ตอนที่ 62 สุราที่มีแต่ที่บ้านเกิดของฉัน

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

นางยื่นของประหลาดนั่นมาให้แล้วบอกให้เขาดื่ม

“พี่ล่ำ จิบสักคำสิ”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วก่อนจะลองดมดูอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่ามีกลิ่นสุราแปลกๆ เย็นๆ ลอยมาปะทะใบหน้า

“นี่คือ?”

เป็นน้ำอำมฤตที่ปรุงผิดพลาดอีกอย่างนั้นรึ? เซียวเถี่ยเฟิงอดนึกถึงโอสถทิพย์ที่ตัวเองเคยกินเมื่อครั้งก่อนไม่ได้ มันทั้งเหนียวทั้งหนืดแถมยังมีกลิ่นป๋อเหอ

“นี่เป็นสุราไง สุราที่มีแต่ที่บ้านเกิดของฉัน อร่อยมากเลยนะ”

พูดจบ นางก็จิบลงไปคำหนึ่ง

ว้าว!… เธอหรี่ตาอย่างมีความสุข กินอุ้งตีนหมีที่แสนเลิศรสแล้วจิบเบียร์เย็นๆ ตามหลังแบบนี้ ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเป็นบ้าเลย

เซียวเถี่ยเฟิงมองสีหน้าของเธอแล้วก็ลองจิบดูบ้าง เพียงดื่มลงไปคำหนึ่งเขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมเย็น ในใจอดนึกประหลาดใจไม่ได้ สุราของปีศาจมีรสชาติที่ดีเช่นนี้เชียวหรือ

กู้จิ้งมองออกทันทีว่าเขาชอบ จากนั้นทั้งสองก็ผลัดกันดื่มคนละคำๆ จนกระทั่งเบียร์หมดกระป๋อง

ดื่มเบียร์หมด ท้องอิ่ม ทั้งสองก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา พวกเขาประกบปากเข้าด้วยกันพลางลิ้มรสสุราจากริมฝีปากของอีกฝ่ายต่อ ไม่นานนักก็กลิ้งลงไปคลุกวงในกันบนกองหญ้า

ในยามที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนั้นเอง จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา กลิ่นสุราจากปากของเมียเขาตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม เหมือนกับกลิ่นนี้มาก

ดูท่า…เขาคงจะเข้าใจนางผิดไปสินะ?

 

พอเข้าไปในเมือง พวกเขาก็เอาของที่สามารถขายแลกเงินได้ เช่น น้ำมันหมาป่า, เนื้อหมาป่า, โสม ฯลฯ ไปขาย ได้ราคาดีไม่น้อย เซียวเถี่ยเฟิงมอบเงินที่ได้มาทั้งหมดให้กู้จิ้งเก็บรักษา กู้จิ้งก็รีบเก็บเอาไว้ในกระเป๋าหนังสีดำทันที

แม้ไม่มีหวังจะทำให้เงินคลอดเงิน แต่แม่ไก่กกไข่ก็ต้องใช้เวลา ไม่แน่ว่ากกเงินเอาไว้สักพัก ก้อนเงินน้อยๆ อาจจะโผล่ออกมาก็ได้ คนเราต้องมีความหวังเอาไว้บ้าง

เซียวเถี่ยเฟิงพาภรรยาไปที่ร้านขายหนัง หนังหมาป่าต้องนำไปฟอกแล้วตากให้แห้งก่อน จากนั้นเขาก็บอกกับทางร้านว่าให้ทำเป็นเสื้อคลุมแบบไหน แม้กระทั่งต้องการคอเสื้อแบบไหนก็บอกอย่างละเอียด

เสร็จแล้วพวกเขาก็ไปหาช่างแกะสลัก เขามอบเขี้ยวหมาป่าให้ช่างแกะสลักแล้วอธิบายอย่างละเอียดเช่นกันว่าต้องการให้แกะสลักเป็นแบบไหน

กู้จิ้งได้แต่เดินตามไป เธอรู้สึกเบื่ออยู่บ้างจึงฟังไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก สองตาก็มองไปทางนั้นทีทางนี้ที ถนนสายนี้คึกคักมาก มีคนโบราณเดินผ่านไปผ่านมา มีร้านอาหารเอยร้านค้าเอยตั้งเรียงรายกัน นอกจากนี้ยังมีคณะปาหี่อีกคณะหนึ่ง ดูน่าสนใจไม่น้อย

กู้จิ้งแอบคิดว่า ถ้าวันหลังมีเงินก็น่าจะออกมาดูโลกภายนอกบ้าง คิดไปๆ ก็แอบเหลือบมองเซียวเถี่ยเฟิง ท่านบรรพบุรุษผู้แข็งกร้าวราวกับเหล็กผู้นี้เพิ่งมีอายุยี่สิบหกปี แต่ทำไมถึงทำท่าเหมือนคนที่อยากถอนตัวเร้นกายอยู่ในป่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกแบบนี้นะ ทำไมถึงไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่อะไรบ้าง?

เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกภรรยารังเกียจว่าเป็นคนไร้ปณิธาน เขากำลังทบทวนกับช่างแกะสลักซ้ำอีกรอบว่าให้แกะสลักตัวอักษรอะไรลงบนเขี้ยวหมาป่า และให้ใช้เชือกแบบไหนร้อย เขาอยากจะมอบสร้อยคอเขี้ยวหมาป่าที่ไม่เหมือนใครให้ภรรยา

กู้จิ้งกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่ด้านข้าง จากนั้นผู้คนมากมายก็รีบเปิดทางให้ คนที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอย่างกู้จิ้งย่อมไม่อยากพลาดโอกาสที่ครึกครื้นเช่นนี้ เธอรีบเขย่งเท้าขึ้นดู ทันใดนั้นก็เห็นผู้หญิงท้องโตคนหนึ่งนอนอยู่บนแผ่นไม้บางๆ

กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น ใจนึกถึงภรรยาของจ้าวจิ้งเทียนที่ตายไปก่อนหน้านี้ขึ้นมา

สมัยนี้มีผู้หญิงที่ตายเพราะการคลอดเยอะมาก เรียกได้ว่าการคลอดเป็นฆาตกรรายใหญ่ที่สุดที่คร่าชีวิตของผู้หญิงในสมัยโบราณเลยทีเดียว หรือผู้หญิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย?

เธอพยายามสาวเท้าเข้าไปใกล้พลางเงี่ยหูฟังคำพูดของคนอื่นๆ ไม่นานนักก็พอจะรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ตั้งครรภ์ยังไม่ครบกำหนดแต่กลับล้มป่วยเสียชีวิตไปเสียก่อน เด็กจึงยังไม่ทันได้คลอดออกมา

“น่าเสียดายจริงๆ บ้านตระกูลหวังของพวกเขาเมียตายไปสามคนแล้ว นี่เป็นคนที่สี่ คนนี้ตายไปก็คงไม่มีปัญญาแต่งอีกแล้ว”

“บ้านของพวกเขาแม้กระทั่งล่อก็ขายทิ้งไปแล้ว ต่อไปจะเอาอะไรมาแต่งเมีย?”

“จริงๆ แล้วซงเหนียงก็เป็นคนน่าสงสาร ผู้หญิงยังไม่มีลูกตายไปแบบนี้ แม้กระทั่งงานศพที่พอดูได้ก็ไม่มี ได้แต่เอาไม้กระดานลากไปฝังเท่านั้น”

จริงๆ แล้วนับแต่เกิดเรื่องภรรยาของจ้าวจิ้งเทียน กู้จิ้งก็สำรวจดูข้าวของในกระเป๋าของตัวเองรอบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำการผ่าตัดทำคลอดในสมัยโบราณเช่นนี้ได้ ไม่นานมานี้ เธอเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีทั้งผ้าพันแผล, ยาฆ่าเชื้อ, ยาปฏิชีวนะ ขาดก็แค่ยาชาเท่านั้น หากมียาชา เธอก็จะสามารถลองเสี่ยงทำการผ่าตัดในสมัยโบราณได้

ส่วนเรื่องยาชา เธอนึกถึงผงยาชาของฮัวโต๋ขึ้นมาได้ สูตรยาตำรับนี้ ผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่จากการศึกษาค้นคว้าของคุณพ่อ เธอก็พอจะรู้ว่ายาสองสูตรนั้นต่างก็มีประสิทธิผลทำให้รู้สึกชาได้เหมือนกัน เพียงแต่สูตรหนึ่งต้องมีดอกม่านถัวหลัวซึ่งหาได้ยาก เธอจึงคิดจะหาโอกาสลองผสมผงยาชาจากต้นหยางจื๋อจู๋, รากดอกมะลิ, ตังกุย และต้นชางผูดู

หากมียาชา เธอก็จะช่วยลดความเจ็บปวดให้ผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก และช่วยชีวิตผู้คนในยุคสมัยนี้ได้มากขึ้น

เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าสมัยโบราณจะมีอัตราการคลอดยากสูงถึงเพียงนี้ ผงยาชาของเธอยังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงา ตรงนี้ก็มีผู้หญิงตายเพราะคลอดยากอีกคนแล้ว

กำลังถอนใจ จู่ๆ เธอก็ตาไวเหลือบไปเห็นท้องของผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนนั้นขยับเบาๆ ครั้งหนึ่ง

รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนเอะอะวุ่นวาย การเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว พอตั้งใจมองอีกครั้งก็ไม่เห็นเสียแล้ว กู้จิ้งส่ายหน้า ใจคิดว่าบางทีตัวเองอาจจะตาฝาดไป บังเอิญเซียวเถี่ยเฟิงเดินมาเรียก เธอจึงเดินไปหาเขา

