ตอนที่ 385 ภูเขาหิมะ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 385 ภูเขาหิมะ

เก้าค่ำเดือนสี่

ท้องนภาแจ่มใสไร้เงาเมฆ !

และในวันนี้สำนักดาราศาสตร์จัดให้เป็นฤกษ์มงคลของงานบวงสรวงสู่สวรรค์

เมื่อแสงสุริยาสาดลงมากระทบกับพื้นธรณี ประตูของพระราชวังก็ได้ถูกเปิดขึ้น ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามามิขาดสาย และองค์จักรพรรดิก็ได้เสด็จราชดำเนินออกจากพระราชวังท่ามกลางเสียงโห่ร้องอวยพรของเหล่าราษฎรและทหารกองเกียรติยศ พระองค์ทรงเสด็จราชดำเนินไปยังที่ราบสูงแล้วจึงตรงไปยังภูเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านอยู่บนฟากฟ้า

การเดินทางครานี้นอกจากจะมีกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งสามพันนายร่วมขบวนด้วย และก็ยังมีเจียนเจิ้งอู๋แห่งสำนักดาราศาสตร์ผู้นำจิตวิญญาณแห่งทวยเทพตามตำราของสำนักเต๋า

ผู้คนในราชวงศ์มีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คือองค์ฝ่าบาท และผู้ที่ร่วมติดตามพระองค์มาด้วยนั้นก็คือฟู่เสี่ยวกวนชายหนุ่มที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนนาม

เพราะสตรีมิสามารถเข้าร่วมพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้ไทเฮาและอู๋หลิงจึงมิอาจมาร่วมขบวนครานี้ได้

เมื่อกองเกียรติยศได้จากไปก็ได้หลงเหลือหมู่คนเสียงดังเซ็งแซ่

พวกเขาล้วนแต่เป็นราษฎรของเมืองกวนหยุน พวกเขาได้มารวมตัวกันเพื่อที่จะมารับพรแห่งสรวงสวรรค์

และบัณฑิตจากแคว้นทั้งสามบัดนี้ก็ได้แฝงตนอยู่ในฝูงชนเช่นเดียวกัน ฤกษ์งามยามดีในวันบวงสรวงสู่สวรรค์เช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะมิมีโอกาสที่จะไปเยือนวัดเฉินเมี่ยว เพียงแค่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ห่าง ๆ ก็ยังดี

ฝานเทียนหนิงและคูฉานก็ได้อยู่ร่วมในฝูงชนเหล่านั้นเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่บนรถม้า ฝานเทียนหนิงเฝ้าคำนึงถึงเมื่อคราที่เขาได้พบพานฟู่เสี่ยวกวนคราแรกที่เมืองฝานหนิง จากนั้นก็ได้รู้จักและสนิทสนม

เศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง หลังจากที่ผ่านพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ก็จะได้แปรเปลี่ยนไปเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร !

วิธีการของจักรพรรดิเหวินนั้นเยี่ยมยอดอย่างแท้จริง ถึงขั้นต้องปลงประชนม์โอรสทั้งสองพระองค์ ฝานเทียนหนิงก็เป็นเชื้อพระวงศ์เช่นกัน เขามิได้เห็นใจองค์ชายทั้งสอง เพราะเขารู้ดีว่าเชื้อพระวงศ์ล้วนแต่เป็นพวกไร้หัวใจ

“ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก”

คูฉานแหงนหน้าขึ้นมามองฝานเทียนหนิง “ท่านเสียดายสิ่งใดกัน ? ”

“ใต้หล้านี้จะไร้ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไปแล้ว ! ”

“…ท่านผิดแล้ว ! ”

“เมื่อเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาก็ย่อมยุ่งอยู่กับงานราชการ และความโดดเด่นมิเหมือนใครของเขาก็ย่อมถูกเผาให้ดับมอด เขาจะแต่งประพันธ์บทกวีที่สะเทือนฟ้าดินออกมาได้เยี่ยงไรกัน ข้าเอ่ยสิ่งใดผิดไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เขาได้เอ่ยมาว่า…ทุกสิ่งล้วนประดิษฐ์ขึ้นมา สิ่งที่เห็นอาจจะมิใช่สิ่งที่เป็น”

ฝานเทียนหนิงคิ้วขมวดจนเป็นปม “หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ”

“สิ่งที่ตาท่านเห็นนั้นล้วนแต่มิเที่ยงแท้ หากใจท่านคิดว่าเขาคือฟู่เสี่ยวกวน เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะเป็นฟู่เสี่ยวกวนตลอดไป…”

“หึ ๆ ! ” ฝาเทียนหนิงแค่นหัวเราะ แล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

เขายังเป็นฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมอยู่จริงหรือ ?

เขาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นจักรพรรดิที่ไร้หัวใจเข้าสักวันหนึ่งหรือไม่ ?

เขาจะหวนคำนึงถึงบทประพันธ์ไร้ซึ่งปรารถนาหรือไม่ ?

เขาจะประพันธ์ถ้อยคำแสนสง่างามอย่างเช่น ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมไร้แสงสุริยาออกมาได้อยู่อีกหรือไม่ ?

……

ม้าแปดตัวกำลังลากรถม้าคันใหญ่และหรูหรา

จักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

“เจ้าอย่าได้ตื่นเต้นไป ประเดี๋ยวก็จงทำตามข้าเถิด เมื่อเริ่มพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ที่ตำหนักเฉินเตี้ยน เจ้าจะต้องจุดธูปคุกเข่าเพื่อขอให้สรวงสวรรค์ปกป้องราชวงศ์อู๋ ให้มีฝนตกชุม มีพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ ปกป้องความผาสุกของเหล่าพสกนิกรและความมั่นคงของราชวงศ์ ”

“ข้าจะลงชื่อเจ้าไว้ในคัมภีร์บวงสรวงสู่สวรรค์เพื่อให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จดจำชื่อเจ้าได้ เมื่อถึงคราบูชาบวงสรวงสู่สวรรค์ในปีต่อไป ข้าก็จะมอบหมายให้เจ้ามาทำพิธีแทน เช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้รู้จักเจ้ามากขึ้น และคุ้มครองรักษาให้เจ้าครองบัลลังก์อย่างผาสุก เป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงธรรม”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าด้วยความสุขุม นี่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในแคว้นอู๋ เขาได้แสดงออกถึงความเคารพความศรัทธา แม้ว่าภายในใจจะรู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไร้ประโยชน์

จักรพรรดิเหวินทรงพอพระทัยในความสุขุมของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก

ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะละทิ้งความรับผิดชอบอีกต่อไป จึงทำให้จักรพรรดิเหวินและไทเฮาได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เสียที และทำให้เหล่าเสนาบดีโล่งอกไปด้วยเช่นกัน

สองวันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินทรงรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าร่วมประชุมราชสำนักในช่วงเช้าตรู่ แม้ว่าพระองค์จะมิทรงเอ่ยถามเขาแม้แต่ประโยคเดียว แต่ทว่าเขาก็ยังยืนอยู่เบื้องหน้าขุนนางอย่างเชื่อฟัง คาดว่าผ่านไปมินานเขาก็คงคุ้นชิน เมื่อถึงเวลาสถาปนาเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะสามารถเข้ามามีบทบาทในการผ่อนปรนภาระในการบริหารบ้านเมืองของข้า

ฟู่เสี่ยวกวนช่างแตกต่างกับอู๋กานองค์รัชทายาทพระองค์ก่อนมากยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีเขาเป็นถึงเจี้ยนอี้ต้าฝูระดับสี่ของราชวงศ์หยู เขาย่อมเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติของทางราชสำนักเป็นอย่างดี และมีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ดังนั้นเขาย่อมเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากสามารถช่ำชองได้ภายในสองปี ตำแหน่งจักรพรรดิของข้าก็สามารถมอบให้กับเขาได้แล้ว

จักรพรรดิเหวินทรงปล่อยให้พระราชดำริโลดแล่นไป พระองค์ทรงพระเกษมสำราญมากยิ่งนัก

“คืนก่อนไทเฮาได้บอกกับข้าว่าเมื่อพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์วันนี้ได้แล้วเสร็จ ตอนค่ำให้ข้าพาเจ้าไปร่วมเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักของพระนางด้วยกัน พระนางทรงโปรดบทกวีอวยพรของเจ้ามากยิ่งนัก และเจ้าก็เป็นพระนัดดาหนึ่งเดียวของพระนาง เจ้าจงรู้จักกตัญญูและทำให้พระนางทรงโปรดเจ้าให้จงได้ ให้พระนางรู้สึกสุขสบายพระทัย”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับทราบ “มิทราบว่าพระนางทรงโปรดสิ่งใดกัน ? ”

เขาไม่เคยพบไทเฮามาก่อน เลยคิดว่าการเจอกันคราแรกควรจะมีของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย เพราะพระนางมีศักดิ์เป็นย่าของเขา

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวล “พระนางทรงโปรดที่จะสนทนากับเจ้า”

เช่นนี้ก็มิยากนัก เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยมีประสบการณ์สนทนากับผู้อาวุโสมาก่อน

