ตอนที่ 1482

War sovereign Soaring The Heavens

หลิวฮ่วนเยือนสถานที่หนึ่ง

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นคนมีหลักการ

 

เขายอมรับว่าตัวเขาเองก็ต้องการปากกาจารึกนั่นไม่น้อย

 

ปากกาจารึกระดับ 9 ดาว ใครที่ไหนจะไม่อยากได้?

 

อย่างไรก็ตามมีวาจาที่กล่าวว่า ‘วีรบุรุษไม่ชิงของรักผู้อื่น’ พอเขาเห็นท่าทีลังเลของป๋ายลี่หง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าป๋ายลี่หงเองก็ไม่อาจตัดใจจากปากกาจารึกด้ามนี้ได้

 

ดังนั้นแล้วเขาเองก็ไม่ควรรับ

 

มิฉะนั้นเขาก็เห็นแก่ตัวเกินไป!

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยืนกรานไม่ยอมรับปากกาจารึกด้วยทาทีเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สุดท้ายป๋ายลี่หงก็รับมันกลับมา “ศิษย์น้องข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่คิดจะพรากของรักไปจากข้า…เช่นนั้นข้าจะรับปากกาจารึกนี่กลับมาชั่วคราว แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

 

“ศิษย์พี่ว่ามาเถอะ”

 

ต้วนหลิงเทียนตอบ

 

“วันใดก็ตามที่เจ้ากลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว…เจ้าต้องยอมรับปากกาจารึกนี้ไปทันที หากเจ้าไม่รับปากข้า! เช่นนั้นเจ้าก็จงรับมันไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!!”

 

จริงอยู่ที่ป๋ายลี่หงเองก็ยากตัดใจจากปากกาจารึกด้ามนี้

 

ทว่านั่นเป็นเพียงธรรมชาติของมนุษย์

 

ปากกาจารึกระดับ 9 ดาวนั้น เกรงว่าให้เป็นทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็อาจมีอยู่ไม่มากนัก

 

ยิ่งไปกว่านั้นมันเองก็ใช้ปากกาจารึกนี่มาเนิ่นนาน ความผูกพันหวงแหนย่อมมีไม่น้อย เป็นธรรมดาที่มันจะไม่เต็มใจมอบให้ใคร

 

อย่างไรก็ตามมันก็รู้ตัวดี ว่ามันไม่อาจเห็นแก่ตัวได้

 

ปากกาจารึกด้ามนี้เป็นอาจารย์ที่มันไม่เคยพบเหลือทิ้งไว้…

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเจ้าของ แต่อาจารย์ของมันแน่นอนว่าย่อมหวังให้ศิษย์ที่สืบทอดเคล็ดวิชาจารึกพิสดารของตัวเองนำไปใช้

 

มันเชื่อว่าหากอาจารย์ของมันยืนอยู่ตรงนี้ ปากกาจารึกนี่ต้องถูกมอบให้ต้วนหลิงเทียนแน่

 

“ไม่มีปัญหา”

 

เมื่อเห็นท่าทีที่คล้ายไม่ยอมรับไม่เลิกราของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจปฏิเสธได้

 

ในความคิดของเขานั้น อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน

 

บางทีตอนที่เขากลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว เขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้แล้วก็ได้

 

หลังจากสนทนาเรื่องราวสัพเพเหระเรื่องการจารึกกับป๋ายลี่หงอยู่อีกพักหนึ่ง เขาก็ลาอีกฝ่ายเพื่อกลับฝ่ายนอก

 

ในระหว่างทางไม่ว่าจะเดินผ่านที่ไหน ต้วนหลิงเทียนพบว่าผู้คนทั้งหลายล้วนมองมาที่เขาราวกับเขามีดอกไม้ทัดหู

 

‘นับว่าจริงโดยแท้… คนกลัวมีชื่อ หมูกลัวอ้วนพี’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบยิ้มบางๆ

 

เมื่อเขาเดินผ่านหน้าศาลาอุทิศเขาก็ชะงักฝีเท้า ‘ดูเหมือนตอนนี้ในศาลาอุทิศก็ไม่มีอะไรที่ข้าต้องการเป็นพิเศษ…งั้นคะแนนอุทิศที่เหลือก็แลกยันต์เต๋าเพิ่มแล้วกัน’

 

