[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 551 : คืนแห่งการสำรวจ!
ฉางหลิงยืนหน้าแดงมองหลิงหยุนขับรถออกไปจนลับสายตา แล้วจึงหันหลังเดินขึ้นตึกไป
ฉางหลิงเดินถือถุงใส่ปลาเข้าไปในลิฟท์อย่างทุลักทุเล และเมื่อขึ้นไปถึงห้อง แม่ของเธอ – นางเหลียงเฟิ่งจิน ก็เดินมาเปิดประตูด้วยตัวเอง
เหลียงเฟิ่งจินสวมชุดนอนสีกุหลาบ และแม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังดูสวยงามมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ รูปลักษณ์ของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลียงเฟิงอี้เลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนจะสวยกว่าด้วยซ้ำไป
“เข้ามาเร็วเข้า! กลับบ้านดึกๆดื่นๆ แล้วนั่นหิ้วอะไรมาด้วย!?” เหลียงเฟิ่งจินถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก
“เอ่อ.. ปลาค่ะ!”
ฉางหลิงเข้าไปในบ้าน จัดการถอดรองเท้า และเดินเท้าเปล่าเข้าไปด้านในพร้อมกับแบกถุงปลาตัวใหญ่เข้าไปในครัว
เหลียงเฟิ่งจินได้แต่มองตามลูกสาวที่กลับบ้านดึกดื่น อีกทั้งยังเดินถือปลาตัวใหญ่กลับมาด้วย
“พี่ใหญ่คะ.. ฉางหลิงกลับมาแล้วเหรอ?”
เหลียงเฟิงอี้สวมชุดนอนตัวหลวมสีขาวก้าวออกมาพร้อมกับผมที่ยังเปียกชื้น และเดินตรงเข้าไปยังห้องนอนของฉางหลิงทันที
พ่อของฉางหลิงนั้นได้ออกไปทำการสำรวจด้านธรณีวิทยามากว่าครึ่งเดือนแล้ว นางเหลียงเฟิ่งจิงจึงขอให้น้องสาวของเธอ – เหลียงเฟิงอี้มาอยู่เป็นเพื่อน และสองพี่น้องก็ค่อนข้างสนิทสนมกันมาก
“กรี๊ด..”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในห้องครัว ฉางหลิงจัดการเทปลาตัวใหญ่นั้นลงในอ่าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอ่างนั่นยังเล็กกว่า และปลาก็กระโดดออกจากอ่างลงมาดิ้นขลุกขลักอยู่ที่พื้น
“แม่คะ.. มาช่วยจับหน่อย ปลาตัวใหญ่เกินไป หนูจับไม่ได้!”
ฉางหลิงก้มลงจะจับถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่สามารถจับปลาตัวใหญ่นี้ได้ จึงได้แต่ร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากแม่ของเธอ
“นี่.. ใหนบอกแม่ว่าทบทวนหนังสือที่โรงเรียน? แค่เห็นก็รู้แล้วว่าโกหก ที่ห้องเรียนมีปลาตัวใหญ่แบบนี้ด้วยหรือยังไง?”
เหลียงเฟิ่งจิงร้องคำรามออกมาทันทีที่เข้าไปในห้องครั้ว และเห็นฉางหลิงกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นพยายามจับปลา แต่เพราะกระโปรงที่สวมนั้นสั้นเกินไป จึงเห็นแต่กางเกงชั้นในของลูกสาว นางเองก็ถึงกับหน้าเสีย
เหลียงเฟิ่งจินช่วยลูกสาวจับปลาอยู่นาน และในที่สุดก็จับมันไปทิ้งลงในอ่างขนาดใหญ่ แล้วตักน้ำเทลงไป เจ้าปลาตัวใหญ่จึงได้สงบนิ่งลง
แม่และลูกสาวต่างก็ล้างไม้ล้างมือ และกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ฉางหลิงตั้งใจจะวิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำ แต่เหลียงเฟิ่งจินกลับร้องเรียกเสียงดัง
“ฉางหลิง.. ตอบแม่มาตามตรงเดี๋ยวนี้นะ! ทำไมถึงกลับบ้านดึกขนาดนี้? ใครมาส่งลูก? แล้วปลาตัวใหญ่นั่นได้มาจากที่ใหน?!”
เหลียงเฟิ่งจินเริ่มสอบสวนลูกสาวคนเดียวของตนเอง..
ฉางหลิงยืนเท้าเปล่าอยู่หน้าทีวีจ้องมองแม่ แล้วหันไปมองเหลียงเฟิงอี้ และเมื่อเห็นสายตาที่แหลมคมของทั้งคู่กำลังจ้องมองมาที่ตนเอง ฉางหลิงจึงรู้ได้ทันทีว่าคงจะไม่สามารถพูดโกหกได้อีกต่อไป
“คือ.. หนูไปเที่ยวกับเพื่อนในห้องมาค่ะ แล้วปลานั่นเพื่อนก็เป็นคนให้หนูมา แล้วเขาก็เป็นคนขับรถมาส่งหนูที่บ้าน..”
“เพื่อนคนใหน? ใช่หลิงหยุนมั๊ย?” เหลียงเฟิ่งจินถามขึ้นอย่างรู้ทัน
สีหน้าของเหลียงเฟิ่งจินนั้นดูไม่พอใจอย่างมาก แต่เหลียงเฟิงอี้ยังคงอยุ่ในอาการสงบ และตั้งใจฟัง เพราะความจริงเธอเองก็คิดอยู่แล้วว่าฉางหลิงคงต้องไปออกเดทกับหลิงหยุนอย่างแน่นอน แต่เธอไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้กับเหลียงเฟิ่งจินรู้
“เอ่อ.. ใช่ค่ะ!” ฉางหลิงรู้ดีว่าโกหกไปก็คงไม่มีประโยชน์ เธอจึงเลือกที่จะตอบไปตามความจริง
“แล้วพากันไปเที่ยวที่ใหน? สองชั่วโมงกว่า รู้มั๊ยว่าที่บ้านเป็นห่วง?”
เหลียงเฟิ่งจินพูดออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปหาฉางหลิง พร้อมกับจ้องมองกระโปรงสั้นคล้ายจะสำรวจอะไรบางอย่าง
ฉางหลิงรีบหลบและพูดว่า “แม่คะ.. นี่แม่คิดว่าพวกเราจะไปที่ใหน? พวกเราสองคนก็แค่นั่งคุยกันที่สนามโรงเรียน นี่แม่คิดไปถึงใหนกัน?”
เหลียงเฟิ่งจินทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “เฮอะ.. ใครจะไปรู้! แกก็ใจกล้าไม่เบาเลย!”
เหลียงเฟิ่งจินก็เคยเป็นเด็กสาววัยรุ่นมาก่อน มีหรือที่เธอจะไม่เข้าใจฉางหลิง!
เหลียงเฟิงอี้ที่นั่งดูสถานการณ์อยู่บนโซฟาครู่ใหญ่ ได้แต่เม้มริมฝีปากแดงพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“แล้วนี่กลิ่นอะไร?!” เหลียงเฟิ่งจินเพิ่งสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นพิเศษบางอย่างโชยออกมาจากตัวของฉางหลิง
ฉางหลิงถึงกับหน้าแดงและเริ่มตื่นตระหนก “กลิ่นอะไรเหรอคะ? น่าจะเป็นกลิ่นปลาละมั๊ง! เพราะหนูหิ้วมันมาตลอดทาง”
“ถามอะไรเยอะแยะ.. หนูจะไปอาบน้ำพักผ่อนแล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางที่สงสัยมากของแม่ ฉางหลิงเห็นท่าไม่ดีแน่หากยังคงอยู่ในห้องนั่งเล่นต่อไป พูดจบเธอจึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันทีโดยไม่รอให้ใครอนุญาต
“เฮอะ.. เด็กสมัยนี้! เห็นฉางหลิงบอกว่าหลิงหยุนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงนี่ แต่วันๆไม่เข้าเรียนจะสอบติดได้ยังไงกัน!”