ทั้งสองนั่งสนทนากันตามประสา และความหนาวเย็นก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเยือนอย่างไม่รู้ตัว

ขันทีเสี่ยวหลีจื่อผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างมาตลอดก็ได้ก่อไฟให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมา จักรพรรดิเหวินทรงหยิบเสื้อขนสัตว์หนานุ่มขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน

“เข้าสู่หุบเขาธารน้ำแข็งแล้ว เจ้าจงสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เสียหน่อยเพื่อมิให้หนาวสั่น ประเดี๋ยวด้านในจะหนาวกว่านี้มากนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนรับเสื้อขนสัตว์มาอย่างไม่เกรงใจและสวมทับไป เขาเปิดหน้าต่างขึ้น จากนั้นจึงได้เห็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ส่องประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ หากจะกล่าวให้สมจริงก็คือแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง

มันทอดยาวลงมาระหว่างภูเขาสูงทั้งสองลูก คดเคี้ยวเลี้ยวลด ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด

เหมือนว่าผู้คุมม้าจะใช้วิธีพิเศษในการเดินหน้า และดูเหมือนว่าดุนล้อได้มีการเสริมโซ่กันลื่นเข้าไป ทำให้รถเคลื่อนที่ช้าเป็นอย่างมาก และรถม้าก็ได้สั่นกระโชกขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นไปมองภูเขาหิมะให้เต็มตาอีกครา ภูเขาลูกนั้นสูงชันจนมิอาจมองเห็นยอดของมันได้ และมีหิมะปกคลุมอย่างหนาแน่น จนทำให้ฟู่เสี่ยวรู้สึกเป็นกังวล เขาจึงเอ่ยถามว่า “หิมะเหล่านี้จะถล่มลงมาหรือไม่ ? ”

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลเพราะมิเห็นด้วย “ตั้งแต่ย้ายพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์จากจายซิงถายมายังวัดเฉินเมี่ยวที่ภูเขาหิมะแห่งนี้มาร้อยสามสิบปีเรื่องหิมะถล่มส่วนมากจะเกิดช่วงเดือนเจ็ดเดือดแปด มิเคยเกิดขึ้นในเดือนสี่มาก่อน เจ้าจงอย่าได้เป็นกังวล”

ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เขาเลิกผ้าม่านให้กว้างขึ้นไปอีก แล้วยื่นหัวออกไปเสียครึ่งหัวแล้วกวาดสายตาไปมองทัศนียภาพโดยรอบให้ไกลเท่าที่จะมองเห็นได้ นอกจากน้ำแข็งที่เกาะบนพื้นกับหิมะที่กองพะเนินบนภูเขาแล้วเขาก็มองสิ่งใดมิเห็นอีกเลย

ภูเขาหิมะทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ยอดเขาสูงตระหง่านเรียงราย

พวกมันตั้งตระหง่านอย่างเงียบเชียบบนที่ราบสูงที่สะอาดบริสุทธิ์แห่งนี้ และมิรู้ว่ามันมีมานานเพียงใดแล้ว

หันมองไปทั่วสารทิศนอกจากเสียงฝีก้าวของม้า และเสียงร้องเรียกออกมาเพียงครั้งคราวก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ราวกับว่านอกจากรอยเท้าของผู้คนก็ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ในอารามตื่นกลัว ทันใดนั้นรถม้าก็ได้ตีวงกว้าง ทำให้ที่ราบสูงหลีลั่วนั้นถูกตัดออกจากทัศนวิสัยอย่างสิ้นเชิง

และฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยื่นศีรษะออกไปมองด้านนอกอีกครา และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขานั้นคือยอดภูเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าที่มีเมฆหนาทึบปกคลุมดั่งเสาหลักคอยค้ำจุน

ช่างดูโอ่อ่ามากยิ่งนัก ยอดของภูเขาหิมะสูงเสียดฟ้าทะลุเมฆ !

เบื้องหน้าของกองทหารเกียรติยศ ที่เชิงเขาแห่งนี้ เป็นพื้นที่หุบเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ธารน้ำแข็งเปรียบดั่งสร้อยคอหยกที่คล้องอยู่ระหว่างกลาง ทั้งสองด้านคือก้อนหินเรียงรายที่เปลือยเปล่า

กองทหารเกียรติยศได้หยุดอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ฟู่เสี่ยวกวนร้อนรนจนแทบจะกระโดดออกจากรถม้า และกวาดสายตาหันไปทั่วทุกสารทิศอีกครา แล้วก็พบว่าที่แห่งนี้ได้โดนภูเขาหิมะห้อมล้อมเอาไว้