ตอนที่ 595 พวกเราไม่ใช่คนของนิกายเหอฮวน

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินได้สติขึ้นมา ก็ตกตะลึง

จื่อซีเจินจวินที่อยู่ตรงข้ามกำลังปิดปาก เปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา

เหิงตั๋วเจินจวินไม่ทันได้เก็บยิ้มที่มุมปาก ก็เหลือบมองนางด้วยความตกตะลึง

อาจารย์ผู้เดิมทีมีนิสัยดั่งลมพัดเมฆสีขาวลอยล่องก็ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง

สิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึงที่สุดก็คือหลิวซางเจินจวินผู้มักจะเข้มงวดกับลูกศิษย์ของเหยากวงมาโดยตลอด คาดไม่ถึงเลยว่าจะสาวเท้ายาวๆ ก้าวทะยานออกไป ไล่ตามคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติที่ถูกถีบกระเด็นไป

จากนั้น ทุกคนก็หันหน้ามาพร้อมกัน สายตาไล่ตามหลิวซางเจินจวินไป

หลิวซางเจินจวินหมุนตัวกลางอากาศ สะบัดแขนเสื้อม้วนคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติกลับมา จากนั้นก็หมุนตัวคราหนึ่ง ร่อนลงมา

มองคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติแวบหนึ่ง ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งกำลังจะเก็บ พลันได้ยินเสียง เปรี๊ยะ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง

หลิวซางเจินจวินหยุดชะงัก ค่อยๆ หมุนคันฉ่องช้าๆ

ก็เห็นด้านหนึ่งของมันเริ่มเกิดรอยปริแตกและกระจายตัวออกไปรอบด้าน จากนั้นชิ้นส่วนที่ปริแตกก็ตกลงสู่พื้น เกิดเสียงเกรียวกราวดังขึ้น

มั่วชิงเฉินเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน หลิวซางเจินจวินหน้าเขียวคล้ำ

“สวรรค์!” เสวียนหั่วเจินจวินใช้พัดกกปิดบังใบหน้าของตนเองเอาไว้ ทนมองไม่ได้

“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ” เยี่ยเทียนหยวนที่ตามออกมาเห็นสถานการณ์ด้านนอก ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

หลิวซางเจินจวินถือคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติเอาไว้ สาวเท้าไปหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก

“นี่ๆ ศิษย์พี่ประมุขพรรค เยือกเย็นหน่อย ท่านต้องเยือกเย็นเข้าไว้นะ เด็กสองคนนั้นอุตส่าห์รอดชีวิตกลับมาได้อย่างยากลำบาก” เสวียนหั่วเจินจวินถ่ายทอดเสียงไปพลางใช้สายตาขมขื่นชักจูงไปพลาง

หลิวซางเจินจวินเหลือบมองเสวียนหั่วเจินจวินแวบหนึ่ง เผยท่าทีดั่งอันธพาลออกมา เสวียนหั่วเจินจวินที่ยามปกติแล้วก็ไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งนั้นพลันเหี่ยวเฉา มองไปยังมั่วชิงเฉินแวบหนึ่งอย่างเห็นใจ

นางหนู เจ้าต้องขอให้ตนโชคดีมากหน่อยแล้ว

มั่วชิงเฉินรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนเองก่อเรื่องวุ่นวาย พลันมองใบหน้าเขียวคล้ำของหลิวซางเจินจวิน ตัดสินลงมือก่อนได้เปรียบ คารวะทันทีด้วยเสียงสดใส “ชิงเฉินคารวะอาวุโสสูงสุดประมุขพรรค”

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ “เพราะเรื่องของชิงเฉิน หลายปีที่ผ่านมาทำให้เหล่าบรรพชนและเจินจวินทุกท่านลำบากแล้ว การออกจากการกักตนครั้งนี้ก็ทำให้เหล่าบรรพชนตกใจจนต้องมาเอง ช่างน่าละอายเสียจริง”

หลิวซางเจินจวินมุมปากกระตุก พูดไม่ออกอยู่นาน

มั่วชิงเฉินหยัดกายขึ้น ขมวดคิ้วเหลือบมองคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านบรรพชน คันฉ่องปีศาจนี่มาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่าจะลอบแอบมองการเข้าคู่บำเพ็ญของพวกเราสองสามีภรรยาอยู่หน้าประตู…”

เอ่ยมาถึงตอนนี้ก็เบิกตาโต “หรือว่า มีคนแอบเข้ามาในเหยากวงของพวกเรา แล้วใช้คันฉ่องปีศาจนี้ตรวจสอบความลับในพรรค”

เยี่ยเทียนหยวนออกมาทีหลัง จึงไม่เห็นว่ามั่วชิงเฉินออกแรงเตะคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติ จึงเอ่ยเตือนอย่างต้องการสืบหาความจริง “ศิษย์น้อง คันฉ่องปีศาจนี้ ดูเหมือนจะเป็นของอาวุโสประมุข…”

“ศิษย์พี่ ท่านพูดอะไร อาวุโสประมุขพรรคจะใช้คันฉ่องปีศาจแอบดูศิษย์เข้าคู่บำเพ็ญเพียรได้อย่างไร พวกเราไม่ใช่คนของนิกายเหอฮวน!” มั่วชิงเฉินตัดบทคำพูดของเยี่ยเทียนหยวนทันที

ทุกคนมองไปทางหลิวซางเจินจวินอย่างอึดอัดใจ

หลิวซางเจินจวินเปลี่ยนจากหน้าเขียวคล้ำเป็นแดงเถือก พยายามรักษาอาการเยือกเย็นเอาไว้ แล้วพยักหน้า “แค่กๆ ลั่วหยางชิงเฉิน พวกเจ้าเพิ่งออกจากการกักตน ไปจัดการตัวเองให้เรียบกันก่อนเถิด อีกเดี๋ยวค่อยมาที่โถงประชุมยอดเขาโฮ่วเต๋อ เรื่องคันฉ่องหลากสี…แค่กๆ เรื่องคันฉ่องปีศาจนี้ ข้าจะตรวจสอบให้อย่างละเอียดด้วยตนเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง รอพวกเจ้าที่โถงประชุมก็แล้วกัน”

เอ่ยจบ ก็กวาดตามองทุกคนเป็นการกล่าวลาแวบหนึ่ง “ศิษย์น้องทุกท่านตามข้าไปพร้อมกันเถิด”

มองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนติดตามหลิวซางเจินจวินไปด้วยสีหน้าแปลกพิกล มั่วชิงเฉินก็ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย

“ศิษย์น้อง พวกเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถิด พวกอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคยังรอพวกเราอยู่” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย

แม้จะบอกว่าเมื่อบรรลุมาถึงระดับพลังยุทธ์อย่างพวกเขา ร่างกายคงไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นไปตั้งนานแล้ว แต่ความเคยชินของมนุษย์ก็ยากจะแก้ไข

กักตนมานานเพียงนี้ มั่วชิงเฉินยังตายไปแล้วครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเย็นสดชื่นแล้วถึงได้สบายใจ

ทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อย ก็บินไปยังยอดเขาโฮ่วเต๋อ

เข้าไปในโถงประชุม เจินจวินหลายท่านล้วนกำลังรออยู่ด้านใน

มั่วชิงเฉินเห็นจิ้งเหยียนเจินจวินเจ้าสำนักลั่วสยาก็เป็นหนึ่งในนั้น พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย

เหตุใดเจ้าสำนักลั่วสยาถึงมาที่เหยากวง และยิ่งไปกว่านั้นยามคุยเรื่องสำคัญก็ไม่หลีกเลี่ยงไป

แม้รู้สึกงสงสัยอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง คารวะเสร็จก็นั่งลงประจำที่

“ลั่วหยางชิงเฉิน พวกเจ้าสองคนจำปรากฏการณ์สวรรค์เมื่อครู่ได้หรือไม่” หลิวซาวเจินจวินที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักกลับมามีสีหน้าสุขุม พลางเอ่ยปากถาม

ทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า

หลิวซางเจินจวินพลันใจเต้นแล้วเอ่ยถามว่า “ตอนนั้นทารกปราณของพวกเจ้า ถือสมบัติวิเศษเจ้าชะตาอยู่ นี่ชัดเจนว่าต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตถึงจะทำได้ พวกเจ้ารู้ความสำคัญของมันหรือไม่”

มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกโล่งใจ มิน่าเล่าเจินจวินทุกท่านถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้ และยังให้คนนอกอยู่ที่นี่ ที่แท้ก็เรื่องระดับถอดดวงจิต

“เรื่องนี้ ลั่วหยางเองก็ไม่แน่ใจ หลังจากจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนร่างแล้วถึงได้ฟื้นคืนสติสัมปชัญญะกลับมา” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย

ทุกคนพลันมองไปที่มั่วชิงเฉิน

พวกเขารู้ว่ามั่วชิงเฉินใช้ร่างวิญญาณบำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเยี่ยเทียนหยวน

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด “ยามนั้น ข้ารู้สึกเพียงว่ากายเนื้อบรรจุจิตวิญญาณดั้งเดิมไม่ไหว จึงทะลักออกมาจากร่าง ส่วนเหตุุใดจิตวิญญาณดั้งเดิมถึงถือสมบัติวิเศษเจ้าชะตาได้ หลังจากออกร่างแล้วได้เรียนรู้อะไร ดูเหมือนจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับไม่อาจใช้ภาษามาอธิบายได้”

เจินจวินทุกคนพลันมองสบตากัน

พวกเขาล้วนเชื่อคำพูดของมั่วชิงเฉิน มรรคาแห่งเต๋านี้ ยิ่งดำรงอยู่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

สิ่งที่เรียกว่าสัมผัสได้แต่ไม่อาจถ่ายทอดได้ ก็เป็นเช่นนี้

เจินจวินทั้งหลายพลันขมวดคิ้ว ขบคิดถึงคำพูดของมั่วชิงเฉิน

นอกจากจิ้งเหยียนเจินจวินแล้ว คนอื่นๆ ล้วนทราบว่าหลังจากที่ดวงวิญญาณของมั่วชิงเฉินกลับมาจากแดนผีก็แข็งแกร่งเกินไปจนไม่อาจกลับคืนสู่ร่างได้ จึงเป็นของบำรุงชั้นดีให้กับเยี่ยเทียนหยวนพอดี เมื่อมันลดลงและนานวันเข้า ทั้งสองก็ล้วนสมบูรณ์แบบ

หลิวซางเจินจวินลูบเคราสั้นๆ ใต้คางอย่างไม่รู้สึกตัว ฉับพลันนั้นก็หยุดชะงัก แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย “ลั่วหยางชิงเฉิน พวกเจ้าสองคนมานี่ซิ”

มั่วชิงเฉินและพวกทั้งสองเดินไปอยู่ตรงหน้าหลิวซางเจินจวิน หลิวซางเจินจวินยื่นมือไปกดข้อมือของพวกเขาตรวจสอบดู รอจนมองเห็นว่าทารกปราณของทั้งสองมีขนาดเท่ากันแล้ว ก็มีท่าทีครุ่นคิด

“ศิษย์พี่ประมุขพรรค…” ในที่สุดเสวียนหั่วเจินจวินก็ทนไม่ไหวร้องตะโกนขึ้น

หลิวซาวเจินจวินมองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สาเหตุที่ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาออกจากร่างได้ชั่วคราวนั้น อาจจะเป็นเพราะปริมาณพลังของทารกปราณพวกเขา บรรจุอยู่ในกายเนื้อจนถึงขีดสุด ชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมเหนือกว่ากายเนื้อ จึงทะลักออกมาร่าง เมื่อการฝืนประสานกายเนื้อสอดคล้องกับปริมาณของจิตวิญญาณดั้งเดิม จิตวิญญาณดั้งเดิมจึงกลับเข้าสู่ตำแหน่ง”

