ตอนที่ 1942 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (6) / ตอนที่ 1943 นครเฟิงอวิ๋น (1)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1942 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (6)

เขาไม่สามารถบอกนางได้ว่าเขาปลดผนึกได้แล้วเพราะเขาอยากอยู่เคียงข้างนาง ไม่อย่างนั้นสตรีผู้นี้ไม่มีทางยอมให้เขาอยู่ด้วยแน่นอน! อีกอย่าง…

หลังจากที่เขาเห็นอันตรายมากมายที่อวิ๋นลั่วเฟิงต้องเผชิญก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทิ้งนาง!

“พวกเราไปกันเถอะ”

อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาฉีหลิงและคนของเขาแล้วไม่พูดอะไรกับโม่เชียนเฉิงอีก

ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีกลุ่มคนจำนวนมาก แต่ตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสามคนแล้ว ฉีหลิงรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็มองยอดฝีมือที่รอดชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายแล้วบังคับตัวเองให้หันหน้ากลับมา “พวกเราไปกันเถอะ”

ด้านหลังพวกเขาทหารกล้าก็โค้งคำนับให้พวกเขาจนกระทั่งร่างของพวกเขาหายไปจากสายตา…

อาณาจักรเทียนฉี

พระสนมหลินกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้นุ่ม เส้นผมยาวสีดำของนางถูกปล่อยลงมาที่พื้น ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้วแต่นางก็ดูแลตัวเองอย่างดี ดังนั้นนางจึงยังดูงดงามอยู่

“พระสนมเพคะ!”

ตอนนั้นเองร่างกระเซอะกระเซิงร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามา “มีเรื่องเลวร้ายเกินขึ้นเพคะ พระสนม!” นางกำนัลคนหนึ่งตัวสั่นด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก

พระสนมหลินขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”

“พระสนมเพคะ คนที่พระสนมส่งไปสังหารกองกำลังขององค์ชายรองตายหมดแล้วเพคะ!”

อะไรนะ

หัวใจของพระสนมหลินเจ็บปวด นางกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มด้วยใบหน้างามอันซีดเผือด

“เจ้าว่าอะไรนะ”

พวกเขาถูกสังหารหมดแล้วงั้นหรือ

เท่าที่นางรู้อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียน นางสามารถต่อกรกับผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ได้ก็เพราะนางมีเกราะเกล็ดมังกร แต่นางส่งผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ไปถึงสองคน!

ไม่มีทางเลยที่อวิ๋นลั่วเฟิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้

“เป็นเรื่องจริงเพคะ พระสนม คนของพวกเราพบศพของผู้อาวุโสไป๋และผู้อาวุโสอีกคนด้วย…”

พระสนมหน้าถอดสีแล้วทรุดลงไปที่พื้น นางกัดปากตัวสั่นเทิ้ม

เป็นไปได้อย่างไร

แม้แต่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ก็เอาชนะอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้งั้นหรือ

สตรีผู้นั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

ตอนนั้นเองที่พระสนมหลินรู้สึกหวาดกลัวและเสียใจที่ส่งคนไปลอบโจมตีนาง…

“อีกอย่างเพคะ พระสนม หม่อมฉันยังได้ยินว่าคุณหนูรองของตระกูลเจี่ยนถูกใครบางคนทำให้พิการเพคะ” นางกำนัลพูดเสียงสั่นๆ

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร” พระสนมหลินกังวลว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะมาแก้แค้น นางจึงทำบูดบึ้งเมื่อคำพูดของนางกำนัล

“เรื่องเป็นแบบนี้เพคะ พระสนม เมื่อหลายวันก่อนมีบุรุษคนหนึ่งมาที่จวนองค์ชายรองเพื่อตามหาอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วเขาบังเอิญไปเจอคุณหนูรองตระกูลเจี่ยนที่เดินไปมาอยู่นอกจวนองค์ชายรองพอดี นางบอกว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นสตรีแพศยาที่มายั่วยวนฉีซูและองค์ชายรอง บุรุษผ้นั้นโกรธจัดจึงทำให้นางพิการเพคะ”

พระสนมหลินขมวดคิ้ว บุรุษผู้นั้นทำตัวเด่นเกินไปแล้ว! เขากล้าแตะต้องตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร

แต่ว่าสหายของอวิ๋นลั่วเฟิงจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร

ตระกูลเจี่ยนโชคร้ายจริงๆ นางได้ยินว่าเจี่ยนอี้ไปหาเรื่องอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วก็โดนอวิ๋นลั่วเฟิงกักขังเอาไว้ จากนั้นตระกูลเจี่ยนก็ยังต้องชดเชยด้วยทรัพย์สินก้อนใหญ่เพื่อแลกกับชีวิตของบุตรสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว แต่ว่าเจี่ยนอี้ก็ไปหาเรื่องนางอีกแล้วก็กลายเป็นคนพิการไป ตระกูลเจี่ยนคงไม่สามารถใช้นางแลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินใดๆ ได้แล้ว…

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายคนนั้นมาจากที่ไหน”

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันรู้แค่ว่าเขาสวมหน้ากาก…”

หน้ากาก?

พระสนมหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่ได้สนใจบุรุษเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงโบกมือก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว ข้าต้องการเวลาทำใจให้สงบ”

ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์มีความสำคัญแม้แต่กับราชวงศ์เองก็ตาม

ตอนที่ 1943 นครเฟิงอวิ๋น (1)

อาณาจักรเทียนฉีเสียผู้ฝึกฌานขั้นเซียนไปสองคนในคราวเดียวนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับฉีอวี่ที่จะได้ปกครองอาณาจักรเทียนฉี! ตอนนี้พระสนมหลินก็ยังมั่นใจว่าฉีอวี่จะได้เป็นรัชทายาทของอาณาจักรเทียนฉี และรวบรวมอาณาจักรทั้งสี่ได้…

ภายในป่าที่อยู่ไม่ไกลมีบุรุษเย็นชาในชุดคลุมยาวสีดำยืนอยู่บนยอดเขา “เฟิงเอ๋อร์ รอข้าก่อนนะ อีกไม่นานข้าจะไปที่นครเฟิงอวิ๋น…”

ภาพของหญิงสาวที่งดงามปรากฏขึ้นในความคิดของเขาและใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ปรากฏรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่เขาเจอนางครั้งแรกก็ผ่านมาสิบปีแล้ว ในระหว่างสิบปีนั้นพวกเขาต้องแยกจากกันอยู่เกือบตลอดเวลา แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาแม้แต่น้อย

ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน นางก็อยู่ในหัวใจของเขาเสมอ

นครเฟิงอวิ๋น

ในเวลาปกติที่นี่จะเหมือนนครปิดตายอ้างว้างไร้ผู้อยู่อาศัย แต่วันนี้นครเฟิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความคึกคัก ที่หน้าประตูเมืองมีทหารรักษาการณ์อยู่ เมื่อเขาเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงและคนอีกสองคนเดินตามมาช้าๆ เขาก็ขมวดคิ้ว “ที่นี่คือนครเฟิงอวิ๋น ถ้าไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้!”

“ข้าคือองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนฉี ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองระหว่างสี่อาณาจักร” ฉีหลิงยืนประสานมืออยู่ด้านหลังแล้วพูดเสียงเบา

ทหารเงียบ “องค์ชายรองอาณาจักรเทียนฉีงั้นหรือ กองกำลังท่านอยู่ที่ไหนล่ะ”

ฉีหลิงเงยหน้ามองทหารแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ต้องการกองกำลังอะไรทั้งนั้น”

เขาหมายความว่ามีแค่พวกเขาสามคนที่จะเข้าร่วมการประลองงั้นหรือ

ทหารตะลึงไปแต่การประลองก็ไม่ได้กำหนดจำนวนคนขั้นต่ำที่ต้องเข้าร่วมดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากที่ฉีหลิงแสดงป้ายประจำตัว เขาก็เข้ามาด้านในได้

“องค์ชายรองของอาณาจักรเทียนฉีแปลกจริง เขาคิดว่าเขาจะเอาชนะการประลองด้วยจำนวนคนแค่สามคนงั้นหรือ”

“ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้ของอาณาจักรเทียนฉีชื่นชอบองค์ชายสาม ไม่แน่องค์ชายรองอาจจะมาเพื่อหาความสนุกก็ได้”

ทหารสองคนกระซิบกระซาบกันแล้วไม่พูดอะไรอีก พวกเขายังคงเฝ้าประตูเมืองและคอยตรวจสอบคนที่มาถึง

ถึงแม้ว่าในเวลาปกตินครเฟิงอวิ๋นจะไม่มีผู้อยู่อาศัยแต่สภาพแวดล้อมของที่นี่ก็งดงามมาก แม้แต่จุดพักก็หรูหราแล้วที่ประตูบริเวณจุดพักก็มีทหารเฝ้าระวัง หลังจากที่ฉีหลิงแสดงป้ายประจำตัวของเขา ทหารก็ปล่อยให้เขาเข้ามา แต่ว่าทันทีที่พวกเขาเดินถึงจุดพัก พวกเขาก็เห็นฉีอวี่เดินเข้ามาหา

ฉีอวี่เหลือบมองฉีหลิงที่ยืนอยู่ที่ประตูแล้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทหารอยู่ข้างหลังสักคนเดียว “ฮะๆ พี่รองกองกำลังยอดฝีมือของท่านไปไหนแล้วล่ะ พวกเขาตายระหว่างทางหรือ ข้าคิดว่ากองกำลังยอดฝีมือของท่านก็งั้นๆ เแหละ พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับสัตว์วิญญาณอสูรได้ด้วยซ้ำ เหตุใดท่านถึงคิดว่าจะใช้พวกเขามาเอาชนะได้”

ฉีหลิงกำมัดแน่น “น้องสาม เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นประกายร้ายกาจก็พาดผ่านดวงตาของเขา “พี่รอง ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าเสียใจเรื่องที่ทหารของท่านเจอเรื่องไม่คาดฝัน แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า ท่านอย่าได้สาดโคลนใส่ข้า ไม่อย่างนั้นเสด็จพ่อจะลงโทษท่าน”

ดวงตาของฉีหลิงแดงก่ำเมื่อคิดถึงการตายของผู้ติดตามของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ควบคุมอารมณ์ไว้

“น้องสาม จงจำสิ่งที่เจ้าทำไว้เถอะ สักวันหนึ่งข้าจะมาเอาคืน!”

ฉีอวี่ยิ้มเยาะอย่างดูถูก ดวงตาของหันไปมองใบหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิง