ภาคที่ 1 บทที่ 10 การประเมินสิ้นปี (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 10 การประเมินสิ้นปี (1)

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

ใต้ต้นไม้ในลานฝึกซ้อม

ซูเฉินนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้หิน ด้านข้างของเด็กชายคือเจี้ยนฉินที่กำลังอ่านรายงานอยู่

ซูเฉินที่กำลังถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ การแสดงออกของเขาชะงักเหมือนคนที่กำลังตกตะลึง

เจี้ยนฉินกล่าวอย่างหมดหนทางว่า “นายท่านกล่าวว่า เขาหวังว่านายน้อยจะหยุดหลอกหลวงทุกคนด้วยคำโกหกไร้สาระเช่นนี้ได้เสียที เรื่องของการประเมินสิ้นปีได้รับการตัดสินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงดวงตาของท่านที่ยังไม่ฟื้นฟู แม้ว่าพวกมันจะหายดีแล้ว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะเปลี่ยนกฎอีกครั้ง หากนายน้อยยังไม่มั่นใจ เช่นนั้นก็โปรดสละสิทธิ์จากเข้าร่วมการประเมินสิ้นปีในครั้งนี้ เพื่อจะได้เปิดทางให้แก่ผู้อื่น”

ซูเฉินจ้องมองด้วยความว่างเปล่า มือของเขาที่ถือถ้วยกำมันเอาไว้แน่น “งั้น ท่านพ่อก็กำลังเชื่อว่าข้าโกหกเขาอีกครั้ง?”

“อย่างไรเสีย นายน้อยก็เคยทำไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อการประเมินสิ้นปีใกล้เข้ามา นายน้อยก็กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในทันที ไม่ใช่แปลกอะไรที่หลาย ๆ คนไม่ยอมเชื่อท่าน”

เจี้ยนฉินตอบอย่างแผ่วเบา แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้แต่ซูเฉินก็เข้าใจจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ว่า    เจี้ยนฉินเองก็ไม่เชื่อเขาเช่นกัน

บางทีทุกคนคงเชื่อว่าซูเฉินยังไม่อยากที่จะยอมแพ้และยังพยายามคิดวิธีอื่นไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงใช้คำโกหกพวกนี้อีกครั้ง

ซูเฉินมองดูเจี้ยนฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน

ก่อนหน้านี้โลกของเด็กชายนั้นมืดสนิท

แต่ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือจากแสงสว่างเล็ก ๆ ซูเฉินสามารถ “เห็น” เงาที่คลุมเครือและเลือนรางยืนอยู่ตรงหน้าเขา

แม้ว่าซูเฉินจะยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่มันก็ไม่ได้มืดมิดอย่างที่เขาคุ้นเคยอีกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดยามนี้คือการที่ซูเฉินได้รับรู้ว่าตัวเขานั้นมีโอกาสที่จะฟื้นฟูดวงตากลับมาอีกครั้ง

ที่ตลกก็คือเมื่อเด็กชายพูดเช่นนี้ออกไป มันกลับไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว

ไม่เป็นไร ช่างมันไปเถอะ

เนื่องจากไม่มีใครเชื่อเขา เช่นนั้นเขาก็จะรอ

‘ข้าจะพูดเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อข้าหายดีขึ้นมาแล้วจริง ๆ’     ซูเฉินคิด

ในวันต่อมา ซูเฉินก็ยังคงฝึกฝนดั่งเช่นทุกวัน

ซูเฉินยังคงฝึกฝนแปดทักษะหลอมกายา หมัดพยัคฆ์เพลิง และก้าวย่างหมอกอสรพิษต่อไป

ซูเฉินต้องการที่จะจมกลับเข้าไปในความรู้สึกก่อนหน้านี้อีกครั้ง เขาสงสัยว่าการฟื้นตัวของเขาเกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้าในตอนนั้น

แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าซูเฉินจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เด็กชายก็ไม่เห็นมังกรเพลิงที่เจิดจรัสและน่าเกรงขามนั้นได้อีก

อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมาดวงตาของซูเฉินเริ่มที่จะฟื้นตัวกลับมา

แม้จะเป็นการฟื้นฟูที่เล็กน้อยมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกได้

ในแต่ละวันที่ผ่านไป ดวงตาของซูเฉินก็ค่อย ๆ ดีขึ้นทีละนิด

ตอนแรกซูเฉินมองเห็นแค่เพียงแสงสว่างเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นมองรูปร่างคร่าว ๆ ได้แล้ว แม้ว่าทั้งหมดมันจะยังคงเป็นเพียงเงาดำที่คลุมเครือ แต่โลกของซูเฉินก็ไม่ได้ว่างเปล่าและเงียบเหงาอีกต่อไป เขารู้สึกเหมือนอนาคตของตนเต็มไปด้วยแสงสว่าง