นี่ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว เหลียงเฟิ่งจินเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของฉางหลิง แต่ในใจก็นึกตำหนิหลิงหยุน เดิมทีจากคำพูดของเหลียงเฟิงอี้นั้น เหลียงเฟิ่งจินก็รู้สึกประทับใจในตัวหลิงหยุนบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์
“ไว้ค่อยสอบสวนต่อวันหลัง..”
เหลียงเฟิงอี้ยิ้มมุมปากก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ แต่ในหัวกลับนึกถึงหลิงหยุนที่เพิ่งขับรถแลนด์โรเวอร์ออกไป
“เธอเองก็เหมือนกัน.. เป็นน้าเล็ก แต่วันๆก็เอาแต่พูดถึงคนนอก ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ”
เหลียงเฟิงอี้เหลือบมองพี่สาวของเธอ จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องนอนของฉางหลิงช่วยหยิบชุดนอนออกมาให้
……..
เมื่อส่งฉางหลิงกลับบ้านแล้ว หลิงหยุนก็ขับรถออกจากหมู่บ้าน และตรงไปที่คลินิกสามัญชน หลิงหยุนหยุดรถพร้อมกับใช้จิตหยั่งรู้สำรวจเข้าไปด้านใน และเมื่อเห็นว่าชั้นสองไม่มีใครอยู่ เหยาลู่กลับไปนอนที่บ้านแล้ว เขาจึงสตาร์ทรถขับกลับไปยังบ้านเลขที่-1
หลิงหยุนจอดรถแลนด์โรเวอร์ไว้ห่างจากบ้านเลขที่-1 หลังจากล็อครถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินย่องไปที่บ้านอย่างเงียบเชียบ หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจเข้าไปภายในบ้าน และพบว่าทุกอย่างปกติดี เขาจึงคลายความกังวล
ตีหนึ่งของเช้าวันนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่มีศัตรูที่ต้องตายคืนนี้!
เสียวเม่ยหนิงเข้าไปนอนตามปกติ แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงเดินลมปราณอยู่ภายในห้องนอนของตนเอง
ไป๋เซียนเอ๋อกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาจิ้งจอกสวรรค์เหินอยู่บนเตียงในห้องนอนของหลิงหยุน
หลิงหยุนไม่ต้องการรบกวนการฝึกฝนของพวกนาง เขาใช้พลังขั้นสูงสุดมุ่งตรงไปที่บ้านของเกาเฉินเฉิน และด้วยการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของหลิงหยุน จึงยากที่กล้องวงจรปิดตามถนนจะสามารถจับภาพของเขาไว้ได้
หลิงหยุนคุ้นเคยกับถนนหนทางในหมู่บ้านเป็นอย่างดี และเพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเกาเฉินเฉิน หลิงหยุนหยุดอยู่หลังพุ่มไม้ และเริ่มใช้จิตหยั่งรู้สำรวจเข้าไปด้านใน แต่ก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่า
หลิงหยุนกระโดดเข้าไปในลานบ้าน และกระโดดขึ้นไปบนระเบียงห้องนอนชั้นสองของเกาเฉินเฉิน
ทั้งประตูและหน้าต่างถูกปิดไว้ และด้านในก็มีผ้าม่านบดบังการมองเห็นไว้อีกชั้น แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหากับหลิงหยุน เขาไม่ต้องการใช้จิตหยั่งรู้สำรวจด้านใน จึงใช้นิ้วตัดกระจกเป็นวงกลมแทน
และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา หลิงหยุนก็ไปยืนอยู่กลางห้องของเกาเฉินเฉิน ในมือถือกระจกวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวครึ่งเมตร
และเมื่อกลับมายืนในห้องนี้อีกครั้ง หลิงหยุนก็อดที่จะนึกถึงเกาเฉินเฉินไม่ได้..
