ตอนกินข้าวเย็น มกรโวยวายจะใช้เมล็ดต้นพันงูเขียวมากินแทนข้าว ตอนบ่ายเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ยุ่งแต่เก็บเมล็ดใต้ต้นมาได้สองถุงผ้าเล็กๆ อวี่ซือเฟิ่งไม่อาจขัดเขา ได้แต่เก็บข้าวขึ้น ไปต้มเมล็ดต้นพันงูเขียวให้เขา
เขาสองคนส่งเสียงเอะอะอยู่ในครัว เสวียนจีกำลังเปลี่ยนยาอยู่ในห้องนอน ยาสมุนไพรที่อวี่ซือเฟิ่งเก็บมาหลายชนิดเติมลงไปในยาแผลลวกตัวเดิม พอทาลงไปก็ไม่รู้สึกเจ็บดังคาด แอบมีความรู้สึกเย็นสบายอยู่บ้าง เพียงแต่แผลลวกทั้งสองแห่งนี้เจ็บจนยากจะทานทนจริงๆ ถุงน้ำพองที่สะกิดแตกก็บวมขึ้นมามาก ประเด็นคือแผลลวกนี้อยู่บนท่อนขาตรงเนื้อส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุด ตอนทายาเจ็บจนนางเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
วันนี้นางเหมือนเด็กโง่จริงๆ ในใจเสวียนจีแอบนึกเยาะตนเอง เอาแต่วาดหวัง เอาแต่ตามหา ในที่สุดพอได้พบกันแล้ว กลับกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ความหวังยิ่งมากก็ยิ่งผิดหวังมาก
อวี่ซือเฟิ่งประคองนางลงจากเขา ไม่พูดอะไรอีกเลย นางเอาแต่กำลังเศร้าเสียใจ ร้องไห้จนสติเลอะเลือน แต่ไม่ว่าอย่างไรในที่สุดก็ได้เจอเขา นางกอดเขาไว้แน่น เหมือนตัวเขาจะสูงขึ้นมาก กล้ามเนื้อยังหนั่นแน่นขึ้นมาก ไม่ใช่ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางอีกแล้ว คิดว่าในสายตาเขา นางเองก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน อย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบสองปี
นางไม่รู้ว่าวันหน้าจะทำเช่นไร ไม่สู้ก้าวไปคิดไปก็แล้วกัน รักษาตัวที่นี่ให้หายก่อน ปฏิบัติการตามเฟิ่งไม่ควรจบลงที่ตามหาเขาพบ ฉู่เสวียนจี เจ้าต้องพยายามยิ่งขึ้น หลิงหลงกับศิษย์พี่หกหมั้นหมายกันแล้ว ใกล้จะจัดพิธีแต่งงานแล้ว เจ้ายังมัวแต่เงื้อง่าอยู่ที่นี่ กลับไปต้องถูกหลิงหลงหัวเราะใส่แน่เลย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็จะดื้อดึงไม่ยอมไปจากที่นี่ เป็นวิธีการดี!
เสวียนจีกำลังเก็บผ้าพันแผลที่ใช้แล้วอยู่ พลันได้ยินคนเรียกคุณชายอี้อยู่หน้าประตู นางรีบวิ่งออกไป เห็นดรุณีน้อยเปียยาวยืนอยู่หน้ารั้ว เป็นหลันหลัน เด็กหญิงผู้นี้เมื่อก่อนก็ไม่ได้รู้สึกดีกับนาง ยามนี้ได้เห็นนางมาอยู่ในบ้านคุณชายอี้ ยังเหมือนเคยรู้จักกับเขา ก็ยิ่งอดโมโหไม่ได้ ถามนางตรงๆ ว่า “ทำไมเจ้าเข้าบ้านคนอื่นตามใจชอบ! เขาอยู่คนเดียวนะ!”
เสวียนจีอึ้งไปครู่หนึ่งราวกับยังไม่ได้สติ คุณชายอี้คือผู้ใด อยู่ๆ ก็วาบขึ้นมาในใจ เข้าใจแล้วว่านางพูดถึงอวี่ซือเฟิ่ง ฮาๆ ทำไมเขาจึงนึกใช้ชื่อประหลาดนี่ได้ แต่ก็เหมาะกับสถานะเขามาก เขาเป็นครุฑสิบสองก้านปีก คุณชายอี้คำนี้เหมาะมากที่สุด ก่อนหน้านี้นางถึงกับไม่ทันสังเกต
นางกล่าวว่า “ข้ากับคุณชายอี้…อืม เป็นสหายเก่าหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงเขามาอยู่ที่นี่ พอดีไม่เจอกันมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นว่าจะพักชั่วคราวสักสองสามวัน แม่นางหลันหลันมาหาเขามีธุระหรือ ตอนนี้เขากำลังทำกับข้าวอยู่”
หลันหลันกระทืบเท้ากล่าวว่า “ทำไมเจ้าให้คนเขาทำกับข้าวให้! เจ้า…เจ้าจริงๆ เลย!” นางก้มลงวางของที่ถือมาลงบนพื้น ที่แท้ก็คือไข่ไก่ตะกร้าหนึ่ง นางกล่าวอีกว่า “นี่ไข่ที่แม่ไก่บ้านข้าเพิ่งฟัก ท่านแม่ให้ข้าเอามาให้คุณชายอี้ลองชิม เจ้า…เจ้าจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน?”
เสวียนจีนึกได้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้รู้สึกดีกับอวี่ซือเฟิ่งมาก มิน่าจึงได้กล่าววาจากดดันนางเช่นนี้ นางยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณมาก ข้ายังไม่รู้จะอยู่แค่อีกสองสามวันไหม อย่างไรก็คงอยู่ชั่วคราวไปก่อน”
หลันหลันกัดริมฝีปากแน่น เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้ากับเขาถึงกับเป็นคนรู้จักกัน…เจ้าบอกข้าได้ไหม เมื่อก่อนเขา…” พูดกันถึงตรงนี้ นางอยู่ๆ ก็ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ ไม่ แล้วไปเถอะ! เจ้าอย่าบอกข้า คนเช่นเขา ยังมีจอมยุทธ์หญิงร้ายกาจและงดงามเช่นเจ้าเป็นสหาย สถานะต้องไม่ธรรมดา ไม่แน่อาจเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่ใด มิน่าไม่มองสตรีชาวบ้านธรรมดา…”
เสวียนจีอึ้งไป ลังเลจะบอกเล่าให้นางฟังถึงเรื่องราวเมื่อก่อนตอนอวี่ซือเฟิ่งยังเป็นหนุ่มน้อยดีไหม อะไรคือคุณชายสูงศักดิ์ ล้วนเดามั่วทั้งเพ พลันได้ยินมกรด้านหลังตะโกนดังขึ้นว่า “ผู้ใดมาพูดจาจุกจิกกันตรงนั้น” พูดไปพลางเดินออกมาจากห้องครัว พอหลันหลันเห็นเขามีผมสีเงินยวง ท่าทางดุร้าย ก็ตกใจกลัวจนตัวแข็งทื่อ สายตามกรหยุดอยู่ที่นางครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังไข่ไก่ที่พื้น รีบปรี่เข้าไปคว้าขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “อา เอาไข่มาให้หรือ! ขอบคุณมาก” กล่าวจบก็หันหลังวิ่งเข้าครัว ร้องดังขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง! คืนนี้เพิ่มผัดไข่อีกจานนะ!”
ในห้องครัวมีคนพูดจากันสองสามคำ ตามมาด้วยอวี่ซือเฟิ่งเดินออกมา พอเห็นหลันหลัน เขาก็อึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “ที่แท้เป็นแม่นางท่านนี้ ขอบคุณไข่ไก่เจ้ามาก”
ใบหน้าหลันหลันอยู่ๆ พลันแดงขึ้นมาราวไฟร้อนผ่าว กล่าวน้ำเสียงแผ่วว่า “ไม่ ไม่…ไม่ต้องเกรงใจ คุณชายอี้มีแขก…ข้า ข้ามารบกวนแล้ว…”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าอีก หันไปประคองเสวียนจี กล่าวอ่อนโยนว่า “มีแผลโดนลวกอย่าเดินไปเดินมา เข้าไปในห้องเถอะ จะกินข้าวแล้ว” เสวียนจีพยักหน้า ทั้งสองเดินเคียงกันเข้าไป หลันหลันเห็นเขาสองคนสนิทสนม มุมปากอมยิ้มเป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าเป็นคู่รักที่มีความรักต่อกันลึกซึ้ง อดรู้สึกปวดใจไม่ได้
อยู่ๆ นางก็ตะโกนขึ้นด้านหลังว่า “คุณชายอี้รับไข่ไว้แล้ว ก็ไม่ต้องกล่าวถึงความชอบอะไร รับบำเหน็จอะไรแล้วนะ! พรุ่งนี้…พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” กล่าวจบนางก็หันหลังวิ่งออกไปทันที
เสวียนจีมองตามแผ่นหลังนาง กล่าวเบาๆ ว่า “เด็กผู้หญิงนั่นชอบเจ้ามากนะ คุณชายอี้”
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินนางจงใจเรียกชื่อตนเองเช่นนี้ อดยกมือเคาะศีรษะนางเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “อย่าพูดมั่ว”
เสวียนจีหัวเราะคิกกล่าวว่า “นี่ไม่ได้พูดมั่วนะ วันนี้ที่โรงเตี๊ยมนางบอกข้าเองว่าเจ้าเป็นคนดี และยังร้ายกาจ ที่นี่บ้านไหนมีบุตรสาวก็อยากจะยกให้แต่งกับเจ้าทั้งนั้น คุณชายอี้ ร้ายกาจมาก เสเพลมาก”
เขาหัวเราะเบาๆ ไม่คิดแก้ตัว ผ่านไปครู่หนึ่ง พลันถามว่า “วันนี้คนที่ปราบปีศาจที่โรงเตี๊ยมก็คือเจ้า?”
“ข้าเอง จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ปีศาจร้ายกาจอะไร ก็แค่เพียงพอนใกล้เป็นมารปีศาจกลับมาแก้แค้น…อา! ใช่แล้ว! ผ้าพันคอข้า!” เสวียนจีพลันตะโกนดัง นึกถึงหนังผืนนั้นที่มอบให้ช่างตัดเสื้อแซ่หลี่ไว้ ปรากฎฟ้ามืดแล้วนางยังไม่ไปรับ ต้องลากยาวไปวันรุ่งขึ้นแล้ว คงต้องเสียเงินค่าแรงเพิ่มอีกวันหนึ่ง
อวี่ซือเฟิ่งถามเรื่องราวละเอียดแล้วก็รีบไปรับผ้าพันคอกลับมาให้นาง เสวียนจีเห็นผืนหนังสกปรกก่อนหน้านี้ถูกจัดการจนสะอาด ตัดผ้าพันคอแบบดูสูงค่า นางถือในมือมองอยู่ครู่หนึ่ง พลันกวักมือเรียกอวี่ซือเฟิ่ง “ซือเฟิ่ง มานี่”
อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไปอย่างไม่เข้าใจ ไม่ทันระวัง นางพลันยกมือคล้องผ้าพันคอลงบนคอเขา มองซ้ายมองขวา พออกพอใจยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว ให้ผู้ชายพันแล้วเหมาะกว่า มอบให้เจ้าละกัน” เขาก้มหน้าลูบคลำขนสัตว์เงียบๆ จากนั้นก็เผยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณแล้ว”
หลังอาหาร อวี่ซือเฟิ่งเก็บของในห้องนอนตนเองย้ายออกไปนอนอีกหลัง กลางคืนกลางป่าเขา หนาวมาก ความร้อนตอนกลางวันถูกแสงจันทร์กวาดต้อนไปหมด เสวียนจีนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง อย่างไรก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ หนึ่ง เตียงนี้นอนแล้วไม่สบายตัวจริงๆ สอง คิดถึงว่าตรงนี้เป็นที่ซือเฟิ่งพักมาปีกว่า ในใจนางก็เต้นโครมครามเร็วยิ่งขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ รู้สึกเพียงแค่จมูกนางได้กลิ่นเขา สาม นางนึกถึงวันเวลาที่เคยผ่านมาพร้อมกับเขา
พวกเขาเคยสนิทสนมกันเพียงใด ร่วมเรียงเคียงหมอน คลุมโปงกล่าววาจาเหลวไหลมากมาย สุดท้ายนางง่วงนอน ยังขดตัวในอ้อมกอดเขา พอวันรุ่งขึ้นผมยาวของทั้งสองก็พันเข้าด้วยกัน ต้องแก้อยู่เป็นนาน ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขัน เสวียนจีเคยคิดว่า แม้ผ่านไปสิบปียี่สิบปี เขาและนางย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นับประสาอันใดกับเวลาสั้นๆ แค่ปีกว่า
แต่นางผิดแล้ว
ใช่แล้ว มีบางเรื่องผ่านแล้วผ่านเลย พวกเขาไม่อาจกลับไปเป็นหนุ่มน้อยสาวน้อยในวัยสิบหกไร้เดียงสาได้อีกแล้ว นางเองไม่อาจรบเร้าขอให้เขามานอนเป็นเพื่อนนางอีก ยิ่งไม่อาจร้องไห้เอาแต่ใจกล่าววาจาทำร้ายจิตใจเขาพวกนั้นอีก มีบางสิ่งค่อยๆ เปลี่ยนไป แท้จริงแล้วดีหรือไม่ดี เสวียนจีเองก็ไม่รู้
เวลาที่ห่างกันไปสองปี พวกเขาทั้งสองต้องการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของกันและกัน
รอนแรมพันลี้ตามหาเขา นางตามหามานาน คิดว่าในที่สุดก็หาเขาพบ แต่เขาไม่ใช่ ‘เขา’ คนนั้น นางก็ไม่ใช่ ‘นาง’ ในภาพจำของเขาคนนั้น ที่น่าแปลกก็คือ นางไม่ได้เสียใจเพราะการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ นางถึงกับมีใจคิดอยากรู้ อยากรู้ว่าสองปีนี้เขามีชีวิตอย่างไร คิดจะเข้าใจเขาให้ยิ่งมากขึ้น ราวกับได้รู้จักคนคนหนึ่งใหม่ ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่
เขาจะคิดเช่นนี้ด้วยไหม เขาจะยังไม่เชื่อใจนางไหม ไม่อยากเจอนาง?
ไม่ ไม่ คำถามน่าปวดหัวพวกนี้ ไว้ค่อยคิดวันหลังละกัน ตอนนี้ขอเพียงนางได้อยู่ที่นี่ต่อก็พอ ขอเพียงได้อยู่ที่นี่ต่อ…เสวียนจีค่อยๆ ผล็อยหลับไป ก่อนตกสู่ห้วงฝันเหมือนได้ยินเสียงพิณแว่วหวาน ไกลมาก แต่ก็เหมือนใกล้มาก มีคนบรรเลงพิณเจ็ดสายพลิ้วแผ่ว
เสียงพิณเหมือนกับบรรเลงอยู่ข้างหูนาง โอบกอดนาง ปลอบประโลมนาง แนบผิวกายนางทุกตารางนิ้ว ทุกอย่างล้วนอบอุ่นอ่อนโยน
****
เสวียนจีตระหนักรู้ถึงความแรงไร้จารีตบังคับของดรุณีน้อยซีกู่ได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นหลันหลัน นางไม่ได้รู้สึกสูญเสียความกล้าหาญไปกับการปรากฎขึ้นของเสวียนจี ไม่ว่าลมฝนก็ไม่อาจขวางนาง ทุกวันไม่ว่ามีธุระหรือไม่มี นางก็จะมารอบหนึ่ง เริ่มแรกนางอ้างเอาของมาให้ เดิมอวี่ซือเฟิ่งอยู่คนเดียวก็จะไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น เหมือนกำแพงทองแดง แต่ตั้งแต่มีมกรที่ชอบกินมาแล้ว กำแพงทองแดงก็เหมือนพังลง
ขอเพียงนำของกินมาให้ เขาก็จะรับไว้อย่างไม่เกรงใจ หลังจากเป็นที่ร่ำลือกันไปในหมู่บ้าน ก็มีครอบครัวแม่นางน้อยส่งของกินมาให้เขามากมายไม่ขาด มกรไม่เข้าใจสักนิดว่าในใจครอบครัวที่มีบุตรสาวพวกนี้คิดอะไร แต่เขาเอาแต่กินอย่างเบิกบาน หากภาษิตกล่าวว่า กินของเขาปิดปาก รับของเขาปิดปาก รับของคนอื่นไว้มากมายเช่นนี้ อวี่ซือเฟิ่งเองก็ไม่อาจปฏิเสธคนเขาไม่ให้เข้าใกล้ตนได้อีก ดังนั้นหลันหลันจากส่งของกินก็กลายเป็นมาช่วยตากสมุนไพรทุกวัน จัดเก็บร้านยาแสนรกให้เรียบร้อย กลายเป็นแขกประจำไป
เด็กหญิงมีพลังน่ากลัวบางอย่าง ราวกับเชือกไหมเหล็กพันพัว ไม่ว่าอวี่ซือเฟิ่งจะเย็นชาอย่างไร นางก็ไม่สนใจสักนิด ถึงกับยังยิ่งชอบ ยิ่งพยายามหาทางศึกษาสมุนไพร หากเจอที่ไม่เข้าใจก็จะถามเขา ด้วยข้ออ้างนี้จึงได้มีโอกาสสนทนากับเขามากขึ้น อวี่ซือเฟิ่งไม่เก็บงำในเรื่องพวกนี้ หากถามก็จะตอบ ล้วนเป็นท่าทีแบบอาจารย์ที่ดี
วันนี้เสวียนจีตามอวี่ซือเฟิ่งขึ้นเขาไปดูแลสมุนไพรพวกนั้น แผลลวกของนางหายดีพอสมควรแล้ว หลายวันนี้มักจะรู้สึกคัน แต่ก็ไม่กล้าเกา เขาว่าจะเติมยาใหม่สองสามอย่างลงไปเพื่อระงับอาการคัน ทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่ พอแบกตะกร้าเก็บสมุนไพรขึ้นหลัง หลันหลันก็มา ได้ยินว่าพวกเขาจะขึ้นเขา ก็ว่าอยากจะตามไปเพื่อจะได้รู้จักพวกสมุนไพรที่ไม่เคยเห็นด้วย
กล่าวตามจริง เสวียนจีเองก็มิได้นึกรังเกียจเด็กสาวผู้นี้ นางถึงกับน่าสนใจอยู่หลายมุม นับประสาอันใดกับการที่ซือเฟิ่งเป็นที่ชื่นชมนั้น สำหรับนางถือเป็นเรื่องที่ควรภาคภูมิใจ น่าจะเพราะในใจนางมั่นใจมาตลอดว่าอวี่ซือเฟิ่งไม่มีวันเหลียวมองหญิงใดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงได้รู้สึกผ่อนคลายในเรื่องนี้
แต่สถานการณ์วันนี้ไม่เหมือนเดิม ตลอดทางหลันหลันเอาแต่ถามนั่นถามนี่ พอถามอวี่ซือเฟิ่งก็ต้องตอบ ตอนเก็บสมุนไพร นางก็เอาแต่ถามสรรพคุณสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียด พอพูดถึงสมุนไพรอวี่ซือเฟิ่งก็ตั้งใจเล่าไม่หยุด นำแต่ละอย่างมาชี้ให้นางดู อธิบายทีละชนิด เสวียนจียืนอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง ไม่มีคนสนใจนาง นางก็ไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรแม้แต่น้อย อยู่ๆ รู้สึกตนเองเหมือนเป็นส่วนเกิน
ความรู้สึกนี้ไม่ได้แปลกอะไรสำหรับนาง แต่เล็กจนโต นางก็เคยลิ้มรสชาติถูกทอดทิ้งเช่นนี้มาตลอด ทุกคนต่างกำลังหัวเราะพูดคุย ไม่มีคนสนใจนาง นางยืนโดดเดี่ยวเดียวดายราวกับภาพวาดที่มีขีดเกินมาสีหนึ่ง แต่ไรมานางค้นหาตำแหน่งของตนเองมาตลอด แต่ไม่มีคนยอมเหลือที่ให้นาง
ความรู้สึกนี้ย่ำแย่อย่างที่สุด เสวียนจีไม่อยากที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้นอีกแม้สักครึ่งส่วน นางลอบมองอวี่ซือเฟิ่ง เขากับหลันหลันกำลังยองนั่งอยู่ในแปลงปลูก พูดคุยถึงต้นนั้นหยุดเลือดได้ ต้นหญ้านั่นระงับอาการคันได้ กำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ นางกำลังคิดหาที่หย่อนลงนั่ง รู้สึกคันบาดแผลที่โดนลวกจนนางแทบทนไม่ไหว พลันได้ยินมีเสียงนกร้องกังวานใสดังแว่วมาจากในป่า ตามมาด้วยเสียงใบไม้สวบสาบ นกตัวใหญ่ขนสีขาวราวหิมะตัวหนึ่งบินทะยานขึ้นจากยอดไม้ บินขึ้นไปสูงยิ่ง