Ep.448 – เก็บที่นั่งไว้ให้คุณ

 

สิ่งที่ฉินเฟิงกล่าวถึง แน่นอนว่าเป็นชิ้นส่วนจักรกลที่ปล้นชิงมาจากเมืองลอยฟ้าของพวกกริมในเทือกเขาหลงฉวน แม้จะมีบางส่วนที่เสียหาย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ สามารถนํามาประยุกต์และใช้ประโยชน์ได้

 

เดิมที่ฉินเฟิงต้องการโรงงานผลิตอาวุธปืน ก็เพื่อต้องการศึกษาสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

 

ในเมืองหวังมีโรงงานตั้งอยู่มากมาย แต่โรงงานผลิตปืนไม่สามารถทําเงินได้มากนัก ที่ทําเงินได้ดีที่สุด น่าจะเป็นพวกโรงงานผลิตยาชนิดพิเศษ หรืออะไรทํานองนั้นซะมากกว่า

 

เพราะในเมืองหวัง การทดลองกับมนุษย์โดยตรง ไม่ถือว่าผิดกฎหมายหรือมีข้อจํากัดใดๆ

 

ยาบางชนิดส่งผลข้างเคียงร้ายแรงมาก แต่มีฤทธิ์เพิ่มศักยภาพที่ดี ส่วนใหญ่ล้วนถูกผลิตขึ้นจากที่นี่

 

ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงเมื่อก้าวเข้าอาศัยอยู่ในเขตพันธมิตรองค์กรมืด เขาก็คร้านจะใส่ใจกับธุรกิจของผู้อื่น และเวลานี้ตนไม่ได้อยู่ในพันธมิตรมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่คิดถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องขององค์กร Z เช่นกัน

 

เมื่อเกิดไอเดีย ฉินเฟิงก็เข้าควบคุมโรงงานทันที เขาเริ่มสั่งงานวิจัยศึกษาอาวุธปืนอย่างละเอียด โดยไม่คํานึงว่าอาวุธปืนนี้ จะสามารถสําแดงประสิทธิภาพออกมาได้น่าหวาดกลัวขนาดไหน ผลกระทบทางมลพิษจากการผลิตจะมากมายเพียงใด หรือมีโอกาสเกิดรูปแบบการกลายพันธุ์ทางชีวภาพก็ตาม

 

“ตราบใดที่สามารถดึงพลังของวัตถุพวกนี้ออกมาใช้ได้ ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา!”

 

“สิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง หลังจากพวกคุณได้รับมันไปศึกษาแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถสร้างของดีๆให้เกิดขึ้นได้ ก็ถือว่าพวกคุณไร้ประโยชน์ และไม่จําเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

 

“เอาล่ะเร่งมือเถอะ อย่ามัวชักช้า!”

 

ฉินเฟิงออกคําสั่ง โรงงานเริ่มดําเนินการอย่างรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยในสิ่งนี้ จําเป็นต้องใช้เวลา แม้ฉินเฟิงต้องการเร่งความเร็วสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องรออยู่ดี

 

วันเวลาหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปราวกับพริบตา ทุกอย่างทางฉินเฟิงกําลังเป็นไปได้สวย ทว่าฝั่งเมืองหลงฉวน สถานการณ์กลับย่ำแย่มาก

 

ในวันนี้ เฉินเซี่ยงได้ติดต่อหาฉินเฟิงผ่านอุปกรณ์สื่อสารของบลัดฮันเตอร์

 

“ตอนนี้ป้อมปราการทั้งสิบแห่งของหลงฉวนถูกทําลายลงหมดแล้ว ผู้ชายถูกฆ่าทิ้ง ส่วนผู้หญิงถูกจับไปเป็นทาส พวกมันคือสัตว์เดรัจฉาน!” เฉินเซี่ยงโกรธมาก

 

กําลังรบของพวกกริม มันแข็งแกร่งเกินไป

 

เทคโนโลยีของพวกมันไม่เพียงก้าวหน้า แต่ความเข้มแข็งทางด้านร่างกายก็ยังไม่เลว ทหารทั้งหมดมีความแข็งแกร่งในระดับเลเวล C อีกทั้งท่ามกลางพวกมันยังมีระดับราชันย์และจักรพรรดิ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงอํานาจในการต่อสู้อันน่าเหลือเชื่อ

 

และในด้านการสืบพันธุ์ พวกมันก็คล้ายคลึงกับมนุษย์ แม้ปัจจุบันมนุษย์จะสามารถเอาชีวิตรอดและแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจเพราะมลภาวะปนเปื้อนทางรังสี หรือการคัดสรรตามธรรมชาติ ทําให้จํานวนเพศหญิง ยิ่งนานก็ยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ!

 

ในกรณีของเผ่ากริมก็เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่พวกมันต้องการตัวผู้หญิงไปเป็นทาส และเคี่ยวกรําพวกเธออย่างหนัก!

 

เฉินเซี่ยงและคนอื่นๆโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

แต่ไม่อาจทําอะไรได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ พวกกริมกําลังอวดศักดา ขับเคลื่อนเมืองลอยฟ้ามาทําลายทุกหนแห่งที่มนุษย์พักอาศัยนอกเมืองหลงฉวน!

 

นี่มันเหมือนกับในความทรงจําจากชีวิตก่อนของฉินเฟิงเลย

 

“ผมเข้าใจ แต่คุณห้ามเอาตัวเองไปจมอยู่ในโคลนแอ่งนี้ อย่ากระโจนลงไปโดยเด็ดขาด” ฉินเฟิงกล่าว

 

เฉินเซี่ยงตอบ “แน่นอน ฉันไม่คิดกลับไป แต่ฉันคิดว่า ถ้ายังมีนายเป็นผู้นําอยู่ที่นี่ ไอ้พวกเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา คงไม่กล้าอาละวาดเหมือนทุกวันนี้!”

 

ฉินเฟิงยิ้มจาง “ต่อให้ผมอยู่ที่นั่น ผมก็แค่คนธรรมดา ไม่อาจหยุดอาชานับพันโดยลําพังได้หรอก”

 

แต่ถ้าเป็นไป๋หลี ก็มีโอกาส แต่ฉินเฟิงไม่ต้องการจะปล่อยไป๋หลีออกไปเสี่ยงอันตราย เพราะอาวุธของเมืองลอยฟ้า มันทรงพลังเกินไป

 

ขนาดเกาหยูคังยังถูกสังหารลงในพริบตา อะไรทํานองนั้น เขาไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นกับไป๋หลี

 

“อีกอย่าง อย่าดูถูกฝั่งมนุษยชาตินักเลย เผ่ากริมมันอวดดีได้ไม่นานหรอก ต่อไปคงเกิดสงครามยืดเยื้อแล้วล่ะ”

 

ประสิทธิภาพการป้องกันของเมืองหลงฉวนใช่ว่าจะอ่อนด้อย มันแข็งแกร่งมากเช่นกัน พวกกริมไม่สามารถบุกเข้าไปได้ในทันที สงครามจะยืดเยื้อเป็นเวลานับเดือน ก่อนจะสิ้นสุดลงภายใต้การปรากฏกายของผู้ใช้พลังเลเวล A

 

“อืม ฉันก็พอจะรู้มาบ้างเหมือนกัน ว่าทางพันธมิตรมนุษย์ กําลังคิดส่งผู้ใช้พลังเลเวล A ออกมา คาดว่าน่าจะเป็น ราชาอัคคีชุ่ยเหลียน!”

