ตอนที่ 382 พ่อกับลูก
ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวังกวนหยุน
น้ำในกาถูกต้มจนเดือดส่งควันขาวลอยพุ่งออกจากปากกา บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอยู่ในอิริยาบถที่สงบเสงี่ยม และกำลังนำใบชาจำนวนเพียงหยิบมือออกมาชงดื่ม เขามิได้นำดอกสาลี่ที่ติดตัวมาร่วมชงด้วยกัน เพราะเขารู้สึกว่าชาดอกสาลี่รสชาติมิน่าพิศวาสเท่าชาดอกกุหลาบ
จักรพรรดิเหวินทรงพระอักษรราชสาสน์ฉบับสุดท้ายจนจบ จากนั้นจึงขยับเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าเก็บดอกไม้พวกนี้มาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าแล้วอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินเก็บมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามิโปรดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มองได้ แต่หากจะให้ดื่มกระหม่อมว่าอย่าเลยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเหวินทรงพยักหน้าเล็กน้อย “บทประพันธ์ทั้งหลายของเจ้าที่ได้รับชัยชนะเมื่อคืนก่อน คงจะแพร่หลายไปทั่วหล้าในเร็ววันนี้ เหล่าบัณฑิตในเมืองหลวงต่างก็เคารพนับถือเจ้า อีกทั้งยังมีท่านนักปราชญ์จ้วงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาหลีซานก็ได้ไหว้วานให้เจ้าไปเป็นอาจารย์บรรยายพิเศษให้แก่ลูกศิษย์ของเขา เหวินสิงโจวก็ใคร่จะร้องขอให้เจ้าช่วยรวบรวมตำราหลี่เสวียใหม่อีกครา”
ฟู่เสี่ยวกวนนำชาที่เพิ่งชงเสร็จรินใส่ถ้วยแล้วส่งให้จักรพรรดิเหวิน เมื่อรับมาแล้วจักรพรรดิก็ได้ทรงลูบถ้วยชาอย่างเบามือ จากนั้นทรงตรัสต่อว่า “เหวินสิงโจวเอ่ยว่าเขาเคยได้สนทนากับเจ้า เพราะเขานั้นยังมิถ่องแท้ในตำราหลี่เสวียเท่าใดนัก เขาคิดว่าเจ้าคงจะถ่องแท้ในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย หากเจ้าสามารถตรากฎหมายได้เช่นนั้นแล้วตำราหลี่เสวียฉบับนี้ถึงจะสมบูรณ์แบบ…เจ้ามีความเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
น้ำเสียงของจักรพรรดิเหวินนั้นนุ่มนวล มิได้ทรงตรัสถึงสวี่หยุนชิงและมิได้ทรงตรัสว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสพระองค์ใหญ่ของพระองค์อีกต่อไป
พระองค์ทรงเสนอทางเลือกมาสองอย่าง และทั้งสองอย่างนี้ก็ได้อยู่ในขอบเขตในด้านงานประพันธ์ทั้งสิ้น พระราชประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใดก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์ พระองค์ทรงปรารถนาให้ฟู่เสี่ยวกวนพำนักต่อในแคว้นอู๋ แล้วเริ่มต้นทำความเข้าใจในราชวงศ์อู๋ผ่านงานประพันธ์ที่ตนเองถนัด
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มด้วยความเรียบเฉย และได้เอ่ยต่อว่า “แท้ที่จริงนั้นกระหม่อมเป็นอาจารย์พิเศษประจำสำนักศึกษาจี้เซี่ย แต่เป็นเพราะจำต้องมาเยือนแคว้นอู๋อย่างกะทันหัน จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมิได้ไปทำหน้าที่อาจารย์เลยแม้แต่คราเดียว”
เขาชะงักลงเพื่อคิดอะไรบ้างอย่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางองค์จักรพรรดิ “กระหม่อมได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วและเห็นว่ายังคงมีธุระที่ติดพันอีกมากมายที่ราชวงศ์หยู กระหม่อมต้องการเวลาอีก 2 ปีในการสะสางธุระต่าง ๆ มิทราบว่าท่านคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
