บทที่ 12 หยานหวู่ชวง
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาถึงเร็วเป็นพิเศษ
ดอกพริมโรสเริ่มพากันบานสะพรั่ง จนเกิดเป็นทะเลดอกไม้สีเหลืองอร่ามกระจายกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ปกคลุมไปทั่วลาน ทำให้ทั่วตระกูลซูราวกับจมอยู่ในทะเลน้ำหอม
เมื่อเปิดประตูออก ซูเฉินก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ เด็กหนุ่มค่อย ๆ ก้าวออกจากห้องและตรงมาที่ใต้ต้นหงฟู่ในลานบ้านของตัวเอง
หลังรินชาให้ถ้วยหนึ่ง ซูเฉินก็นั่งลงจิบชา การเคลื่อนไหวของเขาขยับอย่างเป็นธรรมชาติ ราบรื่นและไม่เกรง
นับตั้งแต่การประเมินสิ้นปี มันก็ผ่านมา 2 เดือนแล้ว
เนื่องจากการโต้กลับของซูเฉิน มันจึงทำให้ทั้งตระกูลซูต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ถึงแม้ว่าซูเค่อจี่จะโกรธมากจนแทบจะกระโดดได้สูงถึงสิบเมตร มีข่าวลือว่าแม้แต่ข้ารับใช้ก็ต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของคนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน
นอกจากนี้แม้ซูเฉินจะชนะ แต่ซูเฉิงอันผู้เป็นบิดาก็ไม่ได้หันมาสนใจซูเฉินแต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่าชายผู้นั้นกลับไม่พอใจซูเฉินมากขึ้น อีกทั้งซูฮาวลูกชายคนเล็กที่ถือกำเนิดมาเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ดึงความสนใจของซูเฉิงอันไปทั้งหมดด้วยเช่นกัน หลังจากงานประลองในครานั้นผู้เป็นบิดาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับภรรยาคนที่ 4 ของเขา
ส่วนถังหงรุ่ยเอง เธอก็ทะเลาะกับสามีของนางไม่หยุดหย่อน ดวงตาที่มืดบอดของลูกชายพวกเขากลายเป็นประเด็นในการทะเลาะกันอีกครั้ง ความรู้สึกหดหู่ในใจถังหงรุ่ยทำให้นางป่วย และส่งผลกระทบให้ร่างกายของนางอ่อนแอลงอย่างมาก ยามนี้นางไม่สามารถออกไปเดินเหินด้านนอกอย่างปกติได้อีก
โชคดีที่หัวหน้าตระกูลซูฉางเช่อยังคงชื่นชมในตัวซูเฉินอยู่ แต่ยิ่งเขารู้สึกชื่นชมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากเท่านั้น
มีคนกล่าวไว้ว่าเมื่อซูเฉินชนะการประลอง ซูฉางเช่อได้แต่ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “มันเป็นเด็กดี แต่น่าเสียดาย อะไรที่มากเกินไปก็ย่อมไม่ดีเท่าการขาด อะไรที่แข็งเกินก็ย่อมจะแตกหักได้ง่าย”
การเป็นคนที่โดดเด่นเกินไปนั้นเลวร้ายพอ ๆ กับการเป็นอะไรที่แข็งเกินไปแล้วแตกหักได้ง่าย อะไรที่แข็งเกินก็ย่อมจะแตกหักได้ง่าย ความคิดเห็นนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของหัวหน้าตระกูลอย่างชัดเจน ไม่ขัดขวาง ไม่สนับสนุน ปล่อยให้ทำตามที่ใจอยากทำไป
ตั้งแต่วันนั้นซูเฉินรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิเสธอย่างแปลกประหลาด
หลังจาก 2 เดือนผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบ ๆ
แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด
ยังคงมีสิ่งดี ๆ อยู่
ดวงตาของซูเฉินดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ก่อนหน้านี้ซูเฉินสัมผัสได้เพียงแค่แสงเท่านั้น ยามนี้มันสามารถเห็นบางสิ่งบางอย่างได้แบบคลุมเครือ แม้ว่าจะยังแยกแยะได้ยาก แต่มันก็ไม่ได้ตาบอดสนิทเหมือนเดิมอีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของซูเฉินลุกโชนมากขึ้น เด็กหนุ่มเริ่มตั้งตาคอยสิ่งที่จะเกิดอนาคต จนแม้แต่ทัศนคติของตระกูลที่มีต่อเขาตัวเองก็ไม่ได้สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ซูเฉินกำลังจิบชาอยู่ เจี้ยนซินก็เดินเข้ามา “นายน้อย นายหญิงสี่ต้องการพบท่านขอรับ”
“นายหญิงสี่อยากเจอข้า?” ซูเฉินจ้องอย่างว่างเปล่า
ตั้งแต่แม่นางหยานหวู่ชวงจากหอวสันต์จันทราเข้ามาอยู่ในตระกูลซู ซูเฉินเคยได้เห็นนางในงานฉลองของตระกูลเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ไปข้องแวะกับนางเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามซูเฉินเคยได้ยินข่าวลือไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้
ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างฉลาดและมีไหวพริบ ไม่นานนักหลังจากที่นางเข้าร่วมตระกูล นางก็ได้ธุรกิจบนถนนอวี้ไต้ไปไว้ในกำมือของนางแล้ว
ถนนอวี้ไต้เป็นถนนที่เจริญที่สุดของเมืองหลินเป่ย ตระกูลซูเป็นเจ้าของร้านค้าที่นี่ 4 แห่ง โดยมีซูเฉิงอันเป็นผู้จัดการ และตอนนี้ทั้ง 4 ร้านนั้นอยู่ในความดูแลของหยานหวู่ชวง เรื่องนี้ทำให้ถังหงรุ่ยมีปากเสียงกับซูเฉิงอันอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่แย่ยิ่งกว่าคือ ร้านค้าเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นภายใต้การบริหารจัดการของหยานหวู่ชวง โดยไม่มีปัญหาหรืออุบัติเหตุใด ๆ เลย ทำให้ผู้ที่พากันนินทาเหล่านั้นไม่สามารถพูดอะไรมากได้
นางเป็นคนสวย ทั้งยังสามารถทำธุรกิจได้ โน้มน้าวใจคนเป็นและให้กำเนิดลูกชาย ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายหญิงสี่ผู้นี้จะกลายเป็นที่โปรดปราน
แต่รูปแบบการทำงานของนายหญิงสี่ผู้นี้ไม่ได้น่าชื่นชมนัก ซูเฉินได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ นางเพิ่งปลดเจ้าของร้านหยกมรกตและผู้ช่วยออกไปสามคนเพียงเพราะพวกเขาไม่เคารพนาง คนเหล่านี้เป็นคนที่ทำงานให้กับตระกูลซูมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ทั้งสามคนนั้นกลับถูกไล่ออก!
แล้วตอนนี้นายหญิงสี่คนนั้น ต้องการพบตัวเขาอย่างกะทันหัน แม้แต่ตัวซูเฉินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดซูเฉินก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่และจัดระเบียบตัวเองแล้ว ซูเฉินก็เดินตามเจี้ยนซินไปยังศาลาน้ำหอมสีน้ำเงินของนายหญิงสี่
ในขณะนั้นหยานหวู่ชวงกำลังนั่งอยู่ในศาลาน้ำหอมสีน้ำเงินของนางและถือถ้วยชาไว้ในมือ ด้านหน้าที่คู่รับใช้ชายหญิงกำลังคุกเข่าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่
ใบหน้าของหยานหวู่ชวงกลมเหมือนไข่ห่าน คิ้วของนางเรียวยาว นางมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม ทว่าสายตาของนางนั้นแลดูน่ากลัวยิ่ง
เมื่อซูเฉินมาถึงมันก็ได้ยินเสียงหยานหวู่ชวงใช้ฝาปิดถ้วยชาวางลงด้านข้างและพูดอย่างใจเย็น
“ตามปกติแล้วข้าก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้า แต่ถ้าข้าปล่อยให้พวกเจ้าทำตามใจตัวเองเช่นนี้ งั้นบ้านหลังนี้จะยังคงเก็บกฎไว้เพื่อเหตุใด? หากทุกคนที่นี่สามารถกระทำตามอำเภอใจตนได้ เช่นนั้นข้าจะมีอำนาจไปเพื่ออะไร? ใช่หรือไม่นายน้อยสี่?”
เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา หยานหวู่ชวงก็พูดประโยคสุดท้ายออกมาอย่างจงใจ
ซูเฉินก้มศีรษะลงและตอบว่า “ท่านหญิงสี่กำลังอบรมคนรับใช้ ซูเฉินไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง”
หยานหวู่ชวงพูดน้ำเสียงวางอำนาจของนาง “ไม่เป็นไร เจ้าสามารถกล่าวออกมาได้โดยไม่ต้องใส่ใจ หากมันฟังดูสมเหตุสมผล บางทีข้าอาจจะพิจารณาข้อเสนอแนะของเจ้า”
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งซูเฉินตอบว่า “แม้ว่าในตระกูลจะมีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ก็ไม่มีกฎที่เป็นลายลักษณ์อักษรใดที่ห้ามไม่ให้มีความสัมพันธ์ลับระหว่างคนรับใช้ เหตุผลหลักของมันก็คือสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไปและเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะพูดถึง หากเพิกเฉยต่อมันก็เป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้ผู้คนหลงระเริงแล้วความวุ่นวายก็จะก่อขึ้น ในทางกลับกันหากเข้มงวดเกินไป ก็จะเป็นการเข้าไปทำลายความสัมพันธ์คู่รัก ดังนั้นในความคิดของข้าวิธีการที่ง่ายที่สุดในการจัดการเรื่องนี้คือดูแลสิ่งที่ถือว่าส่วนหนึ่งของตระกูลและละเว้นสิ่งที่ไม่ใช่ไป”
“ดูแลเฉพาะสิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลและละเว้นสิ่งที่ไม่ใช่?” หยานหวู่ชวงทวนซ้ำแล้วถามว่า “เช่นนั้นส่วนใดที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลและอะไรคือสิ่งที่ไม่ใช่?”
“โดยทั่วไปแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบถือเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล ในขณะที่เรื่องของความรักนั่นไม่ใช่”
ซูเฉินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ในความคิดเห็นของข้า หากความรู้สึกต่อกันของพวกมันแข็งแกร่งจริง ๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพียงแค่ให้คนใดคนหนึ่งออกจากตระกูลแทน ด้วยวิธีนี้เรื่องของการมีความสัมพันธ์ที่ผิดกฎตระกูลจะไม่เป็นปัญหาอีก และมันยังจะช่วยทำหน้าที่เป็นคำเตือนให้แก่คนรุ่นหลัง เวลาจะดูแลทุกอย่างเอง เราไม่จำเป็นต้องไปทำลายความรักของพวกมัน”
ผู้ที่กำลังคุกเข่าทั้งสองมองดูซูเฉินด้วยสายตาซาบซึ้ง หากเรื่องนี้สามารถจัดการได้ด้วยวิธีนี้ ถือได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกมันแล้ว
หยานหวู่ชวงตกใจไปชั่วครู่ เจตนาร้ายก่อตัวขึ้นที่หว่างคิ้วเพรียวบางของนางอย่างช้า ๆ “สิ่งที่เจ้าพูดนับว่ามีเหตุผล แต่การลงโทษนั้นเบาเกินไป ผู้คนจะยังคงหลงระเริงอยู่ ข้าเกรงว่าหลังจากนี้คนจะยิ่งพากันเลียนแบบพวกมันและจะมีคนกล่าวหาว่าข้าไม่ตั้งใจดูแลคนในตระกูลเอาได้ ข้าเห็นว่าควรจะจับพวกมันไปเฆี่ยนคนละ 40 ที แล้วไล่พวกมันทั้งสองออกไป”
ซูเฉินตกตะลึง “ท่านหญิงสี่ การลงโทษเช่นนั้นมันรุนแรงเกินไป”
หากทั้งสองถูกไล่ออกไป พวกมันไม่มีทางที่จะหางานใหม่ได้ในทันทีพวกมันจะไม่มีรายได้ไปชั่วคราว ยังไม่พูดถึงการถูกเฆี่ยนตีอีก 40 ที หมายความว่าพวกมันจะไม่สามารถลุกจากเตียงได้อย่างน้อยครึ่งเดือน ชีวิตของพวกมันจะยิ่งลำบากขึ้นไปอีก
หยานหวู่ชวงเหลือบมองไปที่ซูเฉิน ก่อนที่จะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มในทันทีทันใด “ในเมื่อนายน้อยอุตส่าห์พูดให้แล้ว งั้นก็ช่างมันไปเถอะ ข้าจะไว้หน้าเจ้า และลงโทษเฆี่ยนพวกมันเพียง 20 ที พาตัวฉีลี่กับหยานเยว่ออกไปลงโทษ!”
ซูเฉินรู้ว่าการลงโทษและไล่พวกมันออกไปต่อหน้าตนในครั้งนี้ นางไม่ได้ทำเพื่อไว้หน้าซูเฉิน หากแต่ทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของนางเองก็เท่านั้น แน่นอนว่าตามที่คาดไว้นี้เป็นกลยุทธ์เล็ก ๆ ของนาง อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้ซูเฉินเริ่มรังเกียจนางมากยิ่งขึ้น
ด้านในห้อง
หยานหวู่ชวงที่เพิ่งจัดการกับทั้งสองคนเสร็จแล้ว ก็จิบชาจากถ้วยชาอย่างสงบก่อนจะพูดอีกครั้ง “ข้าได้ยินมานานแล้วว่านายน้อยสี่เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ทั้งยังเยาว์วัยและมีความสามารถที่โดดเด่น เจ้าเป็นสุภาพบุรุษรุ่นเยาว์ที่สง่างามอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่วิธีการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ นั้นยังอ่อนโยนเกินไปและยังเข้มงวดกับลูกน้องของเจ้าไม่พอ แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะนายน้อยสี่นั้นกำลังเดินตามไปบนเส้นทางของมังกรและเสือ มุ่งเน้นเพียงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองเท่านั้น เจ้าจะจำเป็นต้องสนใจเรื่องการจัดการผู้คนไปทำไม?”
ซูเฉินตอบอย่างสงบ “ท่านหญิงสี่ยกย่องข้ามากเกินไป ตัวข้า ซูเฉินนั้นนับเป็นคนตาบอด จะมีเส้นทางของมังกรและเสือให้เดินได้อย่างไร? เพียงแค่ซูเฉินไม่ต้องการที่จะยอมแพ้อย่างง่าย ๆ เท่านั้น”
“ดี ‘ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้อย่างง่าย ๆ’ กล่าวได้ดี” หยานหวู่ชวงหัวเราะและปรบมือ แต่บนใบหน้าของนางไม่ได้มีรอยยิ้มไปด้วยเลย จากนั้นนางก็พูดว่า “ดูเหมือนว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ข้าจะขอให้นายน้อยสี่ยอมแพ้บางอย่าง”
ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าสงสัยว่า สิ่งที่ท่านหญิงสี่ต้องการจากข้าคืออะไรกัน?”
หยานหวู่ชวงตอบว่า
“หากจะพูดให้ถูกต้อง มันไม่ใช้ข้าที่ต้องการบางอย่างจากเจ้า ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลซู เจ้าก็รู้ว่ายามนี้นายหญิงใหญ่ แม่ของเจ้ากำลังป่วยอยู่ ตัวเจ้าเองก็ตาบอดมันคงยากสำหรับเจ้าที่จะจัดการเรื่องต่าง ๆ แม้ว่า 2 เดือนก่อนนายน้อยสี่จะจะแสดงพลังอันยิ่งใหญ่และเอาชนะนายน้อยรองได้
“แต่ทว่าสัมผัสหูอันเฉียบคมของนายน้อยสี่ สามารถตรวจสอบบัญชีได้หรือไม่? มันสามารถช่วยเจ้ามองเห็นความภักดีของผู้คนหรือไม่? มันสามารถช่วยเจ้าจัดการธุรกิจโดยไม่ทำผิดพลาดได้หรือไม่? ท้ายที่สุดบางสิ่งก็มีเพียงผู้ยังมองเห็นเท่านั้นที่สามารถจัดการได้”
ซูเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างในที่สุด “ท่านหญิงสี่สนใจในทรัพย์สินที่ท่านแม่ของข้าถือครองอยู่?”
หยานหวู่ชวงแก้ไขว่า “พวกมันทั้งหมดเป็นของตระกูลซู มันแค่ถูกนายหญิงใหญ่จัดการดูแลอยู่เพียงเท่านั้น แต่ยามนี้สุขภาพของนายหญิงใหญ่กำลังย่ำแย่ ส่วนนายน้อยสี่ก็มุ่งมั่นที่จะเดินบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่ง เหตุใดจึงยังไม่ปล่อยธุรกิจเหล่านี้ไปกัน? ไฉนเจ้าจึงไม่ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้แทน ส่วนเจ้าและแม่ของเจ้าก็คอยรอรับผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง จะไม่สุขสบายกว่าหรือ?
ซูเฉินถามว่า “แล้วเหตุใดท่านหญิงสี่จึงไม่ได้คุยเรื่องนี้กับท่านแม่ของข้าเล่า?”
“เราคุยกันแล้ว ทว่านายหญิงใหญ่นั้นดื้อดึงและไม่ฟังใครเลย อย่างไรก็ตามเจ้าเป็นความภาคภูมิใจของนางเสมอ หากเจ้าเต็มใจที่จะปล่อยวางเรื่องนี้ แม่ของเจ้าน่าเคารพความคิดเห็นของเจ้ามากที่สุด”
ซูเฉินเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนว่าหยานหวู่ชวงได้พูดคุยกับถังหงรุ่ยแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธมา ท้ายที่สุดนางจึงหันมาหามัน
แน่นอนหากซูเฉินเป็นคนที่ไปคุยกับแม่ของมัน ถังหงรุ่ยอาจจะยอมเห็นด้วย
สิ่งหนึ่งที่หยานหวู่ชวงพูดถูกก็คือปัจจุบันร่างกายของ ถังหงรุ่ยไม่เหมาะที่จะมาดูแลกิจการต่าง ๆ ซูเฉินก็ไม่เหมาะที่จะรับช่วงต่อ ดังนั้นมันจึงคิดมานานว่าจะมอบให้กับผู้อื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการยอมมอบให้เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการจะมอบให้กับใครนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง
หยานหวู่ชวงผู้อยู่ในฐานะนายหญิงสี่เป็นคนเดียวที่ได้รับความโปรดปราน ถังหงรุ่ยไม่เคยพอใจที่ได้เห็นเช่นนั้น ไม่ว่าแม่ของเขาจะส่งมอบธุรกิจเหล่านี้ให้ใครก็ตาม แต่ก็คงจะไม่มีวันมอบให้นาง
ใครจะรู้ว่าความตั้งใจของผู้หญิงคนนี้ช่างเลวทรามยิ่งนัก? หากอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะมอบให้นาง นางก็จะหาทางบังคับเอาไปให้ได้ ด้วยเหตุนี้นางถึงได้เรียกหามันมาหา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางคิดว่าจริง ๆ หรือว่าคนอย่างข้าจะรังแกได้ง่าย?
ดวงตาของซูเฉินหรี่ลงเล็กน้อย
หยานหวู่ชวงยังคงชงชาไปอย่างสบาย ๆ ราวกับว่านางทำอย่างที่ต้องการสำเร็จแล้วและกล่าวว่า “หลังจากนายน้อยสี่จัดการนายน้อยรองได้ แม้ว่าเจ้าจะบรรลุเป้าหมายแล้ว ทว่าก็ทำให้ผู้อาวุโสรองกับพรรคพวกของมันขุ่นเคือง ช่วงนี้การใช้ชีวิตของนายน้อยสี่มักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวใช่หรือไม่?”
“ท่านต้องการจะพูดสิ่งใดกัน?”
“ไม่มีอะไรมาก ทั้งหมดที่ข้าต้องการจะพูดก็คือในท้ายที่สุดมนุษย์ยังคงต้องมีเพื่อนไว้สัก 2-3 คน ไม่เช่นนั้นหากมีศัตรูมากเกินไป ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าจะถูกศรแทงในที่มืด”
“ความหมายของท่านหญิงสี่ก็คือข้าควรก้มศีรษะให้กับความต้องการของผู้อื่น เพียงเพื่อให้เพื่อนมาสัก 2-3 คน? ข้ารู้สึกว่าเพื่อนเช่นนั้นไม่ควรค่าให้เสียเวลาด้วยเลยแม้แต่น้อย”
สีหน้าของหยานหวู่ชวงเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นน้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร?”
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ข้ากำลังกล่าวว่า ลุงสองของข้าใช้เวลากว่า 3 ปี พยายามทำให้ข้ายอมก้มหัวให้ แต่ก็ต้องล้มเหลวในฐานะผู้อาวุโสรองสาขาหลักของตระกูลซูอย่างไม่เป็นท่า สิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสยังทำไม่สำเร็จ ทว่าอดีตนางคณิกาจากหอวสันต์จันทราอย่างท่าน กลับต้องการที่จะทำเช่นนั้น นี่ไม่ได้เรียกว่าฝันเฟื่องมากเกินไปหรอกหรือ?