936 เรื่องเล็กน้อย
“นั่นสินะ ยังไงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน”
ความสัมพันธ์ของหวังเย้ากับอาทั้งสองของเขานั้นถือว่าธรรมดา ในช่วงวัยเด็กของเขาหวังเย้าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตายายของเขามากกว่าเขาไปมาหาสู่กับปู่ย่าแทบนับครั้งได้เขาจึงไม่ได้สนิทสนมกับญาติทางฝั่งพ่อเท่าไหร่แต่ถึงยังไงก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นญาติอยู่บ้างอาทั้งสองคนนั้นแทบไม่ได้มาเยี่ยมพ่อของเขาที่หมู่บ้านเลยและเมื่อไหร่ที่พวกเขามาก็มักจะมา
เพื่อยืมเงินเหลือเพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้นที่ยังคงรักษาความเป็นครอบครัวของพวกเขาเอาไว้ได้
“ให้เขาทํางานที่นี่ต่อเถอะฉันจะให้คนคอยคุมเขาเอง”เทียนหยวนถพูด “ก็ได้ครับขอบคุณพี่มากนะครับ”หวังเย้าพูด
“ไม่เห็นจะมีอะไรต้องขอบคุณเลย” เทียนหยวนถูพูดด้วยรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สําหรับเขาแต่หวังเย้าก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี
“คืนนี้พี่ว่างไหมครับ?” หวังเย้าถาม “เราไปกินข้าวด้วยกันดีไหมครับ?”
“ได้สิ” เทียนหยวนถูพูด
หวังเย้าอยู่ในเมืองตลอดทั้งบ่ายเขายังได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อคนอื่นๆที่อยู่ในเมืองและพากันไปกินข้าวเย็นด้วยกันเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วเมื่อกลับไปถึงที่บ้านแล้ว เขาก็เข้าไปหาพ่อกับแม่ของเขา
“ว่ายังไงบ้าง?”หวังเฟิงฮวาถามเรื่องนี้คาใจเขามาตลอดทั้งวัน หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกออกไปตามตรง“เป็นความจริงครับทั้งสูบบุหรี่,ดื่มเหล้า,
แล้วก็การพนัน”
“การพนัน?”
“ใช่ครับ แล้วเขายังไม่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงในที่ทํางานหลายคนด้วยครับ” ปัง! หวังเฟิงฮวาขว้างแก้วน้ำที่อยู่ในมือใส่โต๊ะเขาโมโหมาก
แม่ของหวังเย้าอดบ่นขึ้นมาไม่ได้ว่า“เขาจะทําตัวดีดีหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไง?เขายังรู้ไหม
ว่าตัวเองใช้แซ่อะไรอยู่? เราไม่น่าให้เขายืมเงินหนึ่งหมื่นนั่นเลย!”
หวังเฟิงฮวาไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาทําเพียงนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ เขาผิดหวังในตัวน้องชายของเขามากน้องชายของเขาถือว่าอยู่ในช่วงชีวิตที่ดีแทนที่เขาจะตั้งใจทํางานสร้างเนื้อสร้างตัวแต่เขากลับเอาตัวเองเข้าไปหลงมัวเมากับอบายมุขแทนเฮ้อ!หวังเฟิงฮวาถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อย่ากังวลไปเลยครับพ่อ”หวังเย้าพูด“ผมคุยกับพี่เทียนแล้วเขาบอกว่าเขาจะหาคนมาคอยดุมอาสามให้ประพฤติตัวให้ดีขึ้นเอง”
หวังเฟิงฮวาผิดหวังมากเท่าไหร่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลในตัวของน้องชายมากเท่านั้นถึงยังไงก็ถือเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเป็นธรรมดาที่จะโมโหแต่หวังเฟิงฮวาก็ปล่อยน้องชาย
ไปแบบนั้นไม่ได้
“ดี” นั่นเป็นทั้งหมดที่หวังเฟิงฮวาพูด ทั้งที่ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
หวังเย้าอยู่ที่บ้านได้สักพักเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน มันเป็นค่าคืนในหน้าหนาวแต่กลับไม่มีลมพัดทุกอย่างเงียบสงัด
มีเพียงความเย็นยะเยือกเท่านั้น
หวังเย้าก้าวกระโดดในพริบตาเดียวและไม่นานเขาก็มาถึงยอดเขา แสงไฟส่องลอดออกมาเสียงท่องคัมภีร์ดังให้ได้ยินไปจนกระทั่งเที่ยงคืน
หวังเย้าตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันใหม่
เมื่อแสงตะวันส่องลงมาที่แปลงสมุนไพร หวังเย้าก็เข้าไปหาจุดที่จะทําการลงต้นกล้าของต้นคังที่ได้มามันสูง 2 ฟุตและหนาประมาณหัวแม่มือตัวลําต้นมีสีม่วงอมน้ำเงินและใบของมันเป็นสั ม่วงทั้งสองด้านของใบมีเส้นบนสีเงินแซมอยู่
ซานเซียนยืนส่ายหางอยู่ข้างๆ หลังจากเฝ้าดูต้นไม้อยู่ครู่หนึ่ง มันก็เดินเข้าไปดมกลิ่นหวังเย้าชี้ไปที่ต้นคังและพูดกับซานเซียนว่า “ซานเซียนนี่คือต้นคังมันเป็นสมุนไพรวิเศษระดับสูง”
ในเวลานี้ มันคือสมุนไพรที่ล้ำค่าที่สมุนที่อยู่ในแปลงสมุนไพรมันจําเป็นต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตที่ยาวนานหลังจากผ่านไป 10 ปีมันจะสูงขึ้นแค่ไม่กี่ฟุตเท่านั้น
“คอยจับตาดูให้ดีล่ะ”
ซานเซียนเห่าตอบ แสดงให้รู้ว่ามันรับทราบแล้ว
ทางยูนนานใต้ที่ห่างออกไปหลายพันไมล์
“ผู้ชายคนนี้ดูคล้ายกับคนคนหนึ่งที่มาจากหุบเขาของเรา นี่รูปครับ” เมี่ยวชิงเฟิงเอารูปถ่ายให้หยางกวนเฟิงพูด
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ?”หลังจากที่เห็นรูปแล้วหลู่ซิ่วเฟิงก็ถามขึ้นมาทันที
“ไม่รู้ครับ”
“ไม่รู้?”
“เขาออกจากหุบเขาไปตั้งแต่เมื่อ 16 ปีก่อนแล้ว” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
เขามาพบกับเจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งสองหลังจากที่ได้รับคําสั่งจากเบี้ยวซีเหอเขาได้นํารูปและข้อมูลมาให้พวกเขาด้วยถาม
“แล้วเขามีชื่อว่าอะไรครับ?”
“เดี่ยวเทียนชวน
“แล้วทําไมเขาถึงได้จากไปนานกว่า 16 ปี? หรือเขามีปัญหากับผู้นําของพวกคุณ?”หลู่ซิ่วเฟิง
“ใช่ครับ เขากับผู้นําไม่ลงรอยกันเท่าไหร่”เมี่ยวชิงเฟิงพูด“เขาทําตัวเป็นปฏิปักษ์กับผู้นําอยู่ตลอด”
“เพราะอะไรเหรอครับ?”
“ผมไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกันครับ”เมี่ยวชิงเฟิงพูด“ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอายุ 16 ปีเท่านั้นไม่มีทางที่ผมจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้เลยถ้าพวกคุณอยากรู้เรื่องพวกนี้ก็ลองไปถามกับผู้นําดูก็ได้นะครับ”
“ถ้าเป็นไปได้ คุณช่วยถามผู้นําของคุณให้ด้วยนะครับ”หยางกวนเฟิงพูด“เราอยากรู้สาเหตุของเรื่องนี้จริงๆ”
“ได้ครับ ผมจะถามให้” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“แล้วเมี่ยวเทียนชวนคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องพิษไหมครับ?
“ผู้นําบอกว่า เขามีพรสวรรค์ในเรื่องการใช้พิษมากครับ” เมี่ยวชิงเฟิงตอบ
“ดี ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
“เกรงใจเกินไปแล้วล่ะครับ นี่เป็นงานของผมอยู่แล้ว”
พวกเขาให้ข้อมูลความคืบหน้าของคดีกับเมียวชิงเฟิงก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับไป
“แล้วคุณคิดยังไงกับเรื่องของเมี่ยวเทียนชวนคนนี้?” หลู่ซิ่วเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งแรกที่พวกเราไปที่นั่นพวกเขาใช้เคี่ยวชิงชานเป็นแพะรับบาป แล้วผู้ชายคนนั้นก็หนีไปในตอนที่พวกเรากําลังจะเข้าคุมตัวเขา” หยางกวนเฟิงพูด “เท่านั้นยังไม่เลวร้ายมากพอเพราะพวกเราสองคนยังถูกพิษและต้องนอนรักษาตัวอยู่หลายวันคราวนี้มีอีกคนหนึ่งโผล่มาแถมเขายังจากที่นั่นไปนานถึง 16 ปีและไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จะเป็นหรือตายก็ไม่มีใครรู้ มันดูเหมือนเป็นทางตันอีกทางหนึ่งคุณว่าเราควรเริ่มดูจากตรงไหนก่อนดีล่ะ?”
“คุณจะบอกว่า พวกเขาหาแพะรับบาปมาให้พวกเราอีกคนสินะ?”
“ถึงจะไม่ใช่แบบนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่” หยางกวนเฟิงพูด “ผู้ชายคนนั้นอาจจะมาจากที่นั่นและวางแผนเล่นงานเมี่ยวซีเหออยู่จริงๆก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิดสินะ” หลู่ซิ่วเฟิงพูด “มันเป็นเรื่องที่ถูกวางเอาไว้แล้วนั่นไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขาอยู่แล้วเหรอ?”
