นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 510 แฟนทายาทรุ่นที่สอง
หลิวเสี่ยวหนิงยืนข้างจินจิ่นหราน เงยมองจินจิ่นหรานแต่รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะยังไงเมื่อกี้ตัวเองก็ตกลงเขาไปเพราะถูกครอบงำ
จินจิ่นหรานเหมือนจะรู้สึกถึงหลิวเสี่ยวหนิงจ้องมองจึงหันมา ก่อนทั้งสองจะสบสายตากัน
หลิวเสี่ยวหนิงเห็นภาพสะท้อนของเธอในนัยน์ตาของเขาชัดเจน เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และอารมณ์อันละเอียดอ่อนก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
นักข่าวที่อยู่รายล้อมทุกคนถ่ายรูปฉากนี้ โดยคิดจะกลับไปพาดหัวข่าวแรกโดยเร็วที่สุด
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงก็เข้ามาเพราะสัญญาณของซูฉิง และให้สื่อสัมภาษณ์คำถามเกี่ยวกับละครเรื่องใหม่อีกครั้ง และรีบสิ้นสุดการสัมภาษณ์ทันที
ในขณะที่หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกโล่งใจ ฝ่ามือกลับถูกบีบอย่างเงียบๆ
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของจินจิ่นหราน
“ผมดีใจมากที่คุณตอบตกลงผม” จินจิ่นหรานจับมือหลิวเสี่ยวหนิงอย่างระวัง และรอยยิ้มที่มุมริมฝีปากของเขาก็ไม่สามารถระงับได้
นี่เป็นฉากที่เขาฝันถึงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่วันนี้มันเป็นจริงแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าทีมีความสุขบนใบหน้าของจินจิ่นหราน หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกแปลกและอึดอัดเล็กน้อย
เนื่องจากเธอรู้จักเขา เขามีท่าทีสงบนิ่งมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตระหนกเล็กน้อย
“คุณทำฉันเจ็บ” หลิวเสี่ยวหนิงก้มลงมองมือที่บีบแน่น ก่อนจะมองเขาอย่างช่วยไม่ได้
“อา…ผมขอโทษ” จินจิ่นหรานที่สังเกตเห็นก็รีบปล่อยมือหลิวเสี่ยวหนิงทันที
“ไม่ใช่ว่าคุณภาพทางจิตใจของหมอจะดีมากหรอกเหรอ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณเป็นแบบนี้” หลิวเสี่ยวหนิงพูดติดตลก
“ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก”
ดวงตาของจินจิ่นหรานค่อยๆ อ่อนลง “ครั้งแรกที่ผมเจอคุณ ครั้งแรกที่ผมได้คุยกับคุณ และครั้งแรกที่ผมนัดคุณทานข้าว ตราบใดที่เกี่ยวกับคุณ ผมจะประหม่าอยู่ตลอด”
จินจิ่นหรานในอดีตไม่เชื่อในรักแรกพบ เขายังคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างยิ่งที่ต้องใช้เวลานานในการสำรวจ
เขาสามารถทำการผ่าตัดต่อเนื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดทั้งคืน และสามารถควบคุมเครื่องมือที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย และแม้แต่การบรรยายทางวิชาการให้ผู้คนนับหมื่นก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับเขา
แต่ทุกครั้งที่ได้เจอกับหลิวเสี่ยวหนิง หัวใจของจะเต้นเร็วขึ้น
บางเรื่อง หากเพียงได้เชื่อมโยงกับหลิวเสี่ยวหนิงสามคำนี้แล้ว สำหรับเขาจะรู้สึกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
หลิวเสี่ยวหนิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับความรู้สึกน่าทึ่งของจินจิ่นหราน
เธอยกยิ้ม แต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไร
ไม่นานหลังจากพิธีเปิด ชื่อของหลิวเสี่ยวหนิงก็ปรากฏในช่องค้นหายอดนิยมอีกครั้งพร้อมกับจินจิ่นหราน
จากนั้นชาวเน็ตบางคนก็สืบประวัติตระกูลของจินจิ่นหราน และก็เกิดความโกลาหลบนอินเทอร์เน็ตอีกครั้งในทันที
ทายาทรุ่นที่สอง จบการศึกษาจากสถาบันมีชื่อเสียง และยังหน้าตาหล่ออีกด้วย ประกอบกับมีคนได้เผยที่ให้สัมภาษณ์ในพิธีเปิด จนช่องสนทนาทางอินเทอร์เน็ตได้โกลาหลในทันที
“ฉัน ฉัน ฉัน! ฉันเคยเจอกับหมอจิน ฉันเคยไปรักษาที่โรงพยาบาลของพวกเขา เขาหล่อมากจริงๆ แถมยังอ่อนโยนมากด้วย! แต่ที่เขาคบกับหลิวเสี่ยวหนิงนั้นยอดเยี่ยมสำหรับฉันจริงๆ”
“สถาบันที่มีชื่อเสียง แถมยังเป็นทายาทรุ่นที่สอง…คนนี้คงไม่ได้อยู่เบื้องหลังหลิวเสี่ยวหนิง…”
“ในช่องค้นหายอดนิยมช่วงนี้มีแต่เธอ ไม่แปลกใจที่มีเงินซื้อช่องค้นหายอดนิยม ที่แท้ก็ได้แฟนเป็นทายาทรุ่นที่สองนี่เอง”
“พวกเธอไม่คิดว่าท่าทางหลิวเสี่ยวหนิงดูไม่มีความสุขเหรอ”
“ออกจากการเป็นแฟนคลับหลิวเสี่ยวหนิงแล้ว อาชีพเพิ่งได้ดีก็มีแฟน น่าตลกเสียจริง ที่แท้ก็ได้แฟนรวยแล้ว เลยไม่ต้องสนใจงานแล้วใช่ไหมล่ะ?”