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เก็บคะแนนอุทิศไว้กับตัว 100,000 แต้ม โดยไม่รวมส่วนที่จะมอบให้หลิงอวิ๋น นอกจากนั้นเขาก็เอาไปซื้อยันต์เต๋าจนหมด

 

ยันต์เต๋าเป็นอะไรที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้

 

ส่วนคะแนนอุทิศที่เหลือติดตัว 100,000 แต้มนั้น เขาเก็บเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

 

หากวันดีคืนดี เกิดชั้นแรกของศาลาอุทิศมีศิษย์นำวัตถุดิบที่สามารถซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มาขาย…

 

แต่เขาดันทะลึ่งไม่มีคะแนนอุทิศเหลืออยู่ ตอนนั้นเขาจะไปร้องกับใครได้?

 

แน่นอนว่าเขาสามารถไปหาศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงเพื่อขอยืม แต่อีกฝ่ายช่วยเหลือเขามามากแล้ว หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากไปรบกวนอะไรอีก

 

หลังจากที่ซื้อหายันต์เต๋าจนพอใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ลองมาเดินดูของที่ชั้น 1 ของศาลาอุทิศ

 

ทว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ต้องกลับไปมือเปล่า เพราะหลังจากเรียกให้ผู้เฒ่าหั่วออกมาดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้พบวัตถุดิบที่สามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้แม้แต่ชิ้นเดียว

 

‘ดูเหมือนว่าโชคของข้าจะใช้ไปหมดแล้วจริงๆ…’

 

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ก่อนที่จะเดินออกจากศาลาอุทิศไปท่ามกลางสายตาสนใจของเหล่าศิษย์

 

‘ฟังจากที่ศิษย์พี่กล่าว ดูเหมือนที่เมืองหานเหอจะมีปากกาจารึกขาย…เมืองหานเหอที่ว่า นั่นก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตรงั้นสินะ…สำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตรเองก็ตั้งอยู่ที่นั่นด้วย สมควรลองไปดูสักที’

 

ในระหว่างทางเดินกลับฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเมืองหานเหอ

 

เขาเองก็ได้ยินเรื่องราวของมันมาหลายครั้งแล้ว ใจอยากไปอยู่ไม่น้อย

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็อยากได้ปากกาจารึกอาคมสักด้าม

 

‘นอกจากปากกาจารึก…ที่เมืองหานเหออาจมีวัตถุดิบที่ใช้ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้…ตอนนี้มันก็ใกล้จะฟื้นฟูได้สมบูรณ์เต็มที หากสามารถฟื้นฟูสำเร็จ ความเร็วในการฝึกปรือข้าจะก้าวหน้าขึ้นอีกมาก!’

 

พอคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งอยากไปเยือนเมืองหานเหอให้ได้โดยเร็ว

 

ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจใช้ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นได้

 

แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนั้นนับว่าดีขึ้นไม่น้อย

 

อีกทั้งเวลา 5 วันบนชั้น 3 ด้านนอกพึ่งผ่านไปแค่ 1 วันเท่านั้น

 

‘หลังจากนี้อีก 8 เดือนข้าต้องเดินทางกลับเกาะป้านเยว่ เพื่อไปอยู่กับสาวน้อยทั้ง 2 ตอนคลอด…ความสามารถในการต่อสู้ของข้าคงเพิ่มขึ้นไม่น้อยในช่วง 8 เดือนถ้าสามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้! ถึงตอนนั้นคิดเดินทางอะไรข้าก็มีพลังมากพอในการเอาตัวรอดแล้ว’

 

พอคิดบุตรที่กำลังจะลืมตาดูโลกทั้ง 2 ในต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวั่นไหว อยากกลับไปให้เร็วที่สุด

 

‘เมื่อข้าพบท่านพ่อท่านแม่เมื่อไหร่ ข้าจะพาพวกนางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที…ถึงตอนนั้นข้าจะจัดงานแต่งให้พวกนางอย่างยิ่งใหญ่!’

