ตอนที่ 145 หนี โดย Ink Stone_Fantasy
สุดท้ายเขาก็ค้นพบเคล็ดวิชาง่ายๆ ที่จารึกอยู่ตรงผนังทางเข้าด้านในของหอยสังข์
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยเขาก็ใช้เคล็ดวิชานี้กระตุ้นมัน
หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” แสงสีขาวลำหนึ่งม้วนตัวออกมาจากหอยสังข์
สิ่งของกองหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น
มันคือกล่องขนาดต่างๆ จำนวนสิบกว่าใบ อาวุธสามชิ้น และหนังสีแดงที่ยาวไม่กี่ฉื่อ แต่ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
เขารีบใส่พลังเวทย์เข้าไปในหอยสังข์ และยังใช้พลังจิตบังคับดาบสั้นวาววับบนพื้น
หลังจากที่หอยสังข์ค่อยๆ สั่นระริก แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง และดาบสั้นวาววับเล่มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ที่แท้มันก็เป็นวัตถุว่างเปล่า! ไม่คาดคิดว่ามังกรแดงตนนี้จะพกของล้ำค่าเช่นนี้ด้วย สมกับเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความดีใจ
เขาย่อมไม่รู้ว่าหอยสังข์ย่อส่วนนี้เป็นสิ่งที่มังกรแดงเอามาจากสองพี่น้องเผ่าเจ้าสมุทร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ของทั้งหมดจะตกเป็นของเขาแล้ว
ขณะนี้เขาร่ายคาถาส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจข้างในอีกครั้ง ถึงค้นพบว่าข้างในมีห้องว่างเปล่าที่มีขนาดไม่กี่จั้ง และไม่ใหญ่มากนัก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกพอใจสุดๆ แล้ว
อย่างไรซะของสิ่งนี้ก็มีความแตกต่างกับผ้าย่อส่วน ซึ่งสิ่งของที่ใส่เข้าไปข้างในจะไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หอยสังข์ยังมีประโยชน์ต่อเขามาก
หลิ่วหมิงลองปล่อยดาบสั้นวาววับที่ใส่เข้าไปออกมา เขาใช้นิ้วมือลูบไล้เล็กน้อยถึงได้รู้ว่าดาบนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีหกชั้นจำกัด
เขามองดูอาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นที่อยู่บนพื้นด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นเขาก็เก็บดาบสั้นที่อยู่บนมือ และใช้มือข้างหนึ่งดูดเอาพวกมันมาไว้ในมือ
มันคือดาบยาวเรียวสีเลือดหนึ่งเล่มกับแผ่นป้ายที่มีอักขระสวยงามจารึกไว้
ของทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็เปล่งประกายแสงออกมาจางๆ ประจักษ์ชัดว่าพวกมันเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
แต่พอพวกเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปตรวจสอบของทั้งสองสิ่งนี้ กลับรู้สึกประหลาดใจมาก!
ดาบยาวสีเลือดเล่มนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีเพียงชั้นจำกัดเดียวเท่านั้น ส่วนแผ่นป้ายนั้นหลังจากที่มีเสียงดัง “ฟู่!” ก็มีชั้นจำกัดลอยออกมาสิบแปดชั้น ซึ่งเป็นชั้นจำกัดสูงสุดของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่ห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงเพียงชั้นจำกัดเดียว
หลิ่วหมิงแอบรู้สึกตกตะลึง แต่ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่แผ่นป้ายอย่างไรก็ตาม นอกจากจะทำให้ลำแสงยิ่งเจิดจ้าแล้วก็มีผลลัพธ์ใดๆ โผล่ออกมา
ถึงแม้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นจะไม่ธรรมดา แต่คิดที่จะกระตุ้นมันได้นั้นอย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีเคล็ดวิชาพิเศษบางอย่าง
หลิ่วหมิงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาส่ายศีรษะและนำของทั้งสองสิ่งใส่เข้าไปหอยสังข์ย่อส่วน
สำหรับเขาแล้ว อาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันนั้น มีเพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดาบสั้นวาบวับกับดาบยาวสีเลือดมีชั้นจำกัดเยอะไม่เท่ากระบี่จันทราหยก เขาย่อมไม่คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้พวกมันแทน
แต่พอเขามองหอยสังข์ย่อส่วนบนมือแล้วก็คิดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเพื่อเอาโซ่ปราบปีศาจเส้นนั้นออกมา และใส่มันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน
ตอนนี้เขามีที่ว่างสำหรับซ่อนสิ่งของแล้ว ย่อมไปคิดที่จะคืนมันหลังจากออกไปอีก
โซ่ปราบปีศาจนี้แตกต่างกับอาวุธจิตวิญญาณประเภทดาบและกระบี่เหล่านั้น และมันยังคงมีประโยชน์สำหรับเขามาก
ไม่เพียงแต่เท่านี้ เขายังหยิบผ้าย่อส่วนออกมา แล้วนำกล่องที่ใส่ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ใส่เข้าไปในหอยสังข์ด้วย
สำหรับสิ่งของอื่นๆ เขาไม่คิดที่จะยุ่งกับมัน
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงหยิบกล่องหยกบนพื้นขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากเปิดมันออกมาแล้วก็พบว่าในนั้นมีดอกไม้เล็กๆ สีเงินต้นหนึ่งที่สูงชุ่นกว่าๆ และมันกำลังแผ่ปราณจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ออกมา
“หญ้าราตรีสีเงิน!”
