หลิวฮ่วนเยือนสถานที่หนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นคนมีหลักการ
เขายอมรับว่าตัวเขาเองก็ต้องการปากกาจารึกนั่นไม่น้อย
ปากกาจารึกระดับ 9 ดาว ใครที่ไหนจะไม่อยากได้?
อย่างไรก็ตามมีวาจาที่กล่าวว่า ‘วีรบุรุษไม่ชิงของรักผู้อื่น’ พอเขาเห็นท่าทีลังเลของป๋ายลี่หง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าป๋ายลี่หงเองก็ไม่อาจตัดใจจากปากกาจารึกด้ามนี้ได้
ดังนั้นแล้วเขาเองก็ไม่ควรรับ
มิฉะนั้นเขาก็เห็นแก่ตัวเกินไป!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยืนกรานไม่ยอมรับปากกาจารึกด้วยทาทีเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สุดท้ายป๋ายลี่หงก็รับมันกลับมา “ศิษย์น้องข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่คิดจะพรากของรักไปจากข้า…เช่นนั้นข้าจะรับปากกาจารึกนี่กลับมาชั่วคราว แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“ศิษย์พี่ว่ามาเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“วันใดก็ตามที่เจ้ากลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว…เจ้าต้องยอมรับปากกาจารึกนี้ไปทันที หากเจ้าไม่รับปากข้า! เช่นนั้นเจ้าก็จงรับมันไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!!”
จริงอยู่ที่ป๋ายลี่หงเองก็ยากตัดใจจากปากกาจารึกด้ามนี้
ทว่านั่นเป็นเพียงธรรมชาติของมนุษย์
ปากกาจารึกระดับ 9 ดาวนั้น เกรงว่าให้เป็นทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็อาจมีอยู่ไม่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นมันเองก็ใช้ปากกาจารึกนี่มาเนิ่นนาน ความผูกพันหวงแหนย่อมมีไม่น้อย เป็นธรรมดาที่มันจะไม่เต็มใจมอบให้ใคร
อย่างไรก็ตามมันก็รู้ตัวดี ว่ามันไม่อาจเห็นแก่ตัวได้
ปากกาจารึกด้ามนี้เป็นอาจารย์ที่มันไม่เคยพบเหลือทิ้งไว้…
ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเจ้าของ แต่อาจารย์ของมันแน่นอนว่าย่อมหวังให้ศิษย์ที่สืบทอดเคล็ดวิชาจารึกพิสดารของตัวเองนำไปใช้
มันเชื่อว่าหากอาจารย์ของมันยืนอยู่ตรงนี้ ปากกาจารึกนี่ต้องถูกมอบให้ต้วนหลิงเทียนแน่
“ไม่มีปัญหา”
เมื่อเห็นท่าทีที่คล้ายไม่ยอมรับไม่เลิกราของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ในความคิดของเขานั้น อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน
บางทีตอนที่เขากลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว เขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้แล้วก็ได้
หลังจากสนทนาเรื่องราวสัพเพเหระเรื่องการจารึกกับป๋ายลี่หงอยู่อีกพักหนึ่ง เขาก็ลาอีกฝ่ายเพื่อกลับฝ่ายนอก
ในระหว่างทางไม่ว่าจะเดินผ่านที่ไหน ต้วนหลิงเทียนพบว่าผู้คนทั้งหลายล้วนมองมาที่เขาราวกับเขามีดอกไม้ทัดหู
‘นับว่าจริงโดยแท้… คนกลัวมีชื่อ หมูกลัวอ้วนพี’
ต้วนหลิงเทียนลอบยิ้มบางๆ
เมื่อเขาเดินผ่านหน้าศาลาอุทิศเขาก็ชะงักฝีเท้า ‘ดูเหมือนตอนนี้ในศาลาอุทิศก็ไม่มีอะไรที่ข้าต้องการเป็นพิเศษ…งั้นคะแนนอุทิศที่เหลือก็แลกยันต์เต๋าเพิ่มแล้วกัน’
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เก็บคะแนนอุทิศไว้กับตัว 100,000 แต้ม โดยไม่รวมส่วนที่จะมอบให้หลิงอวิ๋น นอกจากนั้นเขาก็เอาไปซื้อยันต์เต๋าจนหมด
ยันต์เต๋าเป็นอะไรที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้
ส่วนคะแนนอุทิศที่เหลือติดตัว 100,000 แต้มนั้น เขาเก็บเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
หากวันดีคืนดี เกิดชั้นแรกของศาลาอุทิศมีศิษย์นำวัตถุดิบที่สามารถซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มาขาย…
แต่เขาดันทะลึ่งไม่มีคะแนนอุทิศเหลืออยู่ ตอนนั้นเขาจะไปร้องกับใครได้?
แน่นอนว่าเขาสามารถไปหาศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงเพื่อขอยืม แต่อีกฝ่ายช่วยเหลือเขามามากแล้ว หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากไปรบกวนอะไรอีก
หลังจากที่ซื้อหายันต์เต๋าจนพอใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ลองมาเดินดูของที่ชั้น 1 ของศาลาอุทิศ
ทว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ต้องกลับไปมือเปล่า เพราะหลังจากเรียกให้ผู้เฒ่าหั่วออกมาดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้พบวัตถุดิบที่สามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้แม้แต่ชิ้นเดียว
‘ดูเหมือนว่าโชคของข้าจะใช้ไปหมดแล้วจริงๆ…’
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ก่อนที่จะเดินออกจากศาลาอุทิศไปท่ามกลางสายตาสนใจของเหล่าศิษย์
‘ฟังจากที่ศิษย์พี่กล่าว ดูเหมือนที่เมืองหานเหอจะมีปากกาจารึกขาย…เมืองหานเหอที่ว่า นั่นก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตรงั้นสินะ…สำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตรเองก็ตั้งอยู่ที่นั่นด้วย สมควรลองไปดูสักที’
ในระหว่างทางเดินกลับฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเมืองหานเหอ
เขาเองก็ได้ยินเรื่องราวของมันมาหลายครั้งแล้ว ใจอยากไปอยู่ไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็อยากได้ปากกาจารึกอาคมสักด้าม
‘นอกจากปากกาจารึก…ที่เมืองหานเหออาจมีวัตถุดิบที่ใช้ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้…ตอนนี้มันก็ใกล้จะฟื้นฟูได้สมบูรณ์เต็มที หากสามารถฟื้นฟูสำเร็จ ความเร็วในการฝึกปรือข้าจะก้าวหน้าขึ้นอีกมาก!’
พอคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งอยากไปเยือนเมืองหานเหอให้ได้โดยเร็ว
ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจใช้ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นได้
แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนั้นนับว่าดีขึ้นไม่น้อย
อีกทั้งเวลา 5 วันบนชั้น 3 ด้านนอกพึ่งผ่านไปแค่ 1 วันเท่านั้น
‘หลังจากนี้อีก 8 เดือนข้าต้องเดินทางกลับเกาะป้านเยว่ เพื่อไปอยู่กับสาวน้อยทั้ง 2 ตอนคลอด…ความสามารถในการต่อสู้ของข้าคงเพิ่มขึ้นไม่น้อยในช่วง 8 เดือนถ้าสามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้! ถึงตอนนั้นคิดเดินทางอะไรข้าก็มีพลังมากพอในการเอาตัวรอดแล้ว’
พอคิดบุตรที่กำลังจะลืมตาดูโลกทั้ง 2 ในต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวั่นไหว อยากกลับไปให้เร็วที่สุด
‘เมื่อข้าพบท่านพ่อท่านแม่เมื่อไหร่ ข้าจะพาพวกนางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที…ถึงตอนนั้นข้าจะจัดงานแต่งให้พวกนางอย่างยิ่งใหญ่!’