ทั้งคู่ออกเดทกันที่สนามกีฬาของโรงเรียน ไปเต้นรำที่คลับด้วยกัน แม้กระทั่งคืนที่หลิงหยุนเกิดเรื่อง เกาเฉินเฉินก็ขับรถแลมโบกินี่ของเธอไปที่บ้านของเฉิงเม่ยเฟิงเพื่อช่วยเขาอย่างไม่ลังเล อีกทั้งเขาและเธอก็ยังเคยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องนอนนี้ด้วยกัน
เมื่อหลิงหยุนนึกถึงภาพต่างๆที่เคยเกิดขึ้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในใจได้แต่คิดว่ารอให้การสอบเอนทรานซ์ผ่านไปก่อน เขาจะไปหาเกาเฉินเฉินที่ปักกิ่งเอง อย่างน้อยก็ต้องได้พบกับเธอ..
ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นในหัวใจ หลิงหยุนจะไม่มีความสุข และมันก็มีผลกระทบต่อการฝึกจิตตามวิถีแห่งเต๋าของเขา
เฉิงเม่ยเฟิง เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยเม่ย สาวสวยทั้งสามคนล้วนมีผลต่อจิตใจของหลิงหยุน แม้ว่าเขาจะไม่เคยเอ่ยออกมา แต่ในจิตใจของเขานั้นยังคงระลึกถึงและเป็นห่วงอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหยุนจึงพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้ก้าวหน้า ยิ่งเขาแข็งแกร่งได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับคนของอารามจิ้งซิน ศัตรูของตระกูลเกา และองค์กรนักฆ่าได้ โอกาสที่เขาจะเป็นฝ่ายชนะ ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หลิงหยุนสะบัดศรีษะอย่างแรงเพื่อกำจัดอารมณ์เศร้าสร้อยหดหู่ออกจากจิตใจให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงใช้จิตหยั่งรู้ขั้นสุดของตนเองสำรวจไปรอบๆห้อง
สิ่งของต่างๆภายในห้องของเกาเฉินเฉินนั้น ไม่มีสิ่งใหนสะท้อนในจิตหยั่งรู้ของเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่เพียงไม่นานเขาก็พบของสิ่งของชิ้นหนึ่ง
มันคือสมุดไดอารี่ที่เกาเฉินเฉินเก็บไว้ในลิ้นชักที่ล็อคไว้..
หลิงหยุนรีบพุ่งไปที่ลิ้นชักและดึงออกมาทันที แล้วก็พบไดอารี่เล่มนั้นอยู่ด้านใน หลิงหยุนเปิดไดอารี่ออกอ่าน และพบว่าหน้าสุดท้ายเป็นบันทึกที่เกาเฉินเฉินเขียนถึงการกลับไปที่ปักกิ่ง
ลายมือของเกาเฉินเฉินนั้นสวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย..
ในไดอารี่เล่มนั้น เกาเฉินเฉินเขียนบันทึกเรื่องความคิดถึงและความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อหลิงหยุนอย่างมากมาย แต่เธอก็มั่นใจว่าหลิงหยุนจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าอนาคตของเธอกับหลิงหยุนจะยังคงคลุมเครือ เธอก็ตั้งใจจะกลับไปบอกที่บ้านว่า หากไม่ใช่หลิงหยุน เธอก็จะไม่แต่งงาน!
หลิงหยุนอ่านไดอารี่ผ่านๆ แล้วรีบเก็บมันเข้าไปในแหวนพื้นที่ เมื่อไม่พบอย่างอื่นอีก เขาจึงออกจากบ้านของเกาเฉินเฉินไป
แต่ก็ไม่ได้กลับไปยังบ้านเลขที่-1 แต่มุ่งหน้าไปยังเขามังกรแทน!