ภาค 3 บทที่ 199 มีข่าวดีเรื่องหนึ่ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เข้าสู่เดือนสิบสอง สิ้นปีใกล้เข้ามา แต่บรรยากาศในเมืองหลวงไม่เหมือนในอดีต 

 

 

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่าน เกล็ดหิมะหลายเกล็ดลอยละล่อง คนเดินเท้าบนถนนเพิ่มความเร็วฝีเท้าทันที 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาสวมหมวกคลุมหน้าพลางยื่นมือขวางคนเดินเท้าที่ก้มหน้าก้าวไวๆ เดินสวนบนถนนเข้ามาชนเบาๆ 

 

 

หลังร่างเขาใบหน้าของหนิงเหยียนซ่อนอยู่ใต้หมวกคลุมหน้า ปิดบังสีหน้าไว้ 

 

 

พวกเขาไม่ได้กลับบ้านแต่เข้ามาในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง รอบด้านม่านฟางหนาทิ้งตัวลงมา บนเตาไฟหม้อใหญ่น้ำแกงชาเดือดพล่าน ทำให้ในร้านชาซอมซ่อไอร้อนอบอวล 

 

 

ลูกค้าไม่มากนัก เถ้าแก่ร้านน้ำชาเห็นหนิงอวิ๋นเจาเข้ามาก็รีบร้อนเก็บกวาดตำแหน่งด้านในสุดริมแม่น้ำให้ 

 

 

“ใต้เท้าน้อยหนิงยังรับแบบเดิมไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

ก่อนหน้านี้มาที่นี่ล้วนเรียกขานคุณชายหนิง ใต้เท้าน้อยหนิงคำเรียกขานนี้เพิ่งไม่กี่เดือน แต่ไม่ว่าคนที่เรียกหรือคนที่ถูกเรียกล้วนไม่รู้สึกไม่คุ้นชินอะไร 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้า 

 

 

เถ้าแก่ยกน้ำแกงชาร้อนควันฉุยกับเกี๊ยวนึ่งเข่งหนึ่งมาแล้วก็ถอยออกไป ต้มน้ำแกงชาต่อไปพลาง มองรอบด้านอย่างระวังระไวไปพลาง 

 

 

“ท่านอา ดื่มของร้อนๆ สักคำ” หนิงอวิ๋นเจาส่งน้ำแกงชาให้หนิงเหยียน 

 

 

หนิงเหยียนปลดหมวดลง เผยใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่บ้าง เขารับมาดื่มคำหนึ่ง ใบหน้าแข็งกระด้างก็ผ่อนคลายลงไปบ้าง 

 

 

“ไม่มีข่าวร้ายก็คือข่าวดี” เขาเอ่ย “แนวป้องกันแดนเหนือมั่นคง ฝ่าบาทก็ฉลองปีใหม่ได้อย่างปลอดภัยแล้ว” 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาวางเกี๊ยวนึ่งตัวหนึ่งในปากเคี้ยวช้าๆ 

 

 

“นั่นก็ไม่แน่ขอรับ” เขาเอ่ย “ข่าวดีข่าวร้ายล้วนแล้วแต่คนพูด” 

 

 

หนิงเหยียนมองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ปากคนคำเดียวกลับดำขาวได้ได้ แต่กลางวันสว่างฟ้าดินโปร่งใส ชนะหรือแพ้ คิดคดหรือภักดี นอกจากฟังกับพูดยังมีตามองเห็นได้” เขาเอ่ย “เมืองไคเต๋อเอากลับมาได้มั่นคง ช่วงนี้ทหารจินก็ไม่ตีเมืองแตกอีก รบกันหลายครั้งฝั่งเราล้วนได้ชัย พวกหวงเฉิงจะพูดอีกก็ต้องชั่งน้ำหนักดูบ้างแล้ว” 

 

 

เอ่ยถึงเมืองไคเต๋อ หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้ม 

 

 

“ท่านอา ท่านเดาว่าใครทำ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

หนิงเหยียนถลึงตามองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“เรื่องที่ควรพูดไม่พูด เรื่องที่ไม่ควรพูดเจ้าก็อย่าพูด” เขาเอ่ย 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มยกน้ำแกงชาขึ้นไม่เอ่ยวาจาอีก 

 

 

วันนี้ในราชสำนักเพราะเรื่องสงครามจึงโต้เถียงกันไม่ขาด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหนิงอวิ๋นเจาในฐานะหลานของหนิงเหยียนกลับไม่เอ่ยวาจา ถึงขั้นกระทั่งหาขุนนางคนอื่นคุยเล่นส่วนตัวก็ไม่มี เพียงเข้าร่วมประชุมตอนประชุมขุนนางใหญ่เท่านั้น เวลาอื่นล้วนอยู่ในที่ทำงานของตนเองคัดลอกเอกสารจัดการเอกสารอย่างซื่อๆ 

 

 

บิดาบุตรร่วมออกศึก พี่น้องร่วมล่าเสือ การกระทำแบบนี้ของหนิงอวิ๋นเจาขุนนางมากมายล้วนหัวเราะหยันอยู่ลับหลังบอกว่าหนิงอวิ๋นเจาไม่อยากไปจากเมืองหลวง 

 

 

นับว่าเขาฉลาด จอหงวนใหม่คนหนึ่งหากกล้ากระโจนตามออกไปด้วย ก่อนอื่นก็จับเขาออกไปจากเมืองหลวง ให้เขาออกไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ขุนนางด้านนั้นของหวงเฉิงยิ่งไม่หวั่นเกรงเอ่ยเสนอ 

 

 

วิธีการของหนิงอวิ๋นเจา หนิงเหยียนไม่ว่า หากหนิงอวิ๋นเจาอยากช่วยจริงๆ ตรงกันข้ามเขากลับจะกล่อมห้าม 

 

 

อย่างไรเพิ่งเข้าวงขุนนาง สิ่งใดล้วนไม่เข้าใจก็ตามออกมาถกเถียง ไม่เพียงไม่อาจโน้มน้าวผู้คนได้ยังถูกตำหนิว่ามองตื้นเขินง่ายอีกด้วย 

 

 

ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหนิงอวิ๋นเจาล้วนไม่แสดงเจตนานี้ หนิงเหยียนกลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าหนิงอวิ๋นเจาอย่างน้อยก็ต้องถามสักหน่อย 

 

 

แน่นอนไม่ถึงขั้นคิดว่าหลานชาเย็นชาไร้หัวใจ หลานคนนี้ตั้งแต่เล็กก็มีความคิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรเท่านั้น 

 

 

“ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เพียงแค่คุยกันไม่รู้เรื่องเงียบเสียดีกว่าเท่านั้น” 

 

 

คิ้วของหนิงเหยียนขมวด 

 

 

คุยกันไม่รู้เรื่อง ใครไม่รู้เรื่องเล่า? ฮ่องเต้รึ? 

 

 

“เหลวไหล” เขาเอ็ดเสียงเบา “นี่เป็นคำพูดที่คนเป็นขุนนางพูดหรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงเป็นขุนนาง ร่ำเรียนหนังสือของนักปราชญ์เพื่ออะไร? ก็เพื่อรู้กระจ่างเหตุผลแยกแยะถูกผิดสั่งสอนประชาชน พูดไม่รู้เรื่อง เวลาที่ควรพูดก็ไม่พูดแล้วรึ?” 

 

 

หนิงอวิ๋นเจารีบสีหน้าเคร่งขรึมขานรับว่าขอรับ 

 

 

“ดังนั้นข้าจึงสู้ท่านอาไม่ได้” เขาเอ่ยอีก 

 

 

เขายอมรับเต็มปากเต็มคำเช่นนี้แล้ว ยังพูดอะไรได้อีก หนิงเหยียนถลึงตามองเขาทีหนึ่งแล้วยัดเกี๊ยวนึ่งตัวหนึ่งเข้าปาก เพิ่งเคี้ยวได้สองคำก็มีผู้ติดตามคนหนึ่งรีบร้อนแหวกม่านเข้ามา ไม่ทันสนใจทักทายหนิงอวิ๋นเจาก็เอ่ยเสียงเบาหลายประโยคข้างหูหนิงเหยียน 

 

 

หนิงเหยียนสีหน้าประหลาดใจ 

 

 

“จริงรึ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

ผู้ติดตามพยักหน้า 

 

 

หนิงเหยียนวางชามตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นยืน 

 

 

“ข้าจะไปที่ทำการขุนนางสักเที่ยว” เขาเอ่ย ลังเลครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดกับหนิงอวิ๋นเจาว่าเป็นเรื่องอะไร “เจ้าบอกน้าสะใภ้เจ้าสักคำ คืนนี้ข้าไม่กลับไปแล้ว” 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาขานรับลุกขึ้นส่ง แต่ไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เพียงมองหนิงเหยียนรีบร้อนจากไป 

 

 

ในร้านยามดึก หิมะตกหนักขึ้นอยู่บ้าง โคมไฟสลัวเพียงสองดวงที่ล้อมรอบร้านน้ำชาแกว่งไกว 

 

 

“ดูแววตายินดีในดวงตาของท่านอา น่าจะเป็นข่าวดีนะขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยเสียงเบา 

 

 

หนิงอวิ๋นเจานั่งลงมองเกล็ดหิมะที่เริงระบำบนผิวแม่น้ำพลันแย้มรอยยิ้ม 

 

 

“ไม่มีทางมีข่าวดีหรอก” เขาเอ่ยเสียงเบา 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ข่าวดีขอรับ” 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เต่อเซิ่งชางเมืองชิ่งหยวนสวมหมวกหนา หูล้วนถูกปกป้องไว้ เขาเห็นคณะของคุณหนูจวินเหยียบเข้าประตูมาก็เอ่ยปากร้องตะโกนด้วยความยินดี 

 

 

คุณหนูจวินสวมผ้าคลุมผืนหนาลงจากม้าพลางขานอ้อ 

 

 

“ข่าวดีอะไร?” นางเอ่ยถาม 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่กำลังจะเอ่ยสายตาก็จับอยู่หลังร่างคุณหนูจวิน ใบหน้าอดไม่ได้ตะลึงวูบหนึ่ง 

 

 

นอกจากบุรุษสิบกว่าคนนั้นก่อนหน้านี้ หลังร่างคุณหนูจวินยังเพิ่มเด็กสาวคนหนึ่งมาด้วย 

 

 

เด็กสาวคนนี้สวมผ้าคลุมหน้า กระทั่งหน้าก็คลุมไว้ คล้ายอ่อนแอมากไม่ทนลม จิกแขนเสื้อคุณหนูจวินไว้แน่น 

 

 

นี่ก็เป็นชาวเขาจางชิงซานด้วยหรือ? 

 

 

ให้นางไปนั่งห้องด้านข้างเหมือนบุรุษเหล่านั้น หรือว่า… 

 

 

คุณหนูจวินดึงเด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปในห้องพลางปลดผ้าคลุมลง 

 

 

“ฮั่นชิง ดื่มชาไหม?” นางเอ่ยถาม 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เข้าใจแล้ว เขาอดไม่ได้มองประเมินเด็กสาวคนนั้นอย่างประหลาดใจทีหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นสัมผัสเฉียบไวยิ่ง สายตามองมาทางเขาเช่นกัน คล้ายหวาดกลัวอยู่บ้างหลบไปด้านหลังร่างคุณหนูจวิน 

 

 

คุณหนูจวินตบปลอบนาง 

 

 

เด็กสาวชนบทล้วนกลัวคนแปลกหน้า ผู้ดูแลใหญ่ไม่มองนางอีกทันที สั่งพนักงานตัวน้อยให้ยกชามาเหมือนไม่มีอะไร 

 

 

“ข่าวดีก็คือ ชาวจินจะเจรจากับพวกเราแล้ว” เขาเอ่ย ไม่ได้กริ่งเกรงว่าในห้องมีเด็กสาวแปลกหน้าคนหนึ่งเพิ่มมา 

 

 

ในเมื่อคุณหนูจวินพาเด็กสาวคนนี้เข้ามาด้วย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าไม่ต้องปิดบังนาง 

 

 

เจรจา? 

 

 

“จริงรึ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม 

 

 

ใบหน้าผู้ดูแลใหญ่มีรอยยิ้มพยักหน้า 

 

 

“จริงแท้แน่นอน ข่าวใหม่ล่าสุดที่ได้มาจากแดนเหนือ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือลูบเคราท่าทางได้ใจ “ก็บอกตั้งนานแล้วว่าอยู่ในมือเฉิงกั๋วกงเอาประโยชน์ไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ยังคงยกธงยอมแพ้หนีหางจุกตูด ทำไปใยเล่า” 

 

 

หากขอสงบศึกยอมแพ้จริงๆ ก็ไม่เลว 

 

 

คุณหนูจวินเงียบไปครู่หนึ่ง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้ว” นางเอ่ย 

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยพลางมองหิมะที่ทับถมเบื้องนอก “หิมะต้องฤดูปีหน้าคงบริบูรณ์ สงบลงเร็วขึ้น ใบไม้ผลิเพาะปลูกไม่ล่าช้า” 

 

 

ฟังดูแล้วไม่เลวยิ่ง แต่คิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มศึกจนถึงตอนนี้ มักรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนเด็กเล่นอยู่บ้าง 

 

 

“นี่เป็นความร้ายกาจของเฉิงกั๋วกง” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย “พวกเขาไม่ได้ประโยชน์ไปสักนิด ยันไม่ไหวแล้วดังนั้นถึงไม่อาจไม่เจรจายอมแพ้” 

 

 

“เฉิงกั๋วกงร้ายกาจ พวกเรารู้ พวกเขาที่ประมือกับเฉิงกั๋วกงมามากครั้งจะไม่รู้หรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย “บอกจะรบก็รบ รบกันแล้วก็จะบอกว่าไม่รบแล้วปุบปับอีก นี่เป็นเด็กเล่นไปหน่อย” 

 

 

“ใครจะรู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย 

 

 

“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเจ้าจับตาเรื่องนี้ไว้” 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ขานรับ 

 

 

………………………………………. 

 

 

หลังหิมะตกผืนดินขาวโพลนไปหมด 

 

 

“ที่แท้เมืองชิ่งหยวนใหญ่ปานนี้เชียว” จ้าวฮั่นชิงควบม้าวิ่งกลับมาจากด้านหน้าเอ่ยขึ้น 

 

 

“เมืองชิ่งหยวนไม่นับว่าใหญ่” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ยังมีสถานที่ใหญ่กว่าอีก ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าไปดู” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงดวงตายิ้มโค้ง 

 

 

“อ้อ โจรเหล่านั้นที่เจ้าพูดถึงล่ะ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

เหลยจงเหลียนที่เดินอยู่ด้านข้างยิ้ม 

 

 

“คุณหนูจ้าว พบโจรได้หรือไม่ต้องดูโชคแล้ว” เขาเอ่ย “โจรที่เมืองชิ่งหยวนของพวกเราแทบหมดสิ้นแล้ว” 

 

 

เสียงพูดของเขาเพิ่งจบก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้า พร้อมกับเสียงกรีดร้องและเสียงร้องของม้า 

 

 

“ฆ่า!” 

 

 

ยังมีเสียงตะโกนว่าฆ่าอีก 

 

 

ฆ่า! ฆ่า? ! 

 

 

คุณหนูจวินมองจ้าวฮั่นชิงแล้วยิ้มทีหนึ่ง 

 

 

“โชคของเจ้าไม่เลว” นางเอ่ย