“ใช่ แต่ทําไมต้องเป็นตอนนี้? แล้วผู้ชายคนนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?”
“แล้วพวกเราจะทํายังไงกันดี?”
“เราจะถาม”
“ถามใคร?”
“คุณคิดว่าใครล่ะ?”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะมีแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ” หลู่ซิ่วเฟิงส่งข้อความไปหาคนที่พวกเขาไม่เคยเจอหรือพูดคุยด้วยเลยเขาส่งไปเพียงแค่คําว่าเดี่ยวเทียนชวน
“เอาล่ะ ตอนนี้เราก็มารอข่าวกัน”
“อืม คุณคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร?”
“คุณรู้จักคนในหุบเขาพันโอสถกี่คน?”
“อืม เมี่ยวซีเหอ, เมี่ยวชิงเฟิง, เมี่ยวฉางหง, แล้วก็เอ่อ…” หลู่ซิ่วเฟิงหยุดคิด
“เอ สาวสวยที่ท่าอาหารเก่งๆคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ?”
“เฮ้อ พอเถอะ” หยางกวนเฟิงยิ้มและโบกมือ
“โอ๊ะ ตอบกลับมาแล้ว” ค่าตอบจากชายลึกลับถูกส่งกลับมาในเวลาไม่นาน
“เป็นคนหนึ่งที่ออกไปจากหุบเขาเมื่อ 16 ปีก่อนและไม่ลงรอยกับเมี่ยวซีเหอดูเหมือนว่าเมี่ยว
ซีเหอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพ่อแม่ชายคนนั้น”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ก็หมายความได้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรคนนี้อยู่บ้างสินะ”หยางกวน
เฟิงพูด “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นในหุบเขานั้นกันแน่นะ?”
“ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ เราก็มีแต่จะเดินเข้าสู่ทางตัน” หลู่ซิ่วเฟิงพูด “มีเบาะแสอยู่เต็มไปหมดผม
เดาว่า คนคนนั้นคงจะทํางานให้เราอีกไม่นานแล้วล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้น ภายในหุบเขาพันโอสถที่ห่างออกไป
“ผู้นําครับ”
“พร้อมรึยัง?”
“พร้อมแล้วครับ”
“เริ่มได”
“ครับ”
เกิดแสงขึ้นภายในบ้านไม้หลังหนึ่งในเวลากลางคืน
ด้านในมีชายหนึ่มในวัยยี่สิบอยู่คนหนึ่ง
“เธอคิดดีแล้วใช่ไหม เสี่ยวเหอ?”
“ครับ ผมเป็นหนี้ชีวิตผู้นํา ผมยินดี” ชายหนุ่มคนนั้นพูด
“ได้ มาเริ่มกันเลย”
ด้านนอกหุบเขาพันโอสถที่อยู่ท่ามกลางความมืด
ชายคนหนึ่งแอบเข้ามาในป่าเมื่อเขามาถึงบริเวณตีนเขา เขาก็พบว่าถ้ําที่เขามักผ่านมาถูกปิดกั้นไปแล้ว
“หาไมอยู่ๆถึงได้ปิดไปล่ะ?” เขามองดูรอบๆ แต่เขาก็หาทางเข้าอื่นไม่พบ
“แน่นอน เพราะถ้าเขาไม่รีบปิดแกก็จะเข้าไปเจออะไรที่อยู่ข้างในนั้นยังไงล่ะ”มีเสียงหนึ่งดัง
ขึ้นจากทางตีนเขา
“เมี่ยวเฉิงเฟิง?”
“เมี่ยวเทียนชวน ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าแกจะยังมีชีวิตอยู่” ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากใต้เงาต้นไม้“ฉันไม่ยอมตายหรอก จนฉันกว่าจะได้แก้แค้น”เมี่ยวเทียนชวนพูด
“จุ๊ๆๆ ในเมื่อตอนนี้แกหนีไปได้แล้ว แกก็น่าจะหนีไปอยู่ที่อื่นซะ” เมี่ยวเฉิงเฟิงพูด“ทําไมถึงยังกล้ากลับมาที่นี่อีก?”
“ทําไมฉันถึงจะไม่กล่า?”
“เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเป็นฝีมือของแกใช่รึเปล่า?”
“แกหมายความว่ายังไง?”
“ไว้เจอผู้นําแล้วเราคอยคุยกันก็ยังไม่สาย
อยู่ๆก็มีชายสองคนโผล่ออกมาจากความมืด
“ดูเหมือนผ่านมาหลายปี แกจะพัฒนาขึ้นเยอะนะ”
ฟุบ ฟุบ เกิดแสงวาบผ่านในความมืดสองครั้ง