ทว่าก่อนที่แสงสว่างจะมาถึง ซูเฉินยังต้องอดทนกับช่วงเวลาแห่งความมืดก่อนรุ่งสาง

วันของการประเมินสิ้นปีใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

————————————

ทุก ๆ สิ้นปี ทุกตระกูลก็ต่างพากันส่งเสียงจอแจด้วยความตื่นเต้น

ปีเก่ากำลังจะผ่านไปและปีใหม่กำลังจะมาถึง ผู้คนมากมายเฉลิมฉลองให้กับช่วงเวลาของชีวิตในปีที่จะถึง และร่วมกันกล่าวคำอำลากับตัวเองในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะพากันเฉลิมฉลองไปกับปีใหม่ เหล่ารุ่นเยาว์ต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะแสดงความสามารถของตนเองในการประเมินสิ้นปีครั้งนี้ การประเมินสิ้นปีไม่ได้มีอยู่แค่ในตระกูลซูเท่านั้น หากแต่มันเป็นประเพณีของตระกูลใหญ่ทั่วไป

“สูงขึ้น สูงขึ้นอีก!”

ที่ลานหลักของตระกูลซู ซูเค่อจี่กำลังชี้นิ้วไปทางเวทีที่ถูกสร้างขึ้นมาในนาทีสุดท้ายและตะโกนเสียงดัง เขารู้สึกราวกับว่าน้ำผึ้งที่หอมหวานกำลังหลั่งไหลเข้ามาชโลมในหัวใจของตัวเอง

หลังจากเฝ้ารอมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ซูเค่อจี่รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาขึ้นเล็กน้อย จังหวะการก้าวเดินของเขาผ่อนคลายเป็นพิเศษราวกับกำลังลอยอยู่

“มันก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เพียงครั้งเดียว เหตุใดจึงต้องทำเสียเอิกเกริกด้วย?” เสียงที่เหยียดหยามดังขึ้นจากด้านหลังของซูเค่อจี่

ซูเค่อจี่หันกลับมาและเห็นซูเฟยหูที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา กำลังมองมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ โดยไม่ได้คิดที่จะซ่อนมันแม้แต่น้อย

ซูเค่อจี่ยิ้ม “น้องสาม เจ้ากล่าวผิดแล้ว นี่คือการประเมินสิ้นปี มีเพียงผู้เยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นสามเท่านั้นที่จะสามารถยืนอยู่บนเวทีอันสูงส่ง มันก็เป็นเรื่องปกติจะต้องสร้างเวทีขึ้น ไม่เพียงแค่จะต้องให้ทั่วตระกูลซูได้เห็นว่าใครคือผู้โดดเด่นที่สุด แต่เราต้องให้ทั้งเมืองหลินเป่ยได้เห็นใครเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลซูเรา”

ซูเฟยหูตอบอย่างไม่แยแส “สำหรับคนบางคนไม่ว่าจะอยู่สูงแค่ไหน ก็ยังคงไร้ความหมายอยู่ดี”

“เจ้า!” ซูเค่อจี่โกรธอย่างมาก แต่เขาก็ควบคุมตัวเองไว้ได้ ก่อนจะหันหน้ากลับไป และไม่หันมาสนใจอีกฝ่ายอีก

วันรุ่งขึ้น การประเมินสิ้นปีของตระกูลซูได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

และเช่นเคย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการประเมินระดับการฝึกฝน

ในลานหลักของตระกูลซู มีศิลากำเนิดดาราสูญตั้งอยู่ ที่พวกเขาทุกคนต้องทำคือกดไปที่มันด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นก้อนศิลาจะวัดระดับพลังที่อยู่ภายในร่างกายของบุคคลผู้นั้นแล้วบอกด่านฝึกฝนของอีกฝ่ายออกมา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่อยู่ในด่านหลอมกายา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กเหล่านี้จะไม่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ภายในร่างกายของพวกเขา

เด็กทุกคนในตระกูลล้วนได้เรียนรู้ทักษะการดูดซับขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่พวกเขาเริ่มฝึกฝน เด็กรุ่นเยาว์เหล่านี้ก็สามารถดูดซับพลังงานจากแหล่งต้นกำเนิด และใช้มันเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในร่างกายของพวกเขาเพื่อให้ทนรับพลังที่ยิ่งใหญ่ และสามารถเริ่มฝึกตนได้

ความเข้าใจแรกเริ่มของเผ่าพันธุ์มนุษย์เกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดเริ่มต้นจากทักษะนี้ ก่อนที่ต่อมาพวกเขาจะค่อย ๆ พัฒนาทักษะไปสู่ระดับต่าง ๆ เช่นการเดินลมปราณ และการดูดซับพลังงานจากแหล่งต้นกำเนิด ไปจนถึงการก่อร่างมหาสมุทรในตันเทียนของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด

“ซูซิ่ง!”

