจุดจบที่ไม่ดีแล้ว

“พี่หลิวซาง วาจาสุภาพไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ ข้าอยากพบลั่วหยางเจินจวินและชิงเฉินเจินจวินเป็นเรื่องที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน หากเห็นพวกเขาสองคน มั่นใจว่าไม่ใช่ฆาตกร เช่นนั้นข้าก็จะยอมรับ ไม่ซักไซ้เรื่องนี้อีก หากพวกเขาเป็นฆาตกรจริงๆ ก็ขอให้พี่หลิวซางให้ความเป็นธรรมด้วย” จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน

เพราะว่ามีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา โคมดวงจิตประจำกายจึงไม่ได้อาจตามรอยที่แน่นอนได้ จึงทำได้เพียงกำหนดอาณาบริเวณว่าเป็นพรรคเหยากวงเท่านั้น

หากไม่ใช่ฝีมือของศิษย์ของเหยากวง ที่อาจจะเป็นไปได้ที่เหลือก็คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ผ่านทางมาแถวพรรคเหยากวง

แต่นี่จะทำให้เขาเชื่อได้อย่างไร

ต่อให้ซิ่วเอ๋อร์ไม่เอาไหน แต่ในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันก็เหนือกว่าอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

มีผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษในระดับเดียวกันกี่คนที่สามารถสังหารนางได้ หรือว่าอยู่ใต้จมูกพรรคเหยากวง

และยิ่งไปกว่านั้น ซิ่วเอ๋อร์ยังเคยขอห่วงคืนธุลี ยามนี้คิดดูแล้ว ก็คืออยากเข้ามาในเหยากวง เพื่อพบเยี่ยเทียนหยวนสักครั้ง

เยี่ยเทียนหยวน เจ้าเด็กนี้เป็นดาวมารของบุตรสาวจริงๆ

เมื่อพานพบก็จมลงสู่มาร เผชิญมหาสมุทรทุกข์ก็ไร้ขอบเขต สุดท้ายก็ต้องเอาชีวิตไปสังเวย!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จิ้งเหยียนเจินจวินก็รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้ว่าสงสารบุตรสาวหรือกำลังโกรธแค้นกันแน่

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญท่านไปที่ยอดเขาลั่วเฉินเถิด” หลิวซางเจินจวินรู้ว่าหากปฏิเสธ จิ้งเหยียนเจินจวินคงไม่ยอมลดละง่ายๆ จึงให้เขาไปดูให้เห็นกับตาเสียเลย

อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่า ในเหยากวงผู้ใดก็ไม่อาจสังหารหร่วนหลิงซิ่วได้ ไม่มีทางเป็นพวกเขาสองคนแน่

“ศิษย์พี่ประมุขพรรค…” เสวียนหั่วเจินจวินตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ

กู้หลีช้อนสายตาขึ้นมองท่านอาจารย์

หลิวซางเจินจวินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ ฝ่าเท้ามีเมฆวนปรากฏขึ้น บรรทุกเขาลอยไปยังยอดเขาลั่วเฉินอย่างช้าๆ

ทุกคนพลันตามไป

หลิวซางเจินจวินเป็นประมุขพรรคเหยากวง รู้จักอาคมเข้าค่ายกลทั้งหมดของยอดเขาหลัก จึงร่ายนิ้วไปมาอยู่กลางอากาศ ปล่อยลำแสงวิญญาณออกไปสายหนึ่ง พื้นดินแยกออกจากกันเป็นทางเล็กๆ

ทุกคนเหยียบลงบนกลีบดอกท้อเรียงรายเดินเข้าไปในยอดเขาลั่วเฉิน

ผู้ที่พักอยู่ในยอดเขาลั่วเฉิน นอกจากพวกมั่วชิงเฉินสามีภรรยาแล้ว ก็มีตู้รั่ว เหลียงเฉิน เหมยจิ่ง และมั่วหนิงโหรว

ตู้รั่วตายแล้ว เหลียงเฉินเหมยจิ่งออกไปหาประสบการณ์เมื่อหลายปีก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

ส่วนมั่วหนิงโหรวนั้นเป็นเพราะคำเตือนของมั่วชิงเฉินก่อนไป เมื่อคิดออกแล้ว ก็ไม่สิ้นเปลืองวันเวลาอีก กลับไปที่ทะเลขนาบใจ

มั่วชิงเฉินเกิดเรื่อง ยอดเขาลั่วเฉินก็แทบจะไม่มีศิษย์เยื้องย่างเข้าไป และยิ่งไม่มีผู้ใดดูแล ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสวรรค์คอยเลี้ยงดู แค่มองก็ดูเหมือนสถานที่ที่ไร้ผู้คนอาศัยมาเนิ่นนาน

จิ้งเหยียนเจินจวินเหยียบย่างเข้าไป ก็ขมวดคิ้ว หรือว่า เขาจะเดาผิด

หลิวซางเจินจวินนำอยู่ด้านหน้าเขา “สหายจิ้งเหยียนโปรดดูเถิด ลั่วหยางและชิงเฉินเข้าคู่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็รู้ การกักตนนั้นไม่ชอบให้คนมารบกวน ค่ายกลป้องกันชั้นนี้เป็นพวกเขาดัดแปลงขึ้นเอง ข้าเองก็ไม่อาจเปิดได้”

ความจริงแล้วค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่หลิวซางเจินจวินสร้างขึ้น แต่ถูกมั่วหลีลั่วดัดแปลงไปหลายจุด ผู้อื่นจึงแยกแยะไม่ออกเลยสักนิด

“เช่นนั้นสหายหลิวซางก็พาข้ามาดูบรรยากาศหรือ” เจินจวินจิ้งเหียนเลิกคิ้วเอ่ยถาม

หลิวซางเจินจวินหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา เป็นคันฉ่องแปดเหลี่ยม แล้วอธิบายว่า “นี่คือคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติ ให้ประมุขพรรคเหยากวงดูแลรักษามาตั้งแต่อดีต มองเห็นทุกอย่างในพรรคได้ คิดดูแล้วสำนักของท่านก็คงมีของประเภทนี้สินะ”

จิ้งเหยียนเจินจวินฝืนพยักหน้า

อำนาจทั้งหมดของประมุขพรรคไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ เขาในฐานะเจ้าสำนักลั่วสยาแน่นอนว่าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ

แน่นอนว่าการที่บอกว่าเห็นทุกอย่างในพรรคได้ ไม่ได้หมายความว่าอาวุโสของพรรคจะทำได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องสอดคล้องกับเงื่อนไขข้อหนึ่ง

เหมือนกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ไม่นับว่าผิดกฎ

หลิวซางเจินจวินเองก็ไม่พูดมาก ร่ายนิ้ว คันฉ่องหลากสีแปดสมบัติค่อยๆ ลอยขึ้น ลำแสงต่างๆ เปล่งแสงเจิดจ้า ค่อยๆ หมุนวนอย่างเชื่องช้า

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านหนึ่งก็หันมาหาทุกคน สั่นไหวราวกับระลอกคลื่นวารี

พวกเขาล้วนเบิกตาจ้องมอง

แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่ามั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนไม่ได้กำลังเข้าคู่บำเพ็ญเพียร จึงไม่มีทางปรากฏภาพไม่น่าดู และก็ไม่ได้ละเมิดข้อห้าม

มีเพียงกู้หลี ที่หันกายไปอย่างเงียบๆ

จื่อซีเจินจวินหางตารื้นน้ำตา ถอนใจเงียบๆ

กระจกกลับมาราบเรียบอย่างรวดเร็ว เผยทัศนียภาพหนึ่งออกมา

เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินสวมชุดสีเขียว นอนเคียงไหล่กัน สองมือกุมกัน ดูราวกับกำลังหลับสนิทอย่างไรอย่างนั้น

ผิวกระจกมีระลอกคลื่น ทัศนียภาพหายไป หลิวซางเจินจวินมองจิ้งเหยียนเจินจวิน “ครานี้ สหายจิ้งเหยียนเชื่อหรือยัง”

เข้าคู่บำเพ็ญเพียร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการประสานจิตวิญญาณกัน สถานการณ์ของพวกเขาดูแล้วแม้ว่าจะแปลกประหลาดไปเล็กน้อย แต่กลับกล่าวว่าผิดไม่ได้

จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าดูไม่ได้ ผ่านไปชั่วครู่สุดท้ายก็เอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “รบกวนแล้ว ข้าขอตัวลา”

ในขณะที่กลุ่มคนกำลังจากไป ฉับพลันนั้นลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นลำแสงนั้นกลายรูปปั้นหินแกะสลักอันน่าตกตะลึง