 

เมื่อคิดถึงคู่หมั้นทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขนัก

 

สาวน้อยคู่หมั้นของเขาทั้งคู่ จนถึงตอนนี้พวกนางยังไม่ได้รับสถานะที่พวกนางควรมี

 

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากมอบสถานะที่ชัดเจนกับพวกนาง แต่เขาไม่อาจให้ได้ เพราะพ่อแม่ของเขาไม่ได้อยู่ด้วย

 

บิดามารดาของสาวน้อยทั้งคู่ล้วนตกตายหมดแล้ว หากขาดไปจึงไม่นับว่าเป็นอะไร อย่างไรก็ตามบิดามารดาเขายังมีชีวิตอยู่ หากขาดไป…งานแต่งก็ถือว่าไม่สมบูรณ์

 

‘บางทีเผลอๆกว่าจะได้เจอท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง ลูกน้อยของข้าคงพูดได้แล้ว…ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่าทั้งสองคนต้องมีความสุขแน่ ที่ได้เป็นปู่ย่าโดยไม่รู้ตัว…’

 

รอยยิ้มบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนยากจะหุบลงได้โดยง่าย

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินยิ้มนั้น แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัยในใจ

 

ไฉนศิษย์พี่ต้วนแลดูยิ้มแย้มอารมณ์ดีนักเล่า?

 

หรืออาวุโสป๋ายลี่มอบผลประโยชน์อันใดให้?

 

พอคิดถึงจุดนี้ใจทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา อย่าวไรก็ตามพวกมันรู้ดีว่าแข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาไม่ได้!

 

อีกทั้งต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นคนที่พวกมันชื่นชม

 

“ฉงหู่ ช่วงนี้คนของหลิวฮ่วนมันได้มากวนใจอะไรพวกเจ้ารึเปล่า?”

 

เมื่อเจอฉงหู่อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ถามออกไปทันที

 

“ศิษย์พี่ต้วน ตอนนี้ยังมีใครไม่รู้ว่าท่านเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่อีก? หลิวฮ่วนนั่นป่านนี้ไม่รู้ตกใจเตายไปหรือยัง! มันยังจะกล้ามาตอแยท่านอีกหรือ? ท่านได้ดีพวกเราเองก็พลอยได้อานิสงค์จากท่านมาด้วย!”

 

ฉงหู่ยิ้ม “จริงสิ ข้ายังมิได้แสดงความยินดีกับศิษย์พี่ต้วนเลย! ยินดีๆ!!”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างฉงหู่ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา

 

เขาไม่เชื่อว่าหลิวฮ่วนนั่นมันจะละวางเรื่องราวความแค้นได้ง่ายๆ เพียงเพราะเขามีสัมพันธ์อันดีกับป๋ายลี่หง

 

ตอนนี้หลิวฮ่วน น่ากลัวจะเปลี่ยนจากทวนเปิดเผยเป็นเกาทัณฑ์ซุ่มซ่อนแล้ว

 

นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลย

 

แน่นอนว่าเขาก็ไม่เสียใจสักนิด เพราะด้วยสัมพันธ์ศิษย์พี่น้องระหว่างเขากับป๋ายลี่หงก็ให้ผลดีกับตัวเขามากมาย

 

อย่างน้อยๆ ตอนนี้หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ ก็ยังอยู่ดี

 

หลิวฮ่วนเองก็ไม่กล้ามาสร้างปัญหาให้พวกมัน

 

‘แต่ศิษย์พี่คนนี้ก็อุกอาจไม่น้อย…ถึงกับไปหาหลิวฮ่วนซึ่งๆหน้าแบบนั้น’

 

ตอนป๋ายลี่หงบอกต้วนหลิงเทียนว่าได้ไปกล่าวเตือนหลิวฮ่วนถึงบ้านมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะอึ้ง

 

เขามองไม่ออกจริงๆว่าศิษย์พี่ของเขามีด้านนี้อยู่ด้วย อีกฝ่ายกลับไปกล่าววาจาเตือนหลิวฮ่วนไว้ชัดเจน!

 

หากหลิวฮ่วนกล้าแตะต้องเขา ตายสถานเดียว!

 

ถึงแม้ว่าในสำนักจันทร์จรัสแสงจะมีกฏเกณฑ์ห้ามฆ่ากันในสำนักโดยเด็ดขาด

 

แต่ป๋ายลี่หงเป็นใคร?

 

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสงยังไม่กล้าอวดอ้าง

 

ป๋ายลี่หงอยากฆ่าคน ไม่ต้องถามว่ามีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้อง!

 

ความสำคัญของป๋ายลี่หงในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้ ไม่ธรรมดานัก!

