บทที่ 8 ก้าวย่างหมอกอสรพิษ
การได้พบกับกู่ชิงลั่วในครานั้นได้กลายเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในชีวิตอันมืดมิดของซูเฉิน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กู่ชิงลั่วกับซูเฉินก็กลายเป็นสหายกัน มิตรภาพระหว่างพวกเขาลึกซึ้งขึ้นจนสนิทกันถึงขั้นที่พูดกันได้แทบจะทุกเรื่องอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนี้ ถูกทั้งคู่เก็บเป็นความลับและไม่มีใครรู้เรื่องนี้
นั่นเพราะกู่ชิงลั่ว เป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิน
ตระกูลหลินเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลินเป่ย
เมืองหลินเป่ยเป็นเพียงเมืองชายแดนขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างและสันโดษ ดังนั้นจึงไม่มีตระกูลทรงพลังที่เต็มใจจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ตระกูลเลือดผสมทั้งสี่จึงสามารถกลายเป็นเจ้าบ้านของพื้นที่นี้ได้
แม้จะเป็นสถานที่ห่างไกลและไร้ผู้คน แต่ก็ยังคงมีการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างขุมกำลัง
กล่าวได้ว่าทั้งสี่ตระกูลใหญ่นั้น ไม่มีใครญาติดีกับใครและมีความขัดแย้งระหว่างกันอยู่เสมอ พวกเขาใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ตระกูลของตนได้มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลินเป่ย แน่นอนความสัมพันธ์แย่ ๆ ระหว่างตระกูลพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะกล่าวถึง
กู่ชิงลั่วเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิน มันไม่เหมาะนักที่นางจะมาเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับซูเฉิน
อย่างไรก็ตาม อารมณ์พื้นฐานของเยาวชนนั้นคือการต่อต้าน แนวคิดเช่นการสนใจในผลประโยชน์ของตระกูลเป็นมุมมองที่ยังห่างไกลเกินไปสำหรับเด็กหญิงอายุ 14 ปี และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่นางเต็มใจจะคิดเกี่ยวกับมัน นางเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณและความสนใจของนางเท่านั้น
ในมุมมองของกู่ชิงลั่ว ซูเฉินเป็นเด็กชายที่สงบสุขุมอย่างน่าประทับใจ เขาอ่อนโยนและมีน้ำใจ
ลักษณะเหล่านี้มักจะมีเสน่ห์ดึงดูดผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มผู้ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ซูเฉินที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านั้นเปรียบเสมือนนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่
แม้ว่าดวงตาของเด็กชายจะมองไม่เห็น แต่หัวใจของเขาก็งดงาม
เมื่ออยู่กับซูเฉิน กู่ชิงลั่วไม่เคยมีความรู้สึกว่านางกำลังดูแลคนตาบอดเลย แต่บ่อยครั้งกลับรู้สึกว่าตัวนางต่างหากที่ได้รับการดูแลจากซูเฉิน
ด้วยเหตุนี้กู่ชิงลั่วจึงไม่สนใจเรื่องของความขัดแย้งระหว่างตระกูลและกลายเป็นเพื่อนกับซูเฉิน
แน่นอนว่ามันจำกัดอยู่ที่แค่เพื่อน
กู่ชิงลั่วมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่มาที่ภูเขาด้านหลังของตระกูลซูเพื่อมาหาซูเฉิน ด้วยทิวทัศน์อันงดงามที่น่าหลงใหลของที่นี่และยังอยู่ไกลจากเมือง นางจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องที่จะมีคนมาเจอ
น้ำบนฤดูใบไม้ผลิของภูเขาสดชื่นและเหมาะสำหรับการอาบน้ำอย่างมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มาอาบน้ำที่นี่กู่ชิงลั่วก็เริ่มหลงรักภูเขาแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงมักจะมาที่นี่เพื่ออาบน้ำ
ด้วยการรวมกันที่หายากของการเป็นทั้งคนตาบอดและมีความสามารถในการสัมผัสสภาพแวดล้อมของซูเฉิน ทำให้เขาได้กลายเป็นคนยามเฝ้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้แก่นาง
ผลที่ได้คือมันกลายเป็นความสุขอีกแบบหนึ่งในชีวิตของซูเฉิน การได้เอนกายข้างต้นไม้ ฟังเสียงน้ำกระเซ็น และจินตนาการถึงท่าทาง ๆ ของกู่ชิงลั่วในขณะที่นางกำลังอาบน้ำ
วันนี้ก็เป็นเช่นเดิม
ซูเฉินนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ริมน้ำ
สายลมพัดผ่าน ใบไม้ที่ตายแล้วลอยลงมาที่ด้านหลังของซูเฉิน
ซูเฉินไม่ได้หันกลับไปมองที่ด้านหลังของเขา เด็กชายมองไปที่ฝั่งซ้ายด้านหน้าของตน “เจ้าอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?”