เมื่อเขาเห็นพืชจิตวิญญาณที่อยู่ในกล่องหยกก็รู้ภูมิหลังของมันในทันที มันเป็นพืชจิตวิญญาณชนิดหนึ่งล้ำค่าและหาได้ยากมาก เป็นวัตถุดิบเสริมสำหรับการปรุงโอสถชนิดต่างๆ
จากนั้นเขาก็เปิดกล่องอื่นๆ อีกสองสามใบ สิ่งที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่มีมูลไม่น้อยไปกว่าหญ้าราตรีสีเงิน
สิ่งของเหล่านี้เป็นวัตถุจิตวิญญาณมูลสูงสุดที่มังกรแดงตนนี้ค้นมาจากศิษย์แต่ละนิกายที่ถูกมันฆ่ามา ในนั้นยังรวมถึงโสมคนสีเหลืองทองที่มีขนาดเท่าท่อนแขน
สิ่งนี้เป็นวัตถุจิตวิญญาณพันปีที่แท้จริง แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณถ้าได้ทานมันเข้าไป เกรงว่าพลังเวทย์ก็คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณพันปีต้นนี้กับสมุนไพรจิตวิญญาณอื่นๆ ที่เขาได้เลือกไว้ใส่ลงไปในหอยสังข์ย่อส่วนทั้งหมด และใช้ผ้าย่อส่วนห่อกล่องที่เหลือ
ส่วนคราบมังกรชิ้นนั้น หลังจากที่เขาหลังหันไปดู และใช้นิ้วเคาะอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็มั่นใจว่าของชิ้นนี้เป็นสิ่งของที่มังกรแดงทิ้งไว้
เขาเอามันไว้ในหอยสังข์ย่อส่วน เพื่อที่จะเก็บมันไว้ใช้เอง
หลิ่วหมิงหันไปมองซากศพของสัตว์ประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ภาพที่สือชวนต้อนรับศิษย์ใหม่อย่างพวกเขาก็ผุดขึ้นมาในสมอง จนทำให้เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้
ไม่รู้ว่า ‘ศิษย์พี่สือ’ ผู้นี้พบเจอกับอะไรในแดนลึกลับกันแน่ ถึงได้ถูกมังกรแดงครอบงำเช่นนี้
และพลังเวทย์ของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตนนี้ก็อยู่ในเขตแดนศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น เลือดเนื้อส่วนหนึ่งของมันก็มาจากสือชวน มันจึงไม่มีผลลัพธ์พิเศษใดๆ
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงทำท่ามืออย่างไม่ลังเล ลูกเปลวไฟสีแดงหลายลูกพุ่งยิงออกมากลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนเผาร่างของมังกรแดง
ซากศพของมันไหม้เกรียมในทันที และอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว
แต่ในขณะนั้นเอง เปลวไฟก็ม้วนตัวในฉับพลัน และพากันพุ่งออกมาจากซากศพของมังกรแดง หลังจากที่โบกสะบัดไปมาไม่กี่ทีมันก็ดับสนิท
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขารีบถอยออกไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นบนมือ และกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นก็ปรากฏออกมา
“หรือว่ามังกรแดงตนนี้จะยังไม่ตายจริงๆ!” เขาคิดด้วยความหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้
เสียงดัง “เพล้ง!”
ซากศพอันดำเกรียมของมังกรพองตัวขึ้นมาในฉับพลัน ไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งของบางอย่างบินออกมาจากในนั้น
เมื่อหลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียด กลับต้องหลุดปากร้องออกมา
“หัวบิน”
ของสิ่งนี้มีผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ปากดำตาแดง เขี้ยวฟันยื่นออกมานอกปาก!
มันคือหัวปีศาจในตำนานของสาขาเก้าทารกที่มีความร้ายกาจเป็นรองเพียงแค่หัวเก้าทารกเพศชายเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวบินตนนี้ถึงซ่อนตัวอยู่ในร่างของสัตว์ประหลาด ตอนนี้เมื่อสัตว์ตายไปแล้วมันถึงได้ค่อยๆ บินออกมา
ส่วนเปลวไฟในก่อนหน้านั้น ประจักษ์ชัดว่าถูกหัวปีศาจตนนี้ดูดไปแล้ว
พอเห็นหัวบินในตอนนี้ หลิ่วหมิงกลับแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด และรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าการที่เห็นปีศาจครึ่งมังกรฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ความร้ายกาจของหัวบินตนนี้ เขาก็ได้เห็นกับตาในลานประลองวันนั้นแล้ว
และตอนนี้พลังเวทย์ของเขาก็เหลือเพียงแค่สองสามส่วน ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตหรือร่างกายต่างก็เหนื่อยล้าจนหมดสิ้น ตอนนี้ต้องมาเจอกับหัวปีศาจตนนี้อีก ผลลัพธ์คงยากที่จะรู้ได้
ดีว่าถึงแม้หัวบินจะบินออกมา แต่ก็ไม่ได้พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงในทันที แต่กลับค่อยๆ ร่อนลงไปอ้าปากฉีกทึ้งซากศพสัตว์ประหลาดที่อยู่บนพื้นอย่างตะกละตะกลาม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ร่างกายส่วนบนของเขาไม่ได้ขยับ แต่ส่วนล่างกลับถอยครูดไปข้างหลังอย่างไร้สุ้มเสียง
ขณะเดียวกันหอยสังข์ย่อส่วนในมือก็ค่อยๆ สั่นไหว โซ่ยาวสีเงินโผล่ออกมารัดพันแขนข้างหนึ่งของเขาไว้
โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้คือสิ่งที่ใช้สยบหัวปีศาจตนนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชินมือ แต่เอามันออกมาก็คงพอจะทำให้หัวบินหวาดกลัวได้บ้าง
แต่ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงกลับต้องรู้สึกเสียใจที่ทำผิดพลาดอย่างมหันต์!
หัวบินที่เดิมทีกัดแทะซากศพอยู่เงียบๆ พอเห็นโซ่ยาวสีเงินปรากฏออกมามันก็หยุดการกิน และหันหน้ามามองหลิ่วหมิงด้วยดวงตาที่โหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที เขาเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างถอยไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล
หัวบินกลับแผดเสียงร้องแหลมออกมา และกลายเป็นไอสีดำพวยพุ่งตามไปติดๆ
หลิ่วหมิงตวัดกระบี่สั้นในมือ จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวสามสายก็ม้วนตัวออกมา
เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ปราณกระบี่ทั้งสามสายฟันลงบนไอสีดำแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเหนียวที่จมลงทะเล ดูเหมือนกับว่าหัวปีศาจตนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย
และหลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นท่ามกลามไอสีดำ เส้นสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากในนั้น มันคือผมยาวๆ ของหัวบิน มันเคลื่อนที่รวดเร็วมาก เพียงกี่อึดใจก็มาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ยันต์สีเขียวจางๆ ใบหนึ่งถูกพุ่งยิงออกไปในทันที
มันคือยันต์ที่เขาได้มาจากศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคีที่ซุ่มโจมตีเขา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอานุภาพของมันจะเป็นอย่างไร แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มาก ก็คงได้แต่เอามันออกมารับมือก่อน
ยันต์พุ่งเข้าไปในเส้นผมยาวที่แน่นขนัด และเจาะทะลุจนเป็นรูจำนวนมาก จากนั้นมันก็ระเบิดออกมา
เสียงดัง “ตู้ม!”
แรงระเบิดที่แฝงไปด้วยวายุ และอัคคีก็ได้ระเบิดออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่ลมพายุและเปลวไฟประสานเข้าด้วยกันนี้ ทำให้มันกลายเป็นเสาวาตอัคคีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและระเบิดออกมา
ถึงแม้หัวบินตนนั้นจะร้ายกาจ แต่พอเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มันก็ได้เพียงแต่เก็บเส้นผมกลับไป จากนั้นไอดำที่รวมตัวกันก็เปลี่ยนทิศทางไปที่เสาเปลวเพลิง และวนอยู่หนึ่งรอบ
แต่ในช่วงระหว่างเวลานั้นเขาได้หนีออกไปไกลหลายสิบจั้งแล้ว และพุ่งเข้าไปตามต้นไม้ขนาดต่างๆ
หัวบินแผดเสียงอันดุร้ายจนเส้นผมชี้ตั้งขึ้นมา ความเร็วของไอดำที่รวมตัวกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันตามติดอย่างไม่ยอมลดละ
ขณะนั้น ฝ่ายหนึ่งอยู่หน้าอีกฝ่ายไล่ล่า จนอึดใจเดียวก็วิ่งไปได้ไกลสิบกว่าลี้แล้ว
ร่างกายของหลิ่วหมิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก บวกกับวิชาตัวเบาที่แสดงออกมาเขาเพียงออกแรงเบาๆ ที่เท้าทั้งสองก็สามารถกระโดดไปได้ไกลหลายจั้ง
และหลังจากที่หัวบินถูกไอดำปกคลุมแล้ว มันก็ดูราวกับว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง มันไม่หลบหลีกต้นไม้ในป่าเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พุ่งเข้าใส่ก็สามารถทะลุต้นไม้ทั้งหลายไปได้
ระยะห่างของทั้งสองไม่มีเพิ่มขึ้น แต่กลับยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น
ทันใดนั้น ไอดำที่ตามอยู่ด้านหลังก็ระเบิดตัวออกมา หัวบินที่เดิมทีควรจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขาหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แสงสีเขียวบนตัวเปล่งประกายออกมาอีกครั้ง เกราะเถาวัลย์ใหม่เอี่ยมอ่องปกคลุมร่างกายส่วนบนของเขาไว้
……………………………………….