 

ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา อีก 7 ขุมพลังที่เหลือในบรรดา 9 พันธมิตร พวกมันไม่เคยขาดการส่งคนมาลอบเจรจากับป๋ายลี่หงเพื่อให้ไปเข้าร่วมกับขุมพลังพวกมันแม้แต่น้อย…และตัวตนระดับเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงก็รับรู้เรื่องนี้ดี

 

ในอดีตนั้นป๋ายลี่หงปฏิเสธอีกขุมพลังทั้ง 7 เพราะชมชอบสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นพิเศษ

 

หากสำนักจันทร์จรัสแสงทำให้ป๋ายลี่หงไม่พอใจ เกรงว่าไม่ต้องให้ขุมพลังทั้ง 7 มาชวน ป๋ายลี่หงก็ไม่แน่ว่าจะอยู่!

 

ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว สำหรับขุมพลังชั้น 7 แล้วมีความสำคัญใหญ่หลวงนัก ยิ่งสำหรับสำนักจันทร์จรัสแสง ป๋ายลี่หงก็เสมือนเสาหลักในเรื่องของความมั่งคั่ง!

 

“ฉงหู่ ข้าฝากคะแนนอุทิศของหลิงอวิ๋นไว้ที่เจ้าแล้วกัน ถ้าเจ้าเจอมันก็เอาให้มันด้วย…ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอพวกเจ้าไปอีกพักหนึ่ง”

 

ต้วนหลิงเทียนหยิบบัตรแก้วออกมาพร้อมกล่าวบอกเหตุผลต่อฉงหู่

 

“ศิษย์พี่ต้วนท่านจะปิดด่านบ่มเพาะหรอ?”

 

ฉงหู่ถาม

 

“อืม”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ แต่อย่างไรเสียเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่คิดออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปยังเมืองหานเหอให้ฉงหู่รู้

 

เขาไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่กับป๋ายลี่หง

 

เขารู้ดีแก่ใจว่าแม้เขาจะพึ่งมาอยู่สำนักจันทร์จรัสแสงได้ 4 เดือน แต่เขาก็มีเรื่องราวกับคนอื่นไม่น้อย

 

หากให้คนพวกนั้นล่วงรู้เรื่องที่เขาคิดออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง พวกมันไม่มาไล่ฆ่าเขารึไง?

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะออกเดินทางทันที

 

‘ทะลวงไปยังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ก่อน ค่อยไปเมืองหานเหอแล้วกัน’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบตัดสินใจเงียบๆ

 

เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยก็คือ ในตอนที่เขาปิดด่านบ่มเพาะในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น หลิวฮ่วนก็ได้บรรลุถึงเมืองหานเหอแล้ว

 

เรื่องที่หลิวฮ่วนมายังเมืองหานเหอนั้น แม้แต่ศิษย์ส่วนตัวของมันอย่างซูฉีก็ไม่รู้

 

เพราะมันปลอมแปลงรูปโฉมออกมา

 

หลังจากที่หลิวฮ่วนมาถึงเมืองหานเหอ มันก็เดินลัดเลาะไปในตรอกซอยเปลี่ยวร้างก่อนที่จะหายตัวไป

 

มันไม่ได้ปรากฏตัวออกมา กระทั่งดึกดื่นมืดค่ำ

 

ในพื้นที่ส่วนตะวันตกของเมืองหานเหอ อันเงียบสงบร้างผู้คน

 

มีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างไม่โดดเด่นอะไร

 

ช่วงกลางวันยามผู้คนผ่านไปมา ก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจ

 

ทว่ายาดึกนั้น แทบทุกคืนกลับมีร่างมากมายทยอยกันพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้ปานภูตผี

 

หลิวฮ่วนที่มาหยุดยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เองก็พุ่งเข้าไปด้วยสายตาเยียบเย็น

 

ร่างหลิวฮ่วนพุ่งร่างแซงเงาร่างที่คล้ายภูตผีหลายร่างก่อนจะวูบเข้าไปในเขตคฤหาสน์

 

มันเข้ามาในเขตคฤหาสน์ได้ไม่นาน ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกกว้างเผยให้เห็นเส้นทางอันมืดมิดทอดยาวไปปานจะไร้ก้นบึ้ง

 

“ข้าต้องการซื้อชีวิตใครบางคน!”

 

หลิวฮ่วนที่เดินผ่านเส้นทางอันมืดมิดจนเข้าไปยังห้องๆหนึ่ง พลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง…