บทที่ 135 ความจริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นอุบัติเหต

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ทันใดนั้น ไฟโมโหในใจของสุนันท์ก็พุ่งขึ้นมาราวกับจรวด: “เธอรู้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังพูดกับใครอยู่?”

“แน่นอน รู้ดีมากด้วย คนอื่นให้ความเคารพฉันอย่างสมควร ฉันก็จะต้องให้ความเคารพตอบเป็นธรรมดา แต่ในทางกลับกันร้ายมาฉันก็ร้ายกลับ” เชอร์รีนไม่แสดงท่าทางต่ำต้อยและไม่โอหัง ในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความหักหน้าอยู่ลึก ๆ

ถ้าหากต้องการนั่งอยู่บนตำแหน่งคุณนายน้อยของตระกูลสิริไพบูรณ์อย่างมั่นคง เช่นนั้นประจบสอพลอสุนันท์อย่างเต็มที่

แต่เธอไม่มีความคิดด้านนั้นเลยสักนิด ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปประจบสอพลอ ตรงกันข้ามฉีกหน้าให้แตกหักจะดีกว่า

ตั้งแต่เด็ก สุนันท์ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างทะนุถนอม ด่าไม่ได้ ตีไม่ได้ อยู่ที่เมืองบีเจ ใครเห็นก็ต้องยกยอประจบสอพลอสุนันท์กันทั้งนั้น

หลังจากที่แต่งมายังเมืองs กลิ่นอายของเมืองบีเจยังคงปกคลุมหัวของเธอ บวกกับอยู่ที่เมืองs ตระกูลสิริไพบูรณ์มีตำแหน่งที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ยิ่งทำให้ไม่ว่าใครพบเจอแล้วต่างก็ต้องให้เกียรติ

ขอถาม ใครกล้าทำให้เธอโมโห?

เชอร์รีนเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าทำให้เธอโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนี้แล้ว ยังพูดได้ไม่น่าฟังแบบนั้น ไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด

หยาดฝนยืนอยู่ด้านข้าง ฟังทั้งสองคนถกเถียงกันมานานมากแล้ว เธอเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เปิดปากกล่าว ห้ามปราม: “พอแล้ว พูดน้อย ๆ หน่อย”

“หยาดฝน เธออย่าห้ามหล่อน ให้หล่อนพูดต่อไป ฉันจะดูสิว่าเธอจะพูดอะไรที่เลวทรามต่ำช้า เนรคุณออกมาได้อีก!” สุนันท์ชี้หน้าเชอร์รีน

ส่วนเชอร์รีนไม่ได้สนใจพวกเธอ กล้าวเท้า เดินผ่านสุนันท์ และเดินลงไปจากบันได

ถูกเมินจนถึงขั้นนี้ เป็นธรรมดาที่สุนันท์จะไม่ยอมง่าย ๆ ยื่นมือออกไป และดึงเสื้อของชอร์รีนเอาไว้

กำลังเดินลงบันได ไม่คาดคิดเลยสักนัดว่าเธอจะทำแบบนี้ จู่ ๆ ก็ถูกแรงจากด้านหลังดึงเอาไว้ เชอร์รีนพลันเท้าลื่น ทั้งสองคนล้มไปด้านหลังทันที ล้มนั่งลงไปบนขั้นบันไดอย่างแรง

ล้มลงแรงไปหน่อย นั่งอยู่บนพื้น ท้องของเธอก็เริ่มเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย และขมวดคิ้วแน่น

สุนันท์ยังคงดึงเสื้อของเธอเอาไว้จากด้านหลัง ไม่ยอมปล่อยมือ เชอร์รีนกัดฟันเบา ๆ พลันลุกยืนขึ้นมา: “ปล่อย!”

“หล่อนบอกให้ปล่อยฉันก็ต้องปล่อยเหรอ?” สุนันท์เย้ยหยัน ยิ้มเยาะ

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ปล่อยมือ!” ความอดทนของเธอค่อย ๆ หมดไป

“ต่อให้หล่อนพูดอีกสองครั้งแล้วยังไง?”

ในที่สุด ไฟโมโหที่อยู่ภายในใจของเชอร์รีนก็ลุกโชนขึ้นมา เธอเอื้อมมือออกไปด้านหลัง แล้วออกแรงพลัก

ไม่ได้ออกแรงมาเท่ามากสักเท่าไหร่นัก แต่ใครจะรู้ว่า สุนันท์เขย่งปลายเท้ายืนอยู่ตรงนั้น เมื่อผลักแบบนี้ ร่างของเธอก็ได้ล้มลงมาด้านหน้า ล้มลงไปบนขั้นบันไดทันที

ถ้าหากล้มหน้าฟาดขั้นบันไดลงไปแบบนี้ ผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายจนไม่กล้าคิด

หยาดฝนยืนอยู่ที่ด้านหลังของทั้งสองคน นึกว่าจะช้าไปแต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด เธอก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว ยื่นมือออกไปยันร่างของสุนันท์เอาไว้ จากนั้นก็ผลักเธอไปทางราวบันได

ด้วยความตกใจ สุนันท์คว้าจับราวบันไดเอาไว้ด้วยใบหน้าซีดเซียว ในที่สุดก็ยืนอย่างมั่นคง แต่ก็ตกใจจนเหงื่อไหลเต็มตัว

แต่ว่า หยาดฝนกลับไม่ได้โชคดีแบบนั้น ร่างกายเป็นเหมือนกับลูกบอล กลิ้งตกลงไปจากบันไดขั้นบนสุด จนถึงบันไดขั้นสุดท้ายที่อยู่ด้านล่างถึงหยุดลง

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นชัดเจนมากอย่างไม่ต้องบอก เธอสีหน้าซีดเซียว ร่างกายขดตัวเอาไว้แน่น ดูทุกข์ทรมานมาก

เชอร์รีนตะลึงเล็กน้อย ชะงักอยู่กับที่ มองดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง

ส่วนสุนันท์ได้ติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้ว เธอรับวิ่งลงบันไดไป เอื้อมมือพยุงร่างหยาดฝนขึ้นมา ร้องตะโกนให้คนรับใช้เรียกรถพยาบาล

ในห้องรับแขกกำลังสับสนอลหม่าน ออกัสก้าวเท้ายาว ๆ ของเขาเดินเข้ามา เห็นเข้ากับเหตุการณ์ตรงหน้าพอดี ดวงตาที่หางตาชี้ขึ้นหรี่ลงเล็กน้อย เหลือบมองไปที่เชอร์รีนก่อน จากนั้นสายตาก็ตกลงบนร่างหยาดฝนที่นอนอยู่บนพื้น

เธอยืนแข็งเป็นหินตะลึงอยู่กับที่ มองมือทั้งสองข้างของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา หยาดฝนกลับนอนกลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อสักครู่มันเกิดอะไรขึ้น ออกัสไม่ต้องบอกก็รู้……

กลับไม่หยุดลงเลยสักนิด เข้าก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า และอุ้มหยาดฝนที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางเย็นยะเยือก เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ: “เกิดอะไรขึ้น?”

สุนันท์ตกใจจนแทบหายใจไม่ออก ได้ยินดังนั้น เธอก็ยื่นมือชี้ไปที่เชอร์รีนที่ยังคงตะลึงอยู่กับที่: “หล่อนตั้งใจผลักลงมา”

ได้ยินดังนั้น ดวงตาของออกัสเปลี่ยนเป็นดำขลับขึ้นมาทันที ราวกับก้อนหมึกที่ไม่สามารถละลายได้ ตกอยู่บนร่างของเชอร์รีน เย็นชา

เธอต้องการให้สุนันท์ปล่อยเสื้อของเธอ ไม่ได้ออกแรงมากสักเท่าไหร่ แต่ทำไมสถานการณ์ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ตัวเธอเองยังไม่เข้าใจเลย

แต่ว่า เมื่อได้ฟังข้อกล่าวหาของสุนันท์ เธอกลับแค่อยากจะหัวเราะ

แต่ ดวงตาเย็นชาของเขา ก็ทำให้รอยแผลที่เจ็บปวดของเธอถูกฉีก ถูกกัดกร่อน เจ็บปวดรวดร้าว

มีบางครั้ง ที่ไม่จำเป็นต้องไปพูดอะไรจริง ๆ เพียงแค่สายตา ก็สามารถทำให้คนบาดเจ็บจนหายใจไม่ออก รุนแรง เจ็บปวด……

ก้าวเท้าราวกับสายลม ออกัสอุ้มหยาดฝนขึ้นมา และเดินออกไปจากห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว ก้มหัวเป็นครั้งคราว พูดอะไรบ้างอย่างที่ข้างหูของเธอ เหมือนเป็นการปลอบใจ……

เธอกลับยืนอยู่ที่เดิม เหมือนกับเป็นคนผิด ไม่มีคนสนใจ……

สุนันท์เหลือบมองเชอร์รีนอย่างเย็นชา กล่าวพลางกัดฟันเล็กน้อย: “ถึงขนาดกล้าลงมือกับแม่สามีของตัวเองหนักขนาดนั้น หล่อนจะต้องไม่ตายดีแน่!”

ได้ยินดังนั้น เชอร์รีนถึงดึงความคิดที่ตกตะลึงและเหน็บชาของตัวเองกลับมา มองดูสุนันท์ เธอพยักหน้า: “ได้ ฉันจะรอ”

“นี่หล่อน——” พูดออกมาไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว สุนันท์โมโหจนแทบเป็นลม ทำเสียงฮึดฮัดอีกครั้ง เธอก็เดินตามหลัง เดินออกจากบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ไป

หลังจากที่เธอจากไป เชอร์รีนนั่งลงไปบนบันไดทันที ใบหน้าซุกลงไปบนหัวเข่า มองสองมือของตัวเองอย่างเลื่อนลอย

เมื่อสักครู่เธอเพียงต้องการให้สุนันท์ปล่อยมือเท่านั้นเอง กลับคิดไม่ถึงว่าสุนันท์จะยืนไม่มั่นคง และยิ่งคิดไม่ถึงว่าหยาดฝนจะตกจากบันได

ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นอุบัติเหตุ……

เป็นที่ชัดเจนว่า มีคนบางคนที่ไม่เชื่ออุบัติเหตุในครั้งนี้เลยสักนิด

ในบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เหลือเพียงคนรับใช้ นอกจากนี้แล้ว ก็มีเพียงเชอร์รีนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเท่านั้น

ก็ไม่รู้ว่าเธอนั่งอยู่บนขั้นบันไดนานแค่ไหน บางทีอาจจะเป็นสามนาที หรือบางทีอาจจะเป็นห้านาที จากนั้น เธอก็ลุกขึ้น จะไปโรงพยาบาลเหมือนกัน

แม้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่ต้นเหตุได้เกิดจากเธอ ดังนั้น สำหรับอาการบาดเจ็บของหยาดฝน เธอไม่อาจเมินเฉย

เมื่อไปถึงหัวมุมของโรงพยาบาล อยู่ไกล ๆ เธอก็มองเห็นออกัสและสุนันท์ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

ท่าทางบนใบหน้าที่หล่อเหลาของออกัสดูเคร่งขรึม นัยน์ตาส่องประกายลึกล้ำออกมาเป็นระยะ ไม่สามารถมองความรู้สึกออก

ส่วนสุนันท์นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา สายตามองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินเป็นครั้งคราว เต็มไปด้วยความเป็นกังวล

ไม่ได้เดินใกล้เข้าไปอีก เธอยืนอยู่ที่หัวมุมตรงนั้น ร่างพิงลงไปบนผนัง และไม่ให้ทั้งสองคนมองเห็นตัวเอง

ผ่านไปประมาณครู่หนึ่ง ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก คุณหมอเข็นหยาดฝนเดินออกมา ทั้งหมดพากันเดินไปที่ห้องคนไข้

หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เชอร์รีนปลีกตัวหลบ รอจนเงาร่างของคนกลุ่มนั้นหายไปจากสายตา เธอถึงเรียกพยาบาลที่เดินผ่านมาเอาไว้ และเอ่ยถาม: “คนไข้ที่ผ่านไปเมื่อสักครู่อาการหนักหรือเปล่า?”