เมื่อดูการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ต ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงก็รู้สึกปวดหัว เธอขมวดคิ้วและมองไปที่หลิวเสี่ยวหนิงที่กำลังดูโทรศัพท์ด้วย
“เธอช่างหุนหันพลันแล่นจริงๆ ทำไมไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ? ฉันไม่ได้บอกเธอไว้แล้วเหรอว่าเรื่องการมีความรักมันเป็นเรื่องใหญ่…”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้จัดการจะเคยล้อเลียนหลิวเสี่ยวหนิง แต่ที่จริงเธอก็รู้จักนิสัยหลิวเสี่ยวหนิงเป็นอย่างดี แต่เธอไม่นึกเลยว่าหลิวเสี่ยวหนิงจะทำเธอประหลาดใจมากขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่หลิวเสี่ยวหนิงเผชิญหน้ากับจินจิ่นหราน ปฏิกิริยานั้นเหมือนจะค่อนข้างธรรมดาทั่วไป
หลิวเสี่ยวหนิงหลุบตาไม่พูดอะไร ผู้จัดการที่เห็นกับบีบไหล่อีกคน
“ตอนนี้เราต้องคิดหาวิธีเอาใจแฟนคลับ หากอารมณ์ของแฟนคลับรุนแรงเกินไป มันอาจส่งผลกระทบต่อ “ฉันเป็นเจ้าของวัยหนุ่มสาวของฉัน” นะ”
ก่อนหน้านี้แฟนคลับของหลิวเสี่ยวหนิงดูดีมาก แต่พอได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผู้จัดการก็ตระหนักถึงความน่าสยองขวัญของแฟนคลับได้ในที่สุด
“ฉัน…” หลิวเสี่ยวหนิงขยับริมฝีปาก สุดท้ายคำพูดทั้งหมดก็แหบแห้งอยู่ในลำคอ
เธอเอนหลังเอนหลังพิงเก้าอี้ และตอนนี้ในหัวเธอวุ่นวายไปหมด
แต่เรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้เพราะแรงกระตุ้นของตัวเอง และหลิวเสี่ยวหนิงก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนั้นเอง ผู้กำกับมาบอกให้ไปรวมตัวกัน หลิวเสี่ยวหนิงตบแก้มตัวเองและลุกขึ้นไปรวมกันที่กองถ่าย
ระหว่างทาง หลิวเสี่ยวหนิงได้รับความสนใจ และแม้แต่ทีมงานหลายคนก็ส่งคำอวยพร ซึ่งทำให้หลิวเสี่ยวหนิงตกตะลึงเล็กน้อย
นักแสดงได้พบกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ผู้กำกับไม่ได้ให้เวลาในการทักทายกันมากนักและเลือกฉากสำคัญสองสามฉากเพื่อให้นักแสดงทำความคุ้นชินกับบท
เนื่องจากผู้กำกับเฉินถ่ายทำภาพยนตร์มาเยอะ ดังนั้นจึงติดนิสัยบางอย่างมาในการถ่ายทำละครโทรทัศน์ด้วย แต่หลิวเสี่ยวหนิงกลับคิดว่าการทำความคุ้นเคยกันด้วยวิธีนี้นั้นก็ไม่เลว
อย่างมากก็ทำให้จิตใจของเธอจดจ่อได้
“ดี การถ่ายทำจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ทุกคนกลับไปจัดการปรับท่าทีของตัวเองนะ” ผู้กำกับเฉินปรบมือ และเมื่อทุกคนเห็นก็พาทักทายและเตรียมจะจากไป
แต่หลิวเสี่ยวหนิงก็ได้ยินเสียงบางคนกำลังถึงตัวเธอเช่นกัน
เธอไม่คิดจะใส่ใจ ก่อนจะก้มมองข้อความของจินจิ่นหรานที่จะมารับตัวเธอ ในขณะที่เธอกำลังลังเลว่าจะตอบยังไงดีก็ถูกซูฉิงเรียกเอาไว้ “เสี่ยวหนิง”
ซูฉิงเหลือบมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของอีกคนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “มองไม่ออกเลยนะ ซ่อนไว้ลึกมากเลย”
“อา… ก็คงจะอย่างนั้นค่ะ ขอโทษนะคะ ตอนนี้คงสร้างปัญหาให้บริษัทมากเลย”
หลิวเสี่ยวหนิงยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เต็มใจ แต่เมื่อปัดหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ได้เห็นข่าวในเวยป๋อที่กำลังจะระเบิด รวมถึงข่าวข่าวอีกนับไม่ถ้วน
“เรื่องพวกนั้นเธอไม่ต้องไปสนใจหรอก ทำในสิ่งที่ควรทำเถอะ” ซูฉิงที่เห็นก็ลูบผมหลิวเสี่ยวหนิงอย่างอ่อนโยนและพูดด้วยเสียงเบา
“บริษัทจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของศิลปิน หาความสุขของตัวเองไปเถอะ ปล่อยให้การจัดการเป็นของบริษัท”
หาความสุข…
หลิวเสี่ยวหนิงพึมพำและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเฉินจุนเหยียน
“เธออยู่นี่นี่เอง” ประโยคแรกที่เฉินจุนเหยียนเดินมาถึงคือพูดกับซูฉิง สายตาก็ยังคงอยู่ที่ใบหน้าซูฉิงอยู่ตลอด
หลิวเสี่ยวหนิงที่กำลังมองก็เม้มริมฝีปากของเธอเล็กน้อย