เมื่อได้ยินคำนี้ จิ้งเหยียนเจินจวินก็หน้าเปลี่ยนสี แววตาที่มองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองเริ่มร้อนแรงขึ้น

พลังยุทธ์ของพวเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นต้นชัดๆ พลังของจิตวิญญาณดั้งเดิมจะบรรจุอยู่ในกายเนื้อเกินขีดสุดได้อย่างไร

ต้องเข้าใจว่าพลังของจิตวิญญาณดั้งเดิมยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะช้ากว่าวิทยายุทธ์และระดับจิตใจเสมอ เขาที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว ยังไม่เคยพบประสบการณ์กายเนื้อรับพลังของจิตวิญญาณดั้งเดิมจนถึงขีดสุดเลย

หรือว่า กายเนื้อต้องรับพลังของจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง ถึงจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาไปถึงระดับถอดดวงจิตได้

จิ้งเหยียนเจินจวินรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นระรัว กวาดตามองคนอื่นๆ แวบหนึ่ง พบว่าพวกเขาล้วนมีท่าทีขบคิด

หลังจากนั้นเนิ่นนาน หลิวซางเจินจวินก็พยักหน้าอย่างช้าๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ลั่วหยางชิงเฉิน พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด”

เมื่อเห็นว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองลุกขึ้นจากไป คนอื่นๆ ก็ไม่ปริปาก จิ้งเหยียนเจินจวินทนไม่ไหวจึงร้องตะโกนขึ้นว่า “ช้าก่อน”

จากนั้นก็มองหลิวซางเจินจวิน “หรือสหายจะไม่ถามว่าพวกเขาสองคนฝึกฝนจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างไร”

หลิวซางเจินจวินมองจิ้งเหยียนเจินจวินแวบหนึ่งด้วยสีหน้ารำคาญใจ “สหายจิ้งเหยียน ฝึกฝนอย่างไรล้วนเป็นความลับสูงสุดของผู้บำเพ็ญเพียร”

จิ้งเหยียนเจินจวินคารวะมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนอย่างนอบน้อม “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ว่าการซักถามอย่างละเอียดนั้นเป็นเรื่องที่เสียมารยาท แต่เรื่องนี้สำคัญมาก อาจจะเกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่ทั้งชีวิตของข้าไม่อาจพัฒนาไประดับถอดดวงจิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องสาธารณะนั้น ข้าล้วนไม่อาจรักษาความเงียบไว้ได้อีก หวังว่าทั้งสองท่านจะไม่ถือสา”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากพวกเจ้ามีเคล็ดลับในการถอดร่างอะไร ก็พูดมาเถิด” หลิวซางเจินจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ

มั่วชิงเฉินเม้มปาก เอ่ยอย่างลังเล “พวกเราสองสามีภรรยามีพลังยุทธ์ตื้นเขิน การเข้าคู่บำเพ็ญเพียรครั้งนี้ปรากฏความมหัศจรรย์ขึ้น จนถึงยามนี้ก็ยังเลอะเลือน หากจะให้บอกว่าแตกต่างกับเจินจวินท่านอื่นอย่างไร หรือว่าจะเป็นเพราะไฟจริง”

เหตุใดจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการที่ดวงวิญญาณของนางแข็งแกร่งเกินไป เหล่าเจินจวินสองสามท่านล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอย่างชาญฉลาด สัมผัสได้ว่าหลิวซางเจินจวินไม่อยากให้จิ้งเหยียนเจินจวินทราบเรื่องนี้ จึงจงใจให้จิ้งเหยียนเจินจวินเข้าใจผิดคิดถึงไฟจริง

เพลิงวาสนาตะวันและเพลิงแก้วใจกระจ่างนั้นเป็นเพลิงอัศจรรย์ที่หาได้ยาก หากเข้าคู่บำเพ็ญเพียรแล้วเกิดปาฏิหาริย์ใดๆ ขึ้นผู้ใดก็อธิบายได้ยาก