จักรพรรดิเหวินทรงชะงักลงเล็กน้อย “ศึกทางทิศตะวันออกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นั่นมิใช่เรื่องใหญ่โตเท่าใดนัก…ทว่าเป็นทางเหนือเสียมากกว่า ภัยคุกคามต่อราชวงศ์หยูที่แท้จริงนั้นมาจากทางเหนือ มิเพียงภัยคุกคามจากคนของแคว้นฮวง แต่เวลานี้ทางเหนือยังมีภูเขาที่เป็นที่ซ่องสุมของกองโจรอีกด้วย นับวันยิ่งทำตัวเป็นเชื้อโรคที่กัดกินราชวงศ์หยู กระหม่อมนั้นเคยรับปากกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูมาก่อนว่าหลังจากที่มาเยือนแคว้นอู๋แล้วเสร็จก็จะไปเยือนทางเหนือสักครา จุดประสงค์แรกก็เพื่อไปกวาดล้างกองโจรนั้นเสีย ส่วนจุดประสงค์ที่สองก็คืออยากที่จะนำพื้นที่ที่แร้นแค้นทั้งสองนั้นมาเป็นจุดสาธิตในการจัดตั้งโรงงานฝีมือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่เหล่านั้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั้งสองเขตนั้น”
จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วแล้วได้ตกอยู่ในห้วงของความคิดชั่วขณะ จากนั้นก็ทรงส่ายหน้า “อันตรายเกินไป ข้ามิอาจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายได้ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน
“กระหม่อมยังได้รับปากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูในเรื่องของการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และเวลานี้พระองค์ทรงประกาศอย่างเป็นทางการไปแล้วว่าจะปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นการค้าคู่การเกษตรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขั้นตอนต่อไปก็คือการผลักดันให้เกิดความรุ่งเรืองทางด้านการค้า เรื่องนี้นั้นมิใช่กระหม่อมเห็นว่าตนเองเป็นเสาหลัก แต่เยี่ยงไรเสียกระหม่อมจำต้องกลับไปจัดการด้วยตนเอง เพราะกลัวเหลือเกินว่าแผนยุทธศาสตร์จะเปลี่ยนแปลง ตัวกระหม่อมนั้นเกิดและเติบโตภายใต้ราชวงศ์หยู ก่อนที่จะเดินทางมายังที่นี่ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูยังทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงกระหม่อม มีใจความสำคัญว่า เจ้ากระทำสิ่งใดจงพึงระลึกไว้ว่าเจ้าคือราชบุตรเขยของข้า หากเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้ง ก็ย่อมนำภัยมาแก่ข้ากับองค์ฮองเฮา รวมไปถึงเยี่ยนเป่ยซี ดังนั้นจำต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนในทุกการกระทำ… บัดนี้กระหม่อมยังคงหวนนึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งเสีย หากล้มเลิกเสียกลางคันก็เกรงว่าจะบั่นทอนความเชื่อใจที่พระองค์ทรงมอบให้”
ครานี้จักรพรรดิเหวินทรงตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความเงียบ พระองค์ทรงประคองถ้วยชาไว้ในมือ ทรงไตร่ตรองว่ามีหนทางใดบ้างที่จะทำให้ความตั้งใจของพระองค์และเขามาบรรจบกันตรงกลาง
“ทว่าบัดนี้สถานะของเจ้าได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว จะให้ข้าออกราชสาสน์ไปให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูหรือไม่ ? ”
“ฝ่าบาท เวลานี้ราชวงศ์อู๋นั้นสงบสุขและรุ่งเรือง และเป็นรัชสมัยที่รุ่งโรจน์ของฝ่าบาท แท้ที่จริงนั้นฝ่าบาทยังคงสามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก ให้กระหม่อมเป็นนักการทหารหรืออะไรก็ได้ หากจะให้กระหม่อมเป็นองค์รัชทายาท หรือเป็นองค์จักรพรรดิในอนาคตนั้น…กราบขออภัยฝ่าบาทที่ต้องเอ่ยวาจาที่มิน่าฟัง แต่กระหม่อมคิดว่าบัลลังก์มังกรนั้นแข็งเสียจนเมื่อยตูด”
จักรพรรดิเหวินถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเด็กคนนี้ ดูมันเถอะคงจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างอิสระมากจนเกินไป เพื่อแย่งชิงบัลลังก์นี้ปีนั้น ทะเลสาบสือหลี่แทบจะโดนย้อมให้เป็นสีเลือด แต่เจ้ากลับทำท่าทางรังเกียจ !
“ข้าก็ใคร่จะบอกตามตรงให้เจ้าได้รับทราบเช่นกันว่า ข้า…มิอาจมีบุตรเพื่อสืบเชื้อราชวงศ์ได้อีกแล้ว ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่าง อู๋กาน…องค์รัชทายาทพระองค์ก่อน สิ้นพระชนม์แล้วในระหว่างที่เดินทางไปยังเขตปกครองฉางหนิง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นั่นก็หมายความว่าจักรพรรดิเหวินไร้โอรสหลงเหลืออยู่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไม่ใช่สิ ยังเหลือเขาอีกคนที่เป็นโอรสนอกสมรส
“ผู้ใดกันช่างบังอาจยิ่งนัก ? ”
จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเรียบเฉย แล้วส่ายหัว “นี่เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อเจ้าเข้ามามีบทบาทเหนือพระราชตำหนักบูรพาแล้ว เจ้าจะไร้ซึ่งเรื่องอื่นใดที่ทำให้มีอุปสรรค การตายของอู๋คุนก็เพื่อให้อู๋กานได้นั่งในพระราชตำหนักบูรพาอย่างมั่นคง และการตายของอู๋กานก็เพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ มิว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน ๆ ข้าได้ยินข่าวคราวนี้ก็มิได้แปลกใจมากนัก และเวลานี้ข้าก็มีเพียงเจ้าผู้เป็นโอรสหนึ่งเดียวของข้า เจ้าลองเอ่ยมาสิว่าผืนปฐพีนี้หากมิมอบให้เจ้า แล้วข้าจะมอบให้กับผู้ใด ? ”
“เจ้าจงใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนเสียอีกครา เลือดของข้าและหยุนชิงนั้นไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในอนาคตของราชวงศ์อู๋เพื่อความผาสุกของราษฎร ความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อราชวงศ์หยูนั้นข้าสามารถเข้าใจได้ แต่เยี่ยงไรเสียเจ้าก็เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ หากเจ้าไปกำจัดกองโจร ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าไปผลักดันนโยบายใหม่ ย่อมทำให้ผู้คนมากมายได้กอบโกยผลกำไร พวกเขายังจะโหดร้ายเสียยิ่งกว่ากองโจรอีก เจ้าลองเอ่ยมาสิ ว่าจะให้ข้าทำใจให้สบายแล้วปล่อยให้เจ้าไปเผชิญภัยอันตรายที่มิอาจคาดเดาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะมิเพียงแต่รู้สึกผิดต่อหยุนชิง แต่ยังรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวอีกด้วย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเช่นนี้แล้วก็รู้สึกลำบากใจ
จักรพรรดิเหวินมิประสงค์จะให้กำเนิดบุตรอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !
มิได้การละ หรือว่าจักรพรรดิเหวินจะทรงบ้าคลั่งเกินไปเมื่อคราที่ยังทรงพระเยาว์
ทว่าธุระที่ยังคงติดพันกับราชวงศ์หยูเล่าจะทำเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้เคลือบแคลงความสามารถในการครองบัลลังก์ของตน แต่ทว่าช่างเป็นชีวิตที่แสนรันทดมากยิ่งนัก !
จักพรรดิเหวินมองสีหน้าลังเลของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความโอบอ้อมอารี ทรงพระดำริในใจว่าที่เสด็จแม่ได้ทรงสั่งลอบปลงพระชนม์อู๋กานก็เพื่อตัดปัญหาที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะละทิ้งภาระแล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัว
และดูเหมือนว่าจะได้ผลเสียจริง ๆ วันนี้ได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเสียแล้ว
“เก้าค่ำเดือนสี่เป็นวันบวงสรวงสู่สวรรค์ เจ้าจงร่วมเดินทางไปกับข้า แล้วสิบห้าค่ำเดือนสี่ไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยว และข้าจะสลักชื่อเจ้าลงในสมุดปกทอง จากนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องพำนักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูอีกต่อไป เจ้าจำต้องย้ายเข้ามาในพระราชวัง ข้ากำลังหาวันมงคลในเดือนห้าเพื่อสถาปนาเจ้าเป็นองค์รัชทายาท จะเป็นวันไหนนั้นเจ้าจงติดตามประกาศของทางราชสำนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็แหงนหน้ามองพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวิน “เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่มิได้ถามความสมัครใจของกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากกระหม่อมมิสมัครใจจะเป็นเยี่ยงไร ? ”
จักรพรรดิเหวินถึงกับตกตะลึง หากเจ้ามิทำแล้วไอ้หน้าไหนจะทำเล่า ?
“เจ้าคือโอรสหนึ่งเดียวของข้า หากเจ้ามิสมัครใจก็เท่ากับว่าเจ้าประสงค์ที่จะให้ราชวงศ์ที่สืบสานมานานนับร้อยปีต้องถึงคราจบสิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าท่านควรบ่มเพาะอู๋หลิงเสียให้ดี ให้นางสามารถสืบราชสมบัติต่อไปได้”
“เหลวไหล ! ”
จักรพรรดิเหวินทรงลุกพรวดขึ้นมา “ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีที่ไหนกันที่ให้สตรีเป็นองค์จักรพรรดินี ที่พ่อเรียกเจ้ามายังพระราชวัง ที่พ่อวางแผนกักขังจักรพรรดินีเซียวในตำหนักเย็น อีกทั้งกำจัดองค์รัชทายาท ทั้งหมดนี้พ่อทำเพื่อให้เจ้าได้ขึ้นครองบัลลังก์และปกครองแคว้นอู๋ด้วยความผาสุก ! ”
“คนที่มีความพยายามย่อมมุ่งมั่นเพื่อผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ ! หากเจ้าชอบการเพาะปลูก แต่ก่อนเจ้ามีหลินเจียงเป็นแปลงนา แต่บัดนี้เจ้ามีผืนปฐพีทั้งผืน มิใช่ว่าเจ้าจะสามารถเพาะปลูกจนเกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ลูกข้า ชีวิตของข้าก็มีเพียงเจ้าที่ข้าจะฝากผีฝากไข้ได้ หากเจ้าจะมิสมัครใจเสียจริง ๆ เยี่ยงนั้นผืนปฐพีแห่งนี้ก็จำต้องสูญเปล่า ! ”