ตอนที่ 353 มีแผนในใจ

ตอนที่ 353 มีแผนในใจ

 

“อันที่จริงก็ดีมากเลยนะ พวกเราเดินทางไปกลับยี่สิบกว่าวันเจอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เยี่ยมมากเลย!” จ้าวเหวินเทาพึงพอใจอย่างมาก

ทำเอาเย่ฉูฉู่โกรธจนยกมือขึ้นมาตีเขา “เรื่องแบบนี้ยังจะอยากเจอหลายครั้งอีกเหรอ!”

 

เฮ่อซงจือกล่าว “นั่นสิ แค่ได้ยินก็ทำให้คนตกใจแล้ว พอคิดถึงพวกนายตอนนั้น เฮ้อ การหาเงินนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เอาล่ะ นี่ก็สายแล้ว ฉันควรกลับไปดูลูกแล้ว”

  

หลังจากเดินออกไปส่งเฮ่อซงจือ เย่ฉูฉู่ก็เริ่มสอบถามสามี “พูดมาตามตรง ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณออกไปค้าขายก็เคยเจอการถูกดักปล้นเหมือนกันใช่ไหม?”

“ไม่มี!” จ้าวเหวินเทารีบตอบ “ผมกลับมาทุกวัน ถ้าเจอเรื่องแบบนี้จริง ๆ จะปิดบังคุณได้เหรอ?”

เย่ฉูฉู่รู้สึกได้ว่าเขาพูดถูก แต่ก็นึกถึงอีกปัญหาหนึ่งขึ้นได้ “ไม่เจอการดักปล้น แล้วพวกอันธพาลที่เป็นเจ้าถิ่นล่ะ ต้องเคยเจอแน่ ๆ เลย!”

เรื่องนี้มีจริง ๆ โดยเฉพาะคนที่ออกไปวิ่งค้าขาย การที่ต้องเจอกับพวกคนจรจัดหรือพวกอันธพาลประจำถิ่นเป็นเรื่องปกติ ต่อให้จ้าวเหวินเทาโชคดีกว่านี้ เขาก็ไม่ใช่บุตรของเทพเจ้า เขาจะเจอแต่พวกคนมีคุณธรรมสูงส่งได้อย่างไรกัน เพียงแต่…

  

“ภรรยา!” จ้าวเหวินเทายิ้ม “คุณไม่ดูสักหน่อยล่ะว่าสามีของคุณเป็นใคร?”

เย่ฉูฉู่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ “คุณเลิกพูดสักทีเถอะว่าตัวเองโชคดี!”

“เปล่า ๆ ผมจะพูดแบบนั้นได้เหรอ ที่ผมโชคดีก็เพราะได้มาแต่งงานกับภรรยาดี ๆ แบบคุณนี่ไงครับ!” จ้าวเหวินเทากล่าว

“เลิกทำหน้าแป้นแล้นได้แล้ว จริงจังหน่อย!”

“ก็ได้ ๆ จริงจัง! จริงจัง!” จ้าวเหวินเทาปากพูดว่าจริงจัง แต่กลับไม่ได้ดูจริงจังอะไรเลย ทั้งยังอยากหัวเราะอยู่ตลอด

“ห้ามขำ รีบพูดมา!” เย่ฉูฉู่ใช้มือตีเขาด้วยความโกรธ

จ้าวเหวินเทาจึงยอมพูด “ภรรยาจ๋า ผมเจอคนพวกนั้นที่คุณพูดถึงจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว”

เย่ฉูฉู่รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา

 

จ้าวเหวินเทารีบพูด “คุณอย่าลืมสิ เดิมทีสามีของคุณก็เป็นคนประเภทนั้นไม่ใช่เหรอ?”

หา? เย่ฉูฉู่ถึงกับชะงัก

จ้าวเหวินเทายิ้มและพิงเข้ากับกำแพง พูดต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมไม่ได้ทำค้าขาย ผมเองก็เป็นพวกอันธพาลในสายตาของคนอื่น คุณคิดว่าผมจะกลัวคนพวกนั้นเหรอ?”

เย่ฉูฉู่เพิ่งจะได้สติกลับมา “คุณไม่เหมือนกับพวกเขาสักหน่อย!”

 

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “คนพวกนั้นก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ ต่างก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น”

เย่ฉูฉู่ถึงกับพูดไม่ออก

จ้าวเหวินเทากล่าว “ภรรยา จะพูดยังไงดีล่ะ? มุมมองในการมองคนอื่นของแต่ละคนแตกต่างกัน มีบางคนคิดว่าคนคนนี้เป็นคนดี บางคนก็คิดว่าคนคนนั้นเป็นคนดี แต่ละคนต่างก็มีมาตรฐานในการมองคนอื่นเป็นคนดีที่แตกต่างกันออกไป ถ้าคุณเป็นคนดีในสายตาของทุกคนจริง ๆ แบบนั้นก็คงไม่ต้องมีชีวิตกันแล้ว ยกตัวอย่างจากตอนที่ทะเลาะกันก็แล้วกัน ผมเป็นพวกชอบทะเลาะกับชาวบ้านตั้งแต่เล็กจนโต แต่ผมก็ไม่คิดว่าการทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องไม่ดี ผู้ชายจะให้ทำตัวเหมือนลูกแกะได้เหรอ? ไม่ได้หรอก ไร้ค่าจะตายไป แต่ในสายตาของคนจำนวนมาก การทะเลาะเบาะแว้งคือเรื่องไม่ดี คุณจะทำอะไรได้ล่ะ?”

“ไม่ถูกสิ คนพวกนั้นไม่ได้แค่ทะเลาะเบาะแว้งสักหน่อย พวกเขายังดักปล้น แถมยังลวนลามผู้หญิงอีก” เย่ฉูฉู่กล่าว “เหมือนกับคนพวกนั้นที่มาดักปล้นคุณไง พวกเขาเป็นยังไงล่ะ?”

จ้าวเหวินเทาบุ้ยปาก “คนพวกนั้นจะเรียกว่าดักปล้นก็ไม่ถูก พวกเขาเป็นชาวบ้านธรรมดานี่แหละ แค่เกิดความโลภชั่วขณะหนึ่ง ผมกล้าพูดได้เลยว่า ในบรรดาคนเหล่านั้น โดยปกติคนอื่น ๆ ก็คงคิดว่าเป็นคนดีนี่แหละ ภรรยา พวกกระจอกแบบนั้นทำอะไรไม่ได้หรอก อายุก็ยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้ไว้หน้านิด ๆ หน่อย ๆ ก็ดีใจจนไม่รู้ทิศแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่บุกเข้ามาในบ้านของเราครั้งก่อนต่างหากล่ะ พวกเขากล้าฆ่าคน ไม่ว่าจะทำอะไรก็กล้าไปหมด แต่คนประเภทนั้นมีน้อยมาก และก็คงไม่ได้ทำตัวกร่างขนาดนั้น ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

เย่ฉูฉู่ถอนหายใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินคุณพูดว่าถูกดักปล้นระหว่างทาง ฉันคงไม่รู้ว่าด้านนอกมีอุปสรรคขนาดนี้”

“ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย ต่อให้ราบรื่นกว่านี้ เรื่องแบบนี้ก็คงหลบหลีกไม่ได้” จ้าวเหวินเทากล่าว “เฉินเซิ่นคนนั้นที่ไปซื้อขายข้าวสารกับผมคนนั้น เขาไปที่ชายฝั่งทะเลเพื่อนำเข้าสินค้า สะพายกระเป๋าเดินไปตามถนนใหญ่ มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขับเข้ามา แล้วคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก็กระชากกระเป๋าเขาไปเลย กว่าเขาจะได้สติคนพวกนั้นก็หายไปแล้ว โชคดีที่ในกระเป๋านั้นใส่ของกินไว้นิดหน่อย ส่วนกระเป๋าเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกง”

 

เย่ฉูฉู่ถึงกับตกตะลึง “แล้วไม่มีคนช่วยเลยเหรอ?”

“มีคนช่วยนั่นแหละ แต่ก็หาตัวไม่เจอ อีกอย่างเขาก็อยู่ที่นั่นเพื่อรอฟังผลไม่ได้ ห้องพักก็ต้องจ่ายเงิน ไหนจะค่ากินอีก อีกอย่างนะ ถ้าคุณถูกเพ่งเล็งจะทำยังไง?” จ้าวเหวินเทากล่าว “ดังนั้นท้ายที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงยังไงเงินก็ไม่ได้ถูกขโมยไป ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว อีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักก็ทำธุรกิจเหมือนกัน เขาออกไปนำเข้าสินค้า เงินก็ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่ดันถูกคนบังคับให้ถอดกางเกง ถึงกับหมดตัวเลย ท้ายที่สุดก็เลยต้องไปขึ้นไปขออาหารบนรถไฟแล้วก็กลับมา”

เย่ฉูฉู่ได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “แล้วหลังจากนั้นเขาทำยังไงล่ะ?”

“ยังจะทำยังไงได้?”

“ยังออกไปค้าขายอีกเหรอ?”

“ทำสิ ไม่ทำได้ยังไงล่ะ!”

“แล้วเขาไม่กลัวเหรอ?”