ร่างของกู่ชิงลั่วปรากฏขึ้นและปรบมือด้วยรอยยิ้ม “เจ้าชนะอีกแล้ว นี่เจ้าตาบอดจริง ๆ เหรอ?”
เกมนี้เป็นเกมที่ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเล่นกันอยู่บ่อยครั้ง โดยที่ซูเฉินจะเป็นคนคอยเดาว่ากู่ชิงลั่วอยู่ตรงไหน
ทว่าโดยส่วนมากแล้วซูเฉินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อย่างไรเสียกับผู้ที่จงใจซ่อนตัวจากเขา สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ไม่ทำให้เสียงใด ๆ เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าการได้ยินของซูเฉินจะเฉียบคม แต่ก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กชายที่จะสัมผัสได้
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ซูเฉินก็ไม่ได้ท้อใจแต่อย่างใด เขายังคงเล่นเกมนี้กับกู่ชิงลั่วต่อ เมื่อผ่านไปสักพักเด็กชายก็เริ่มที่จะคาดเดาตำแหน่งของกู่ชิงลั่วได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
ตอนนั้นเองกู่ชิงลั่วก็ถามขึ้น “นี่ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน? เจ้าเดาถูกมาสามครั้งติดแล้ว ข้าเคลื่อนไหวอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเชียวนะ”
“นั่นเป็นเพราะการไหลของอากาศและการเต้นของหัวใจ” ซูเฉินตอบ “เจ้าสามารถซ่อนฝีเท้าของเจ้าได้ แต่เจ้าไม่อาจซ่อนเสียงการเต้นของหัวใจได้ ตัวตนของเจ้ายังส่งผลต่อไหลเวียนของอากาศรอบ ๆ ด้วย ตราบใดที่ข้ารู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้า”
“เจ้าสามารถทำได้ถึงขั้นนั้นแล้วหรือ?” กู่ชิงลั่วถามด้วยความตกใจ
“ข้าต้องขอบใจความช่วยเหลือของเจ้าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้” ซูเฉินยิ้มอย่างแผ่วเบา
“เจ้าจะขอบคุณข้าไปเพื่ออะไรกัน? ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะความพยายามของเจ้า” กู่ชิงลั่วกลอกตามองไปที่ซูเฉิน มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่เขามองไม่เห็น เป็นเพราะสายตาที่มีเสน่ห์ของเธอไม่มีผลกับคนตาบอด
กู่ชิงลั่วเดินตรงไปที่สระน้ำ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงน้ำก็ดังขึ้นให้ได้ยิน นางกำลังอาบน้ำอยู่
แม้ว่าจะตาบอด แต่ซูเฉินก็ไม่เคยแอบเข้าไปใกล้สระน้ำ
ซูเฉินนั่งลงและฟังอย่างระมัดระวัง
โชคร้ายที่แม้ว่าซูเฉินจะรับรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้จากเสียง แต่เด็กชายก็ไม่เห็นอะไรเลยอยู่ดี
ซูเฉินไม่เคยรู้เลยว่ากู่ชิงลั่วมีหน้าตาเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่รู้เลยว่าท่าทางของนางขณะอาบน้ำนั้นงดงามแค่ไหน
ความหดหู่จาง ๆ ปรากฏอยู่ภายในใจของเขา และความเจ็บปวดเล็ก ๆ นั้นก็ทำให้เด็กชายรู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง
แม้ซูเฉินจะยังไม่ยอมแพ้ แต่ใครจะสามารถรับรองได้ว่าเด็กชายจะยังคงเข้มแข็งเช่นนี้ได้ต่อไปเรื่อย ๆ กัน? เมื่อยามที่เขาตื่นขึ้นมาจากความฝันในกลางดึก เสื้อของซูเฉินมักเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาหลายต่อหลายครั้ง
ความรู้สึกอ่อนแอของซูเฉินปรากฏขึ้นเพียงครู่เดียว ก่อนจะถูกเขาเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นซูเฉินก็จะต้องอดทนต่อไป เขาไม่สามารถที่จะล้มลงได้ ต่อให้ทั้งโลกจะยอมแพ้ในตัวเขา แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อตัวเอง!
ซูเฉินได้ยินเสียงของกู่ชิงลั่วดังขึ้น “ซูเฉิน ข้าได้ยินมาว่าอีกไม่นานก็จะถึงช่วงเวลาของการประเมินสิ้นปีของตระกูลซูแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่” ซูเฉินตอบด้วยเสียงเบา ๆ
“ข้าได้ยินมาว่าในครั้งนี้กฎมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ผู้ได้รับอันดับแรกของการประเมินจะต้องผ่านการท้าทายอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนที่จะได้รับการยอมรับงั้นหรือ?”
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ กู่ชิงลั่วที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ในตอนแรก ตอนนี้นางเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับซูเฉินและตระกูลซูมากได้สักพักแล้ว
“ถูกต้อง” ซูเฉินตอบกลับ
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” กู่ชิงลั่วมองไปที่ซูเฉิน
ซูเฉินยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม “ข้าก็แค่ไปสู้”
ข้าก็แค่ไปสู้?
กู่ชิงลั่วตกตะลึง
พูดง่าย แต่ยังไงท้ายที่สุดซูเฉินก็ยังคงตาบอดอยู่ดี
แม้ว่าหูของซูเฉินจะสามารถแยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้มากมาย แต่พวกมันก็ไม่สามารถมาแทนที่ดวงตาของเด็กชายได้ บนเวทีเขาจะไม่มีทางได้รับโอกาสให้ฟังเสียงลม เมื่อมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยฝ่ายตรงข้ามของเขาจะต้องคว้าโอกาสนั้นและเอาชนะตนเองอย่างแน่นอน!
ซูเฉินไม่มีโอกาสเลย
ทว่ากู่ชิงลั่วไม่ได้พูดคำเหล่านั้นออกมา นางไม่ใช่พ่อของซูเฉิน นางจึงสามารถเข้าใจซูเฉินและเคารพเขายิ่งขึ้น
นางไม่ต้องการดูถูกความฝันและทำลายความหวังของ ซูเฉิน
หลังจากที่คิดแล้ว กู่ชิงลั่วก็กกล่าวว่า “ข้าจะสอนก้าวย่างหมอกอสรพิษให้เจ้า”
“อะไรนะ?” ซูเฉินตกตะลึง
ตระกูลกู่จากเมืองหลงซีครอบครองอยู่สามทักษะ ก้าวย่างหมอกอสรพิษคือหนึ่งในนั้น ว่ากันว่ามันเป็นทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดแต่คล่องตัวเป็นอย่างมาก เมื่อใช้ออกเต็มกำลัง มันจะทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจนยากที่จะตามจับได้ทัน มันเป็นทักษะป้องกันที่คอยปกป้องคนในตระกูลกู่
เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ชิงลั่ว ซูเฉินก็เอ่ยตอบตามสัญชาตญาณ “เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ? เจ้าได้รับอนุญาตให้สอนทักษะป้องกันตัวของตระกูลให้คนนอกหรืออย่างไร?”
กู่ชิงลั่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก้าวย่างหมอกอสรพิษเป็นทักษะลับทางสายเลือด หากเจ้าไม่มีสายเลือดที่ใช่ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าข้าจะสอนเจ้าไป มันก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง”
ในโลกใบนี้ สายเลือดถือเป็นกุญแจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จแต่ละบุคคล
แม้จะมีการพัฒนามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่คนผู้ที่มีทักษะการฝึกตน ก็ไม่อาจเทียบกับผู้ที่ได้รับมรดกที่สืบต่อทางสายเลือดได้
นักรบที่พยายามอย่างหนักมานานหลายปี ก็ยังอาจจะไม่สามารถเทียบได้สัตว์ร้ายที่ครองสายเลือดที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วได้
โลกนี้ปราศจากความยุติธรรม การสืบทอดสายเลือดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของเรื่องนี้
ก้าวย่างหมอกอสรพิษของตระกูลกู่ก็เช่นเดียวกัน
มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือท่าร่างการเคลื่อนไหว อีกหนึ่งคือมรดกของสายเลือดที่สืบทอด
มีเพียงผู้ที่สืบทอดสายเลือดเท่านั้น จึงจะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงของก้าวย่างหมอกอสรพิษออกมาได้ แม้ว่าจะได้เรียนรู้ทักษะท่าร่างการเคลื่อนไหวไป ก็ได้ไปเพียงแค่เปลือกเท่านั้น ไม่อาจบรรลุถึงจุดสำคัญของมันได้
นี่คือเหตุผลที่กู่ชิงลั่วกล้าที่จะสอนก้าวย่างหมอกอสรพิษให้กับซูเฉิน
ในโลกนี้ ทักษะไม่ใช่สิ่งที่ถูกห้าม แต่เป็นสายเลือด!
แน่นอนว่าแม้ว่าจะไม่ถูกห้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถส่งต่อมันให้ใครก็ได้ ดังนั้นกู่ชิงลั่วขอร้องซูเฉิน พยายามไม่ใช้ท่าร่างเท้านี้ต่อหน้าผู้อื่นหากไม่จำเป็นจริง ๆ