“ข้าอยู่นี่!”

ไม่นานหลังจากเสียงตะโกนดังขึ้น ผู้เยาว์คนหนึ่งของตระกูลซูก็ก้าวออกมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของศิลากำเนิดดาราสูญ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะกดฝ่ามือลงไปบนก้อนศิลา ชั่วครู่จุดแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นบนก้อนศิลา และค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้น

สีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพลังต้นกำเนิดที่มีอยู่ในร่างกายของผู้ทดสอบ และแสดงถึงจำนวนระดับขั้นพลัง

สีขาวนั้นเป็นสีที่อยู่ต่ำที่สุดซึ่งมันหมายถึงด่านหลอมกายา

“63 ดาราขาว ด่านหลอมกายาขั้น 6 ” เสียงประกาศผู้ประเมินดังขึ้น

ชายหนุ่มที่ชื่อซูซิ่งยิ้มเล็กน้อยและเดินกลับออกไป

“ซูเยว่ 56 ดาราขาว ด่านหลอมกายาขั้น 5 “

“ซูหลิงเอ่อร์ 61 ดาราขาว ด่านหลอมกายาขั้น 6 ” ผู้เยาว์ของตระกูลซูก้าวออกไปตามเสียงเรียกของผู้ประเมิน แล้วก็เดินกลับมา ในขณะเดียวกันเสียงพูดคุยก็ได้ดังขึ้นไปทั่วลาน

เด็กสาวที่ชื่อซูหลิงเอ่อร์ก้าวลงจากลานพิธีพร้อมกับเสียงปรบมืออันอบอุ่น แม้ว่านางจะอยู่เพียงหลอมกายาขั้น 6 ทว่าระดับเท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับผู้เยาว์รุ่นที่สาม

“ซูชิง 71 ดาราขาว ด่านหลอมกายาขั้น 7 ”

เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นไปทั่วฉากนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ซูชิงยืนอยู่บนลานพิธียืดอกรับเสียงปรบมือและคำสรรเสริญอย่างภาคภูมิใจ

การที่สามารถบรรลุด่านหลอมกายาขั้น 7 ได้ในวัยนี้นับได้ว่าน่าภูมิใจอย่างยิ่ง

หลังจากที่ซูชิงกวาดสายตามองทุกคนราวกับตนเป็นกษัตริย์แล้ว สายตาของเขาก็หยุดลงที่ซูเฉิน รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะก้าวลงจากเวที

“ซูเฉิน”

ราวกับว่ามันถูกจัดให้เป็นเช่นนี้ ซูเฉินถูกขานชื่อเรียกหลังซูชิง

ซูเฉินเดินตรงไปทางลานพิธีอย่างช้า ๆ และหยุดลงเบื้องหน้าศิลากำเนิดดาราสูญ แล้ววางมือบนก้อนศิลา

แสงสีขาวเปล่งประกายออกมาอย่างเจิดจ้า แทงตาของทุกคน

ผู้ประเมินนับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประกาศขึ้น “ 83 ดาราขาว ด่านหลอมกายาขั้น 8 ”

ไร้เสียงปรบมือหรือคำสรรเสริญดั่งเช่นที่ซูเฉินคาดไว้

ทุกคนยืนอยู่ตรงนั้น และมองดูซูเฉินอย่างเงียบ ๆ

บ้างก็เห็นอกเห็นใจและสงสาร บ้างก็ดูถูกเหยียดหยามและเยาะเย้ย ปฏิกิริยาของผู้คนปน ๆ กันไป ขณะที่พวกเขาจ้องมาที่ซูเฉิน พวกเขาทั้งหมดต่างก็คิดอยู่ในความเงียบเช่นเดียวกัน

“ความพยายามของเจ้ามันมีประโยชน์ตรงไหนกัน?”

“เรื่องนี้มันยังมีความหมายอยู่อีกหรือ?”

“เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าเจ้าจะสามารถครองอันดับ 1 ได้อีกครั้ง?”

“เจ้าเพียงแค่กำลังยืนขวางอยู่บนทางของผู้อื่นก็เท่านั้น!”

ในเมื่อตำแหน่งของอันดับหนึ่งถูกกำหนดให้ตกอยู่ในมือของซูชิง สิ่งต่อไปที่จะเกิดคือ ผู้คนที่ไม่พอใจซูเฉิน คงจะไม่ยอมให้เขาได้ อันดับสอง อันดับสามหรือแม้แต่ …

ซูเฉินไม่ได้ขวางเส้นทางของคนเพียงหนึ่ง แต่เป็นคนจำนวนมาก