ขณะเดียวกันนั้นเอง ประตูห้องทำงานเฉียวเหลียงก็ถูกผลักออกอย่างแรงในฉับพลัน ตามมาด้วยเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา “ฉันมาช้าหรือเปล่า”
เซียวจิ่งถลาเข้าไปหาราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต เขาเข้าไปกอดถังซีพร้อมกับฟ้องว่า “โหรวโหรว มาถึงสักที รู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้บ้าขนาดไหน เขาไม่ได้นอนมานานสิบกว่าวัน พี่กลัวว่าเขาอาจตายได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง พี่พยายามทำให้เขาหลับ แต่เขาจะชกพี่! พี่เสียใจเหลือเกิน!”
ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจน ไม่ต้องสงสัยว่าเขาไม่ได้นอนหลับเลย เธอรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเมื่อมองดูเฉียวเหลียง ซึ่งยืนนิ่งจ้องมองเธอไม่วางตาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จากนั้นเธอก็พูดกับเซียวจิ่ง “พี่จิ่ง พี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหม ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง”
เซียวจิ่งพยักหน้า กล่าวกับถังซีเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกดดันเขามากนัก แค่ขอให้เขาหลับก็พอ”
ถังซียิ้ม ขณะคิดว่าบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เฉียวเหลียงเป็นคนที่ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ บางทีเธออาจต้องใช้กับดักน้ำผึ้งทำให้เขาหลับ
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังพยักหน้า กล่าวว่า “ตกลงค่ะ ให้เราอยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนนะคะ”
เมื่อเห็นว่าน้องสาวยอมช่วย เซียวจิ่งก็ออกไปทำงานได้อย่างอารมณ์ดี ตราบใดที่เจ้านายเขายังไม่ตาย เขาก็ยังคงเบิกบานสำราญใจกับเงินเดือนปึกหนาได้ ทันทีที่โหรวโหรวทำให้ชายหนุ่มหลับ เขาจะรักษาสัญญา พาเธอไปเลือกรถสปอร์ต
หลังจากเซียวจิ่งออกไป ถังซีก็ก้าวเข้าไปหาเฉียวเหลียง ฝ่ายหลังมองถังซี นิ่วหน้าเล็กน้อย ขณะถังซีก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว เฉียวเหลียงก็ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว แต่ถังซีก้าวเข้าหาเขาอีก เป็นภาพซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเฉียวเหลียงถอยไปยืนพิงติดโต๊ะทำงาน ไม่สามารถถอยไปได้อีก
ถังซียิ้ม โอบแขนรอบคอเขา ถามเสียงเบาว่า “คุณคิดว่าคุณกำลังฝันอยู่หรือเปล่า”
ดวงตาเฉียวเหลียงแดงเรื่อขึ้น เขาจ้องมองถังซีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง แล้วพยักหน้า เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว “ไม่เหมือนว่าเป็นความจริงเลย”
ถังซีพูดไม่ออก นึกถึงภาพที่เธอเห็นที่ลองบีช เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เขย่งขึ้นจูบเฉียวเหลียง แล้วถามว่า “ตอนนี้เหมือนจริงหรือยังคะ”
ริมฝีปากอบอุ่นและนุ่มนวลของเธอสัมผัสเขา เขารู้สึกว่าริมฝีปากนี้อบอุ่น ไม่เยือกเย็น
เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปประคองศีรษะถังซีในทันที แล้วจูบเธออย่างหนักหน่วง แต่ฝ่ายหลังหลบเขา เขามองหน้าถังซีด้วยดวงตาแดงเรื่อ ถังซียิ้ม ก่อนจะโอบกอดเขาและกระซิบข้างหู “ไปนอนก่อนค่ะ เมื่อตื่นขึ้นมาคุณจะได้จูบฉัน”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วขณะตอบ “ผมนอนไม่หลับ”
“คุณกลัวจะฝันร้ายใช่ไหม” ถังซีรู้สึกอัดอั้นในใจ เธอรู้ว่าเฉียวเหลียงกำลังมีปัญหานอนไม่หลับ แต่ไม่คิดว่าเขาจะนอนไม่หลับเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าเขาทำอย่างนี้ต่อไป ร่างกายเขาจะแย่ลงไม่ช้าก็เร็ว
…
ด้านนอกประตู เซียวจิ่งมองดูหน้ากากและหมวกที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้น หางตาเขาหรี่ลง เด็กคนนี้ทิ้งขว้างอาวุธของเธอไว้บนพื้นแบบนี้ได้ยังไง สกปรกจะตาย!
เขาถอนหายใจขณะหยิบหมวกกับหน้ากากขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องทำงาน
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะได้เข้าห้องก็มีคนมาขวางเขาไว้ เลขานุการตัวเล็กจ้องหน้าเซียวจิ่งด้วยดวงตาเปล่งประกายแวววาวถามว่า “ประธานเซียวคะ ผู้หญิงที่สวมหน้ากากกับหมวก ที่เข้ามาเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ”
นี่คือข่าวใหญ่ ท่านประธานผู้มักรักษาระยะห่างจากผู้หญิง มีหญิงสาวมาหา และหลังจากที่เธอเข้าไปในห้อง ประธานเซียวก็ถูกไล่ออกมา! นี่เป็นเรื่องผิดปกติจริงๆ!
ขณะมองหน้าเลขานุการผู้ตื่นเต้นมากมาย เซียวจิ่งก็กล่าวว่า “คุณคิดมากเกินไป เธอเป็นเพียงนักสะกดจิตชื่อดัง”
“ทำไมท่านประธานถึงต้องการการสะกดจิตละคะ” เลขานุการถามต่อไป
เซียวจิ่งจ้องหน้าเลขานุการเขม็ง และกล่าวประชดประชัน “คุณเป็นเลขานุการของท่านประธานเฉียวไม่ใช่หรือ คุณไม่รู้หรอกหรือว่าท่านประธานเฉียวต้องการพัฒนาธุรกิจด้านการแพทย์ หรือคุณไม่รู้จักการสะกดจิตที่เป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้” จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้น และยิ้มเมื่อพูดต่อไป “ผมจะบอกคุณให้นะ ท่านประธานเฉียวกำลังเรียนรู้วิธีสะกดจิต และผมเกรงว่าต่อไปนี้คุณจะไม่สามารถเก็บความลับใดๆ ไว้จากเขาได้ หลังจากที่เขาเชี่ยวชาญการสะกดจิตแล้ว” จากนั้นเขาก็เข้าห้องทำงาน และล็อกประตู ปล่อยเลขานุการไว้ข้างนอก
เลขานุการตกตะลึง ท่านประธานเฉียวทำงานหนักจริงๆ!
…
ถังซีมองดูเฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาของห้องทำงาน และไม่ยอมนอน เธอถอนหายใจ “เป็นเพราะนิ้วนิ้วนั้นเหรอคะ”
เฉียวเหลียงตกตะลึงถามว่า “คุณรู้ได้ยังไง”
ถังซีพาเฉียวเหลียงไปที่ห้องพักผ่อนเล็กๆ ในห้องทำงาน ห้องทำงานเฉียวเหลียงตกแต่งเหมือนห้องทำงานของเธอทุกประการ เธอสังเกตเห็นทันทีที่เข้ามา เธอเกิดความรู้สึกวาบหวามทว่าขมขื่นขึ้นในใจ เขารักเธอมาก แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“อาเหลียง คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันอยู่ในอาการโคม่านานสัปดาห์กว่า” ถังซีพาเฉียวเหลียงไปนั่งบนเตียง ให้เขานอนหนุนตัก นวดศีรษะให้เขาเบาๆ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณรู้ไหมว่าฉันไปอยู่ที่ไหน ในช่วงสัปดาห์นั้น”
เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมอง เธอยิ้มตอบ ลูบดวงตาเขาเบาๆ ให้เขาหลับตาลง แล้วกระซิบ “ทีแรกฉันไปที่มหาสมุทรแปซิฟิก และเห็นคุณหัวใจแตกสลาย จากนั้นฉันก็ไปที่ลองบีช เห็นคุณสิ้นหวัง และจะฆ่าตัวตาย” มือเธอขยับด้วยความนุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อกล่าวต่อไป “คุณรู้ไหมว่าฉันเศร้าแค่ไหน ตอนที่เห็นคุณเดินลงทะเล ฉันพยายามห้ามคุณ แต่ฉันทำไม่ได้ แต่แล้วท้ายที่สุดฉันก็ทำได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไม บางทีพระเจ้าอาจได้ยินคำวิงวอนของฉัน”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็อยู่ที่นั่นจริงๆ น่ะสิ” เฉียวเหลียงลืมตาขึ้นมองถังซี จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองถังซี “นั่นคือคุณจริงๆ ใช่ไหม ผมถูกใครบางคนรั้งตัวไว้ที่ชายหาดนั้น และผมเห็นว่าเป็นคุณ นั่นไม่ใช่ภาพหลอนของผมใช่ไหม”
ถังซีพยักหน้า นัยน์ตาแดงเรื่อ “ใช่ค่ะ นั่นคือฉัน คุณไม่ได้เห็นภาพหลอน ฉันอยู่กับคุณจริงๆ คุณรู้ไหมว่าฉันเศร้าแค่ไหน และฉันเกลียดตัวเองมากแค่ไหนเมื่อเห็นคุณทรมานตัวเอง ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่อยู่เคียงข้างคุณเมื่อคุณต้องการฉันมากที่สุด อาเหลียง จากนี้ไปฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณต้องดูแลตัวเองให้ดี ตกลงไหมคะ”
เฉียวเหลียงดึงถังซีเข้ามาในอ้อมแขน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ผมกลัวว่าคุณจะหายไปเมื่อผมลืมตาขึ้นมา ครั้งหนึ่งผมเคยฝันถึงคุณ คุณอยู่กับผม เรามีความสุขกันมากในความฝัน แต่ผมกลัวว่าเมื่อผมลืมตาขึ้น ผมจะได้ยินใครคนหนึ่งบอกผมว่า พวกเขาเจอนิ้วของคุณ ผมรับไม่ได้ ซีซีผมกลัว”
น้ำเสียงเขาฟังดูสิ้นหวังอย่างที่สุด ถังซีไม่อยากเชื่อว่าเฉียวเหลียงจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว เปราะบาง และน่าสงสารได้ขนาดนี้
“ฉันจะอยู่กับคุณตลอดเวลาค่ะ ฉันสัญญาว่าเมื่อคุณลืมตาขึ้นมา คนแรกที่คุณเห็นจะเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันจากคุณไปไหน ได้โปรดนอนหลับก่อนได้ไหมคะ” ถังซีลูบหลังเฉียวเหลียงเบาๆ “จากนี้ไป ไม่ว่าจะในความฝันหรือเมื่อคุณตื่นขึ้นมา ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”