ต่อให้คนอื่นคิดว่ามาจากไฟจริง ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น แต่กลับไม่อาจเกิดความคิดอะไรได้

ถึงอย่างไรเสียไฟจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแย่งชิงได้ นอกเสียจากจะเป็นคนเสียสติ ก็ไม่มีทางสังหารพวกเขาในเปลแน่

หลายปีก่อนเคยมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตปรากฏตัวขึ้นสองสามคน เมื่อเข้าสู่ระดับนี้ ก็ออกจากพันธนการของพรรคสำนัก ไปผจญภัยทั่วหล้า ก็ไม่เห็นว่ามีผู้ใดมาสังหารพวกเดียวกัน

โลกผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ ยิ่งรอคอยให้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตปรากฏขึ้น หนึ่งคือเพื่อทำลายสถานการณ์หยุดชะงักนี้ มอบความมั่นใจให้แก่ผู้คน สองคือใช้เป็นกระจกเงา ให้ตนได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

หลิวซางเจินจวินมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่งอย่างชมเชย

จิ้งเหยียนเจินจวินเผยสีหน้าเสียดายออกมา พลางครุ่นคิด แม้ว่าจะไม่ได้วิธีการฝึกฝนในการเพิ่มพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่กลับเข้าใจสาเหตุดี ก็นับว่าเป็นผลประโยชน์ครั้งใหญ่ จึงเอ่ยขอตัวลา

“จิ้งเหยียนเจินจวินเดินทางปล่อยภัย” หลิวซางเจินจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา

มองท่าทางยิ้มบางๆ ของหลิวซางเจินจวิน จิ้งเหยียนเจินจวินก็รู้สึกไม่สบอารมณ์

เขาเพิ่งเจ็บปวดจากการเสียบุตรสาว ยังมาเสียลูกเขยที่มีรากวิญญาณสวรรค์ไปอีก คนอื่นกลับอาจจะได้ชนรุ่นหลังที่บรรลุไปถึงระดับถอดดวงจิตได้ ช่างเป็นโชคชะตาของแต่ละคนจริงๆ!

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด จึงถ่ายทอดเสียงไป “สหาย คันฉ่องปีศาจของเจ้าเสียพังแล้ว ในอนาคตหากมีอะไรให้ช่วย ก็ไม่ต้องเกรงใจ มายืมที่สำนักลั่วสยาของข้าก็ได้แล้ว”

เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซางเจินจวินแข็งค้างดังคาด และเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

“ฮ่าๆ สหายหลิวซาง ขอตัวลาล่ะ” ฉับพลันนั้นจิ้งเหยียนเจินจวินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา จึงหัวเราะร่าแล้วเดินจากไป

“จื่อซี อาจารย์ของเจ้าเป็นอะไรไป” เสวียนหั่วเจินจวินถ่ายทอดเสียงมาอย่างเงียบๆ

ใบหน้าของจื่อซีเจินจวินเต็มไปด้วยความนอบน้อม ถ่ายทอดเสียงกลับมาอย่างราบรื่น “นี่ยังต้องถามอีกหรือ จะต้องคิดถึงสุดที่รักคันฉ่องผู้ยังไม่ได้รับชัยชนะก็มาตายไปก่อนแน่”

“แค่กๆ” เสวียนหั่วเจินจวินยืดตัวตั้งตรง ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

ผ่านไปชั่วครู่ หลิวซางเจินจวินถึงได้ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเจ้าจงจำไว้ สาเหตุที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของลั่วหยางและชิงเฉินแข็งแกร่งขึ้น ห้ามแพร่งพรายไปภายนอกแม้แต่ครึ่งคำ”

“ขอรับ” เจินจวินทุกท่านยืนขึ้นตอบรับ

หลิวซางเจินจวินถอนใจ เอ่ยสำทับว่า “ไม่ใช่แค่นี้ พวกเจ้าเองก็อย่าคิดถึงวิธีนี้ มิเช่นนั้น จะถูกขับไล่ออกจากพรรค!”