“กลัวแล้วจะทำอะไรได้ เขาเองก็ไม่ได้ที่ดิน ที่บ้านมีพี่น้องตั้งหลายคน ไม่มีโรงงานไหนต้องการเขา เขาจะทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องไปค้าขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว” จ้าวเหวินเทาตอบ “ภรรยา ที่ผมพูดเรื่องพวกนี้กับคุณไม่ได้จะทำให้คุณกลัว การทำค้าขายถึงจะเสี่ยง แต่ก็ใช่ว่าจะเจอแต่คนไม่ดีทุกครั้งที่ออกจากบ้าน คนเราก็ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เวลาสองคนนี้ออกเดินทางไกลก็จะพาเพื่อน ๆ ญาติ ๆ ไปด้วยกันตลอด มีคนเยอะก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรแล้ว”

“แล้วคุณล่ะ คุณออกไปขายของคนเดียวทุกวันเลยนะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

 

จ้าวเหวินเทาตอบ “ผมวิ่งออกไปขายของก็ไม่ได้ออกนอกเมืองสักหน่อย ก็ไปรอบ ๆ หมู่บ้านละแวกใกล้เคียงนี่แหละ ทุกคนก็รู้จักกันหมด อีกอย่าง ของแค่เล็กน้อยพวกนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรหรอก ถึงยังไงถ้าถูกจับเข้าคุกชีวิตนี้คงจบเห่”

 

เดิมทีเย่ฉูฉู่อยากบอกให้เขาเลิกค้าขาย เพราะตอนนี้ครอบครัวก็สบายแล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงนิสัยของจ้าวเหวินเทาเขาไม่ยอมหยุดแน่นอน จึงได้แต่พูดไปว่า “งั้นคุณก็ออกไปให้น้อยลงหน่อยเถอะ หลังจากนี้ไม่ต้องไปขนข้าวสารแล้วนะ ก่อนหน้านี้ไม่มีข้าวสารก็ยังมีของให้กินไม่ใช่เหรอ ไม่จำเป็นต้องกินแต่ข้าวสวยก็ได้”

จ้าวเหวินเทารู้สึกได้ถึงความกังวลของภรรยา เขาจึงยื่นมือออกไปโอบกอดนางและกล่าวว่า “ภรรยา ที่ผมออกไปค้าขายไม่ได้มีแค่ความชอบ และไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ผมทำไปเพราะอยากเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกให้มากขึ้น ถ้าเอาแต่อยู่ในหมู่บ้าน ไม่รู้อะไรสักอย่าง พวกเราก็เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ และถ้าเราไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง เราก็จะกลายเป็นผู้ถูกกระทำ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกไปค้าขายจ้าวเหวินเทาแค่อยากได้เงินเยอะ ๆ และเป็นเพราะเขาชอบทำอาชีพแบบนี้ด้วย ทว่าในภายหลังเขากลับค้นพบว่าด้านนอกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ข่าวคราวก็เปลี่ยนวันต่อวัน เขาจึงเป็นกังวลใจว่าหากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องพูดถึงไกลตัว ดูอย่างหลี่เฉียจื่อในหมู่บ้านเป็นตัวอย่าง เขาไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ดังนั้นจึงได้ออกไปสำรวจด้านนอกไม่เคยหยุด

  

เขาต้องจ้องมองทิศทางลมตลอด ตอนนี้ไม่ได้เป็นเด็กน้อยเหมือนตอนนั้นแล้ว ตอนนี้เขามีบ้านมีธุรกิจ มีภรรยาและมีลูกชาย เขาต้องคิดเพื่อครอบครัว

 

เย่ฉูฉู่รู้สึกเกร็งไปทั้งร่างกาย เธอเข้าใจความหมายจากคำพูดของสามีเป็นอย่างดี “พี่สะใภ้สามบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

 

“พวกเราทางฝั่งนี้ไม่เหมือนกับทางฝั่งพี่สะใภ้สามของเธอนะ” จ้าวเหวินเทาตอบ

ทุกครั้งที่เขาติดต่อกับเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นก็จะถามถึงสถานการณ์ทางฝั่งนั้นตลอด หากสถานการณ์ทางฝั่งนั้นนิ่งแล้ว เช่นนั้นทิศทางที่เดินอยู่ก็ไม่ผิดพลาด และเขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจแล้ว เพียงแต่ทุกสถานที่ต่างก็มีทิศทางเป็นของตัวเองเป็นแห่งๆ ไป เขาจึงยังต้องจับตามองไว้

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เหวินเทาคิดการณ์ไกลมาก ทำมาค้าขายก็งี้แหละ ต้องรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกให้เยอะเข้าไว้

ไหหม่า(海馬)