 

ฉินเฟิงพยักหน้า ในชีวิตก่อน ก็เป็นชุ่ยเหลียนนี่แหละที่ลงมือ ตีเผ่ากริมจนแตกพ่าย และสุดท้าย ก็กลายเป็นเจ้าของเมืองลายฟ้า อาศัยมันเดินทางท่องไปทั่วโลก

 

“ถึงเวลานั้นทุกอย่างคงปลอดภัยแล้ว เมื่อสงครามกับเผ่ากริมจบลง ถ้าคุณต้องการกลับไปฝึกฝีมือในหลงฉวน ก็สามารถทําได้”

 

เฉินเซี่ยงยิ้มขมและกล่าว “หลงฉวนอันตรายเกินไป อาศัยเพียงพวกเรา ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างยากลําบาก”

 

“งั้นพวกคุณต้องติดตามเจิ้งเฉียน หรือไม่…คุณก็ต้องเป็นคนก้าวขึ้นสู่เลเวล C ซะเอง”

 

แม้ในเทือกเขาหลงฉวน สัตว์ร้ายส่วนใหญ่จะเป็นเลเวล D แต่สัตว์ร้ายพวกนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก หากคิดต่อสู้ในเทือกเขาหลงฉวน อย่างไรก็จําเป็นต้องมีเลเวล C คอยสนับสนุน

 

“ฉันขอเลือกพยายามเองก็แล้วกัน!”

 

“อ่าฮะ พูดได้สวย วันนี้น่าจะพอแล้ว ถ้ามีข่าวอะไรอีก อย่าลืมติดต่อหาผม”

 

“ได้เลย”

 

ทั้งสองวางสายอุปกรณ์สื่อสาร ฉินเฟิงอดไม่ได้ เริ่มจินตนาการ

 

“เมืองลอยฟ้า … มองยังไงมันก็เป็นของดีชัดๆ”

 

ฉินเฟิงจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะปัจจุบันเขากําลังศึกษาอาวุธของพวกกริมอยู่ ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักว่าเมืองลอยฟ้าเผ่ากริมเป็นของดีขนาดไหน

 

แต่โคตรน่าเสียดาย ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิงในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครอง

 

ระหว่างฉินเฟิงกําลังจินตนาการ จั่นเฟยก็เดินเข้ามา

 

“ลูกพี่ พวกเราได้รับบัตรเชิญจากชายชุดคลุมดํา เขาเชิญให้คุณเข้าร่วมงานเทียนไต้” จิ่นเฟยยื่นซองจดหมายให้แก่ฉินเฟิง และกล่าวต่อว่า “และชายชุดดํายังส่งข้อความมาหาคุณด้วย”

 

“โอ้ เขาว่ายังไงล่ะ?”

 

“เขาบอกว่า ถ้าขึ้นไปบนเทียนไต้แล้ว ทางเขาจะเตรียมที่นั่งไว้ให้แก่คุณ! และยินดีมอบส่วนแบ่งกําไรของเงินเดิมพัน 1 เปอร์เซ็น

 

ฉินเฟิงหัวเราะ

 

เห็นได้ชัดว่าครั้งก่อนเขาแสดงฝีมือมากเกินไปหน่อย หากไม่เป็นเช่นนั้น ชายในชุดคลุมดําคงไม่เอ่ยคําเหล่านี้ออกมา

 

การบอกว่าเตรียมที่นั่งไว้ให้ฉินเฟิง นั่นก็เพื่อห้ามไม่ให้ฉินเฟิงลงสู่บันได

 

ฉินเฟิงแกะซองจดหมาย และนั่นไง! บัตรใบนี้เป็นแค่ตัวที่นั่งบนอัฒจรรย์จริงๆด้วย

 

และหากตั้งใจคิดดีๆ จะพบว่านี่เป็นคําเตือนจากชายชุดคลุมดําเช่นกัน

 

“ลูกพี่ คุณต้องการจะไปไหม?”

 

“มีคนให้เงินฟรีๆ แน่นอนต้องไป!” ฉินเฟิงยิ้ม

 

จิ่นเฟยถอนหายใจโล่งอก “ฉันก็หลงกลัวว่าลูกพี่จะไม่ยอมอยู่เฉย และเข้าร่วมลงบันไดเทียนไต้ซะแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงกังวลแย่”

 

สีหน้าของจิ่นเฟยกลายเป็นซับซ้อน

 

นั่นเพราะเขาเติบโตมาในเมืองหวัง หากเปรียบเทียบกับเมืองหวังเป็นบ่อๆหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่ามันลึกแค่ไหน หากไม่ระวังและพลาดร่วงลงไป คุณอาจหายไปไม่เหลือแม้แต่เงาให้เห็น

 

การที่ฉินเฟิงสามารถยอมละทิ้งผลประโยชน์ใหญ่เช่นนี้ได้ จิ่นเฟยรู้สึกชื่นชมไม่น้อย

 

อันที่จริงมีอยู่หลายครั้งที่จิ่นเฟยคิด ว่าหากตนมีพลังเหมือนฉินเฟิง ตนจะสามารถข่มอารมณ์ตัวเองได้ขนาดนี้หรือไม่?

 

แต่เกรงว่าจิ่นเฟยคงคิดไม่ตกตลอดไป เพราะเหตุผลที่ฉินเฟิงเฉยๆกับเรื่องนี้ แน่นอน นั่นเพราะเขาสามารถเข้าสู่มิติเทียนไต้ได้ตลอดเวลาอย่างไรเล่า!

 

ช่วงเวลาเที่ยงวัน ฉินเฟิงเดินตามคนอื่นๆขึ้นไปบนเทียนไต้ บอสมากมายต่างมองมาทาง ฉินเฟิง จดจ้องเขาด้วยความระแวดระวัง ในสายตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว!

 

เพราะฉินเฟิงคือคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง!

 

มีอยู่หลายคนทีเดียว ที่ตัดสินใจว่าหากฉินเฟิงเข้าร่วมการแข่งขัน คราวนี้ตนจะไม่ส่งลูกน้องออกไป มิฉะนั้นคงเป็นการสูญเสียกองกําลังโดยใช่เหตุ

 

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสทําให้ฉินเฟิงเกิดความขุ่นเคือง สุดท้ายจบลงแบบเดียวกันกับบอสเลเวล C ที่ตายลงในอาทิตย์ก่อน

 

แต่ข่าวดีก็คือ หลังจากที่ฉินเฟิงเข้ามา เขาถูกส่งไปยังตําแหน่งอัฒจรรย์ในทันที ฉินเฟิงนั่งลงแสดงเจตนาชัดว่าจะไม่เข้าร่วมเล่น

 

สีหน้าของผู้ใช้พลังเลเวล C ผ่อนคลายลง แต่เริ่มบังเกิดอีกหนึ่งความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้นมา

 

ในส่วนผ่อนคลาย เพราะลูกน้องตนไม่ต้องตาย ในส่วนที่ซับซ้อน เป็นเพราะเลเวล D คนหนึ่งกําลังนั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ใช้พลังเลเวล C

 

งานในอาทิตย์นี้ เห็นได้ชัดว่าสั้นกว่าอาทิตย์ก่อนที่ฉินเฟิงเข้าร่วมมากนัก แต่การต่อสู้ก็ดําเนินไปอย่างดุเดือดเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีไอ้บ้ามาดักรอหน้าทางออก

 

กระนั้น คราวนี้ก็ยังมีคนเสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง

 

ฉินเฟิงไม่สนใจเรื่องนี้ เขาไม่แม้แต่คิดวางเดิมพัน เมื่อจบงาน ก็กลับไปทันที

 

“คราวหน้าคงไม่ต้องมาแล้ว เอาไว้อยากมา ค่อยให้ไป๋หลีพามาแล้วกัน” ฉินเฟิงคิด

 

ในค่ำคืนเดียวกัน ฉินเฟิงและไป๋หลี ก้าวผ่านประตูมิติ ไปปรากฏกายบนมิติเทียนได้อีกครั้ง!