ทั้งสองปรึกษากันว่าจะไปหาของอร่อยกิน แต่กู้จิ้งยังคงพะวงถึงผู้หญิงที่ตายไปอยู่ ตรงหน้าจึงมีเงาของผู้หญิงท้องคนนั้นลอยขึ้นมาเป็นพักๆ

เธอคิดว่าตัวเองตาฝาดไป แต่ยิ่งมาภาพนั้นก็ยิ่งปรากฏชัดในสมองของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

“ทำไมหรือ ดูเจ้าใจลอยจัง?” เซียวเถี่ยเฟิงลูบศีรษะเธอพลางถามเสียงอ่อนโยน

“ฉัน…” กู้จิ้งชี้ไปที่รถเทียมวัวซึ่งแล่นผ่านไปแล้ว “ฉันเห็นตรงนั้นมีผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง เธอท้องโต”

“อืม แล้วยังไง?” เซียวเถี่ยเฟิงตระหนักดีว่าเธอคงจะคิดถึงเมียของจ้าวจิ้งเทียนขึ้นมา

เรื่องนั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอมากจนทำให้เธอเซื่องซึมไปตั้งสองสามวัน ปากก็เอาแต่พึมพำอะไรบางอย่างไม่หยุด

“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่ บางที…บางทีอาจจะช่วยเอาไว้ได้…” แต่ผู้หญิงท้องโตคนนั้นขาดใจตายไปแล้ว ยิ่งกำลังจะเอาไปฝังแบบนี้ ตามหลักก็น่าจะตายไปหลายวันแล้วเสียด้วยซ้ำ เด็กคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบดึงมือเธอเดินไปข้างหน้า “เราไปดูกัน”

กู้จิ้งไม่เข้าใจ “นายก็คิดว่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันหรือ?”

คนโบราณอย่างเขาน่าจะไม่เชื่อเรื่องประหลาดแบบนี้ไม่ใช่หรือ?

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองเธอ “ข้าไม่รู้ว่าลูกในท้องของนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าด้วยนิสัยของเจ้า หากไม่ไปดูให้แน่ชัด เจ้าคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิตแน่”

คำพูดของเขาทำให้กู้จิ้งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นจ้องผู้ชายตรงหน้าตาเขม็ง ในใจรู้สึกอบอุ่นราวกับมีสายลมเดือนสามพัดผ่าน

ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้าใจเธอดีเช่นนี้

“ตกลง เราไปดูกัน แต่เกรงว่าฉันคงจะหาเรื่องยุ่งยากให้นายอีกแล้ว”

“มีวันไหนที่เจ้าไม่ก่อเรื่องยุ่งยากไหมเล่า?” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเรียบ

ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็ไล่ตามรถเทียมวัวคันนั้นทัน เซียวเถี่ยเฟิงรีบก้าวไปขวางหน้าเอาไว้

คนที่กำลังจะนำศพไปฝังเห็นเช่นนี้ แววโกรธแค้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที

ยุคสมัยนี้ หากมีคนมาขวางขบวนศพก็เท่ากับจงใจหาเรื่อง!

ผู้คนรอบด้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงขรม

“คนคนนี้คิดจะทำอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาขวางขบวนศพแบบนี้เล่า?”

“ไม่รู้สิ หรือจะเป็นคนบ้า?”

ผู้คนต่างพูดว่าอยู่ดีๆ มาขวางหน้าขบวนศพของคนอื่นแบบนี้ คงจะเป็นคนบ้าแน่

เซียวเถี่ยเฟิงย่อมรู้ว่าการกระทำเช่นนี้คงทำให้ตัวเองถูกใครๆ มองว่าเป็นคนบ้า แต่ปีศาจสาวสงสัย เขาย่อมต้องหาทางช่วยให้นางได้พิสูจน์ให้แน่ชัด นางอยากเป็นปีศาจน้อยที่บุกตะลุยไปทุกที่ เขาก็ต้องเป็นไอ้ทึ่มที่บุกทะลวงนำหน้า

“เมียข้าเป็นหมอ นางอยากตรวจชีพจรดูอีกครั้งว่ายังพอมีทางช่วยได้หรือไม่” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวคำพูดที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าแปลกประหลาดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ช่วยได้?” สามีของผู้หญิงคนนั้นถกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะพุ่งตรงมาหาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ตัวเย็นไปหมดแล้ว ถ้ายังช่วยได้ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ช่วยหรือ? คิดว่าข้าเป็นคนโง่รึไง?”

เซียวเถี่ยเฟิงมองคนคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “หลายวันก่อนเมียของข้าเคยใช้เข็มเย็บผ้าช่วยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้นางอาจจะช่วยเด็กในท้องของเมียท่านเอาไว้ได้เหมือนกันก็ได้ หากท่านยินยอม นางจะลองดู แต่หากท่านไม่ยอมก็เท่ากับละทิ้งโอกาสสุดท้ายที่อาจจะได้ช่วยชีวิตลูกของตัวเอง ท่านตัดสินใจเองเถิด”