เมื่อคิดถึงคู่หมั้นทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขนัก
สาวน้อยคู่หมั้นของเขาทั้งคู่ จนถึงตอนนี้พวกนางยังไม่ได้รับสถานะที่พวกนางควรมี
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากมอบสถานะที่ชัดเจนกับพวกนาง แต่เขาไม่อาจให้ได้ เพราะพ่อแม่ของเขาไม่ได้อยู่ด้วย
บิดามารดาของสาวน้อยทั้งคู่ล้วนตกตายหมดแล้ว หากขาดไปจึงไม่นับว่าเป็นอะไร อย่างไรก็ตามบิดามารดาเขายังมีชีวิตอยู่ หากขาดไป…งานแต่งก็ถือว่าไม่สมบูรณ์
‘บางทีเผลอๆกว่าจะได้เจอท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง ลูกน้อยของข้าคงพูดได้แล้ว…ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่าทั้งสองคนต้องมีความสุขแน่ ที่ได้เป็นปู่ย่าโดยไม่รู้ตัว…’
รอยยิ้มบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนยากจะหุบลงได้โดยง่าย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินยิ้มนั้น แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัยในใจ
ไฉนศิษย์พี่ต้วนแลดูยิ้มแย้มอารมณ์ดีนักเล่า?
หรืออาวุโสป๋ายลี่มอบผลประโยชน์อันใดให้?
พอคิดถึงจุดนี้ใจทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา อย่าวไรก็ตามพวกมันรู้ดีว่าแข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาไม่ได้!
อีกทั้งต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นคนที่พวกมันชื่นชม
“ฉงหู่ ช่วงนี้คนของหลิวฮ่วนมันได้มากวนใจอะไรพวกเจ้ารึเปล่า?”
เมื่อเจอฉงหู่อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ถามออกไปทันที
“ศิษย์พี่ต้วน ตอนนี้ยังมีใครไม่รู้ว่าท่านเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่อีก? หลิวฮ่วนนั่นป่านนี้ไม่รู้ตกใจเตายไปหรือยัง! มันยังจะกล้ามาตอแยท่านอีกหรือ? ท่านได้ดีพวกเราเองก็พลอยได้อานิสงค์จากท่านมาด้วย!”
ฉงหู่ยิ้ม “จริงสิ ข้ายังมิได้แสดงความยินดีกับศิษย์พี่ต้วนเลย! ยินดีๆ!!”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างฉงหู่ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา
เขาไม่เชื่อว่าหลิวฮ่วนนั่นมันจะละวางเรื่องราวความแค้นได้ง่ายๆ เพียงเพราะเขามีสัมพันธ์อันดีกับป๋ายลี่หง
ตอนนี้หลิวฮ่วน น่ากลัวจะเปลี่ยนจากทวนเปิดเผยเป็นเกาทัณฑ์ซุ่มซ่อนแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลย
แน่นอนว่าเขาก็ไม่เสียใจสักนิด เพราะด้วยสัมพันธ์ศิษย์พี่น้องระหว่างเขากับป๋ายลี่หงก็ให้ผลดีกับตัวเขามากมาย
อย่างน้อยๆ ตอนนี้หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ ก็ยังอยู่ดี
หลิวฮ่วนเองก็ไม่กล้ามาสร้างปัญหาให้พวกมัน
‘แต่ศิษย์พี่คนนี้ก็อุกอาจไม่น้อย…ถึงกับไปหาหลิวฮ่วนซึ่งๆหน้าแบบนั้น’
ตอนป๋ายลี่หงบอกต้วนหลิงเทียนว่าได้ไปกล่าวเตือนหลิวฮ่วนถึงบ้านมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะอึ้ง
เขามองไม่ออกจริงๆว่าศิษย์พี่ของเขามีด้านนี้อยู่ด้วย อีกฝ่ายกลับไปกล่าววาจาเตือนหลิวฮ่วนไว้ชัดเจน!
หากหลิวฮ่วนกล้าแตะต้องเขา ตายสถานเดียว!
ถึงแม้ว่าในสำนักจันทร์จรัสแสงจะมีกฏเกณฑ์ห้ามฆ่ากันในสำนักโดยเด็ดขาด
แต่ป๋ายลี่หงเป็นใคร?
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสงยังไม่กล้าอวดอ้าง
ป๋ายลี่หงอยากฆ่าคน ไม่ต้องถามว่ามีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้อง!
ความสำคัญของป๋ายลี่หงในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้ ไม่ธรรมดานัก!
ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา อีก 7 ขุมพลังที่เหลือในบรรดา 9 พันธมิตร พวกมันไม่เคยขาดการส่งคนมาลอบเจรจากับป๋ายลี่หงเพื่อให้ไปเข้าร่วมกับขุมพลังพวกมันแม้แต่น้อย…และตัวตนระดับเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงก็รับรู้เรื่องนี้ดี
ในอดีตนั้นป๋ายลี่หงปฏิเสธอีกขุมพลังทั้ง 7 เพราะชมชอบสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นพิเศษ
หากสำนักจันทร์จรัสแสงทำให้ป๋ายลี่หงไม่พอใจ เกรงว่าไม่ต้องให้ขุมพลังทั้ง 7 มาชวน ป๋ายลี่หงก็ไม่แน่ว่าจะอยู่!
ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว สำหรับขุมพลังชั้น 7 แล้วมีความสำคัญใหญ่หลวงนัก ยิ่งสำหรับสำนักจันทร์จรัสแสง ป๋ายลี่หงก็เสมือนเสาหลักในเรื่องของความมั่งคั่ง!
“ฉงหู่ ข้าฝากคะแนนอุทิศของหลิงอวิ๋นไว้ที่เจ้าแล้วกัน ถ้าเจ้าเจอมันก็เอาให้มันด้วย…ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอพวกเจ้าไปอีกพักหนึ่ง”
ต้วนหลิงเทียนหยิบบัตรแก้วออกมาพร้อมกล่าวบอกเหตุผลต่อฉงหู่
“ศิษย์พี่ต้วนท่านจะปิดด่านบ่มเพาะหรอ?”
ฉงหู่ถาม
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ แต่อย่างไรเสียเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่คิดออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปยังเมืองหานเหอให้ฉงหู่รู้
เขาไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่กับป๋ายลี่หง
เขารู้ดีแก่ใจว่าแม้เขาจะพึ่งมาอยู่สำนักจันทร์จรัสแสงได้ 4 เดือน แต่เขาก็มีเรื่องราวกับคนอื่นไม่น้อย
หากให้คนพวกนั้นล่วงรู้เรื่องที่เขาคิดออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง พวกมันไม่มาไล่ฆ่าเขารึไง?
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะออกเดินทางทันที
‘ทะลวงไปยังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ก่อน ค่อยไปเมืองหานเหอแล้วกัน’
ต้วนหลิงเทียนลอบตัดสินใจเงียบๆ
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยก็คือ ในตอนที่เขาปิดด่านบ่มเพาะในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น หลิวฮ่วนก็ได้บรรลุถึงเมืองหานเหอแล้ว
เรื่องที่หลิวฮ่วนมายังเมืองหานเหอนั้น แม้แต่ศิษย์ส่วนตัวของมันอย่างซูฉีก็ไม่รู้
เพราะมันปลอมแปลงรูปโฉมออกมา
หลังจากที่หลิวฮ่วนมาถึงเมืองหานเหอ มันก็เดินลัดเลาะไปในตรอกซอยเปลี่ยวร้างก่อนที่จะหายตัวไป
มันไม่ได้ปรากฏตัวออกมา กระทั่งดึกดื่นมืดค่ำ
ในพื้นที่ส่วนตะวันตกของเมืองหานเหอ อันเงียบสงบร้างผู้คน
มีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างไม่โดดเด่นอะไร
ช่วงกลางวันยามผู้คนผ่านไปมา ก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจ
ทว่ายาดึกนั้น แทบทุกคืนกลับมีร่างมากมายทยอยกันพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้ปานภูตผี
หลิวฮ่วนที่มาหยุดยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เองก็พุ่งเข้าไปด้วยสายตาเยียบเย็น
ร่างหลิวฮ่วนพุ่งร่างแซงเงาร่างที่คล้ายภูตผีหลายร่างก่อนจะวูบเข้าไปในเขตคฤหาสน์
มันเข้ามาในเขตคฤหาสน์ได้ไม่นาน ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกกว้างเผยให้เห็นเส้นทางอันมืดมิดทอดยาวไปปานจะไร้ก้นบึ้ง
“ข้าต้องการซื้อชีวิตใครบางคน!”
หลิวฮ่วนที่เดินผ่านเส้นทางอันมืดมิดจนเข้าไปยังห้องๆหนึ่ง พลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง…