ตอนที่ 443

The Divine Nine Dragon Cauldron

กังต้าเหล่ยยักไหล่

 

“เอาเถอะ ตาแก่นั่นรอเจ้าอยู่”

 

ซือหยูตามกังต้าเหล่ยไปที่ศิลาก้อนยักษ์ นอกจากชายแก่ขี้เมาก็ยังมีชายหนุ่มอีกสองคนที่สวมชุดดูโบราณที่มีอักษรฉินปักไว้ที่ปก

 

“มาซักทีนะเจ้าหนู อย่ามัวเสียเวลา ไปกันเถอะ”

 

ชายแก่สั่งโดยไม่แม้แต่จะทักทาย เขาเพียงมองซือหยูและยิ้มอย่างประหลาดก่อนจะมองผ่านทุกคนแล้วบินออกไป

 

กว่าซือหยจะรู้สึกตัวเขาก็มาอยู่บนเมฆาขาวกระจ่างที่บินได้ด้วยความเร็วอันน่าตกใจแล้ว มันเร็วซะจนทุกคนเดาะลิ้น ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เดินทางในระยะหมื่นลี้ในพริบตา!

 

ที่ทำให้ซือหยูตกใจก็คือเขาไม่ทันตอบสนองได้เลยในตอนที่ถูกพามายังเมฆานี้! ขอบเขตภูตินั้นน่ากลัวจนขอบเขตอำมฤตมิอาจก้าวข้ามได้

 

ชายหนุ่มสองคนคืนสติได้ในไม่นาน หนึ่งในนั้นอายุสิบเก้าปี เขามองดูซือหยูอย่างละเอียดและกระซิบเบาๆ

 

“เจ้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬที่พวกข้าทนรอมาตลอดครึ่งเดือนใช่หรือไม่? ฮื่ม พลังเจ้าก็แค่ธรรมดาแต่กลับอวดดีนัก”

 

เมฆานั้นใหญ่เพียงแค่หมื่นศอก แม้แต่เสียงกระซิบที่เบาที่สุดก็ได้ยินได้ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนั้นตั้งใจพูดให้ซือหยูได้ยิน

 

ซือหยูหันไปมองช้าๆ ที่หน้าผากของชายผู้นั้นมีเนื้องอกออกมาตั้งแต่เกิดราวกับเขามรกต

 

ซือหยูเหลือบมองและละสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเริ่มคิดโดยไม่ตอบอะไร

 

“ท่าทางนั่นมันอะไรกัน?”

 

ชายหนุ่มเขามรกตเริ่มไม่พอใจ เขามองว่าท่าทางของซือหยูหยาบคายเป็นอย่างมาก

 

ซือหยูไม่เพียงแต่จะไม่ตอบเขา เขายังหลับตาไม่สนสิ่งใด ชายหนุ่มโกรธแค้นเมื่อเห็นดังนั้น

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากนักเรอะ?”

 

ชายแก่ขี้เมาหลับอย่างเป็นสุข ส่วนกังต้าเหล่ยนั้นร่างกายปกคลุมด้วยแสงราวกับบ่มเพาะพลังอยู่ เขาไม่หยุดเหล่าคนบนเมฆ

 

มีอีกชายหนุ่มอีกคนที่อายุยี่สิบห้าปีข้างชายหนุ่มเขามรกตที่ขมวดคิ้วและตำหนิ

 

“เงียบซะ!”

 

ชายหนุ่มเขามรกตตัวแข็งทื่อ แม้ว่าเขาจะมองซือหยูอย่างโกรธแค้น เขาก็ไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ

 

“เจ้าจะต้องเป็นราชาปีศาจหิมะทมิฬที่ร่ำลือ ได้พบเจ้าดีเสียยิ่งกว่าได้ยินชื่อเสียง ข้าฉินจิวหยาง และนี่คือน้องเล็กในตระกูล ฉินยู่ชาง ถ้าเขาดูหมิ่นเจ้าก็โปรดอภัยให้เขาเถอะ”

 

ฉินจิวหยางคือชายหนุ่มรูปงาม ทั้งร่างนั้นกำยำสมชาย เขาเป็นคนที่ดูสุภาพที่สุด

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตกึ่งเทพ เขาก็ยังขอโทษแทนคนอื่น เห็นได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง

 

ซือหยูลืมตาประสานหมัด

 

“ท่านจะยกยอข้าเกินไปแล้ว เทียบกับตระกูลฉินแห่งแปดตระกูล ข้าจะนับว่าเป็นผู้ใดกัน?”

 

ฉินยู่ชางตกตะลึง ฉินจิวหยางดูสนอกสนใจ

 

“ข้ามาจากตระกูลฉินแห่งแปดตระกูลจริงๆ น้องหิมะทมิฬความรู้กว้างขวางนัก”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“ยอดฝีมือกึ่งเทพสกุลฉิน นอกจากแปดตระกูลแล้วข้าก็ไม่คิดว่าจะมีขุมกำลังใดบ่มเพาะผู้มากพรสวรรค์เช่นนี้ได้”

 

ซือหยูนั้นตกใจเล็กน้อย เขากำลังเดินทางอยู่กับหนึ่งในแปดตระกูล เขาประหลาดใจอยู่บ้าง

 

ฉินจิวหยางไม่สนใจในเรื่องนี้ เขาหัวเราะอย่างสบายใจ

 

“ข้าหวังว่าเราจะเกื้อกูลกันในกระโจมเทพสวรรค์”

 

“ท่านฉินต่างหากที่ควรจะชี้แนะสนับสนุนข้า”

 

ซือหยูพูดอย่างนอบน้อมและหลับตา

 

ฉินจิวหยางยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ

 

“พี่จิวหยางจะหยุดข้าทำไมกัน? คนคนนั้นถือว่าทุกคนมิควรค่าแก่การสนใจ เหตุใดต้องดีกับเขาเช่นนั้น?”

 

ฉินยู่ชางแอบถามเพราะความไม่พอใจ

 

ฉินจิวหยางตอบอย่างเรียบเฉย

 

“อย่าตัดสินผู้คนจากภายนอก ถ้าเจ้าประมาทเขา เจ้าก็จะทุกข์ทนมานในท้ายสุด! ชายผู้นี้ถูกเลือกโดยผู้เฒ่าจิวเพื่อให้ทำภารกิจ เขาจะต้องมีพลังอยู่แล้ว ช่างโง่เขลานักที่เจ้าจะไปยั่วยุเขาโดยไร้เหตุผล! แล้วจากสัญชาตญาณข้า ถึงเจ้าจะมีฐานพลังเหนือกว่า ถ้าเจ้าได้สู้กับเขา เจ้าก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

 

ฉิงยู่ชางหัวเราะอย่างขมขื่น

 

“พี่จิวหยาง มิใช่ว่าท่านกำลังข่มตัวเองแล้วอุ้มชูคนนอกอยู่งั้นรึ? ถึงข้าจะโง่เขลา ข้าก็ฝึกฝนมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่เล็ก ข้าต่อสู้เอาชีวิตมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าข้าจะอ่อนแอเพียงใด ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะเอาไปเทียบกับคนธรรมดาได้”

 

ฉินจิวหยางขมวดคิ้วและไม่คิดจะพูดอะไรต่อกับศิษย์น้องในตระกูล ฉินจิวหยางรู้ดีว่าฉินยู่ชางมีพลังเป็นเช่นใด นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครในตระกูลฉินที่จะเทียบได้

 

แม้ว่าฉินยู่ชางจะเป็นราชามนุษย์ เขาก็ได้ต่อสู้กับกึ่งเทพและรับได้หลายกระบวนท่า ไม่มีราชามนุษย์คนใดในตระกูลที่จะเทียบในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไร้มารยาทเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ได้รับแสงอันยิ่งใหญ่ชี้นำทาง เขาก็จะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใด ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นการพูดคุยที่ไร้สาระ

 

ไม่กี่วันผ่านไป

 

เมฆาขาวแล่นผ่านดินแดนหลาล้านลี้และมาถึงภูเขาอันรกร้างที่กลางทวีป ภูเขานั้นสูงชัดและเอียงไปที่ข้างหนึ่งราวกับจะถล่มได้ตลอดเวลา

 

ชั้นเมฆษขาวล้อมรอบครึ่งทางของภูเขา ถ้ามีคนมองลงไปก็จะพบว่าเขาอยู่บนเชิงเขาที่สูงหมื่นศอก

 

ในตอนนั้น เหล่าวิหคประหลาดร่างใหญ่บินผ่าน กังต้าเหล่ยที่กำลังบ่มเพาะพลังสัมผัสได้และลืมตาขึ้น

 

“พวกเราถึงแล้ว บัดซบ ก้นข้าชาไปหมดแล้ว”

 

ทั้งกลุ่มกระโดดลง กังต้าเหล่ยแบกชายแก่ขี้เมาลงและโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ!

 

“อ๊ะ! ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

 

ชายแก่ร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกมึนเมาหายไปโดยสมบูรณ์ และอ้าปากตะคอกกังต้าเหล่ย

 

กังต้าเหล่ยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“ไอ้แก่ หยุดพูดซะ ใช้เวทย์พาพวกข้าเข้าไปเร็วๆ”

 

ชายแก่จ้อมองกังต้าเหล่ยอย่างดุร้ายขณะลูบก้นที่ช้ำ เขาใช้มือเดียววาดความว่างเปล่าตรงหน้า

 

พื้นที่ว่างที่ไม่มีอะไรเกิดการผันผวน ประตูทองที่มียันต์มากมายปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ประตูนั้นมีพลังจากยุคโบราณ ความรู้สึกจากในยุคอดีตสัมผัสได้ผ่านประตูบานนี้

 

ชายแก่ขี้เมาสีหน้าจริงจัง

 

“ข้าจะเปิดประตูได้แค่ห้าลมหายใจเท่านั้น พวกเจ้าสี่คนจะต้องรีบเข้าไป”

 

ซือหยูตกตะลึง พลังของขอบเขตภูติเปิดประตูนี้ได้แค่ห้าลมหายใจงั้นรึ? ชายแก่วางน้ำเต้าเหล้าด้วยสีหน้าจริงจัง คลื่นพลังชีวิตอันมหาศาลพุ่งออกมาจากร่างกาย มันกลายเป็นมือคู่ยักษ์ที่ผลักประตูทองคำข้างหน้าให้เปิดออก

 

เอี๊ยด—

 

ประตูทองคำเปิดเล็กน้อย คลื่นพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกสามเท่าพัดเข้าใส่ทุกคน

 

“เข้าไปเร็ว!”

 

เมื่อประตูเปิด แค่คนเดียวเข้าไปก็ทำให้หน้าของชายแก่ขี้เมาแดงก่ำ เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะทำให้ประตูเปิดอยู่ได้ สีหน้าของอีกสี่คนเยือกเย็นลง ทั้งหมดเข้าประตูในพริบตา สุดท้ายชายแก่ก็ตามเข้าไปเช่นกัน

 

พลังชีวิตที่ทำให้ประตูเปิดหายไปแล้ว ประตูทองคำปิดเสียงดังและไม่เหลือสิ่งใดอยู่อีกหลังจากนั้น ซือหยูรู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ใต้ขาก่อนจะร่วงไปยังพื้นอันเยือกเย็น

 

เขาลืมตามองและเห็นพื้นที่สี่เหลี่ยมทองแดง! ทุกด้านนั้นจะมีรูปปั้นรูปร่างแตกต่างกัน แต่ละรูปปั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่อายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี และยังมีสาวน้อยอายุสี่สิบอยู่ด้วย!

 

รูปปั้นทั้งหมดปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับราชามนุษย์ และหลายรูปปั้นยังมีพลังเหนือกว่าราชามนุษย์ และยังมีพลังขอบเขตภูติอ่อนๆอยู่! และไม่ผิดแน่ เด็กสาวอายุสิบสี่คือคนที่สำเร็จขอบเขตภูติ

 

ซือหยูตกตะลึง เขามองดูรูปปั้นนับร้อย

 

“รูปปั้นพวกนี้คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์กระโจมเทพสวรรค์ ทุกรูปปั้นจะเป็นตัวแทนของยอดฝีมือในแต่ละยุคสมัย”

 

ซือหยูมองรูปปั้นสาวน้อยอายุสิบสี่อย่างไม่เชื่อสายตา

 

“ท่านผู้เฒ่าจิว เด็กสาวอายุสิบสี่ผู้นี้อยู่ในยุคใดกัน?”

 

ชายแก่มองรูปปั้นเด็กสาวและมิอาจปิดบังความตกใจเอาไว้ได้ เขาตอบ

 

“นางคือยอดฝีมือจากยุคที่แล้ว”

 

“เช่นนั้นแล้ว ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินว่าทวีปเฉินหลงมีหญิงสาวมากพรสวรรค์เช่นนี้อยู่เล่า?”

 

ซือหยูถามด้วยความไม่เข้าใจ

 

อีกสามคนที่เหลือก็มิอาจเชื่อเช่นกัน รูปปั้นสาวน้อยตรงหน้านั้นสำเร็จขอบเขตภูติเมื่ออายุสิบสี่ปี! พรสวรรค์น่ากลัวเพียงใดกันถึงจะพานางมาได้ถึงขั้นนี้?

 

“ใครบอกเจ้าว่านางเป็นคนจากทวีปเฉินหลง?”

 

ชายแก่ย่นคิ้วถามกลับ

 

อะไรนะ? ซือหยูกับคนที่เหลือตกใจ ถ้านางไม่ใช่คนจากทวีปเฉินหลง….นางก็มาจากจิวโจวรึ?

 

“นั่นแหละ อย่างที่พวกเจ้าเดา กระโจมเทพสวรรค์ไม่ได้เป็นของทวีปเฉินหลงแต่เพียงอย่างเดียว นี่เป็นสมบัติของจิวโจว! ทุกหมื่นปีจะมีส่วนเล็กน้อยที่มาถึงทวีปเฉินหลง ด้วยความโชคดีนี้ พวกเราจึงได้โอกาสจะใช้สมบัติจากจิวโจว!”

 

“กระโจมเทพสวรรค์จะไปยังจิวโจวหลายร้อยครั้ง แต่ก็มายังทวีปเฉินหลงแค่สองครั้ง!”

 

ชายแก่บอกความลับสุดยอดที่ไม่มีใครได้รับรู้มาก่อนเลย

 

ชายแก่พูดต่อ

 

“ในทวีปเฉินหลงแห่งนี้ เพราะมีการกั้นขวางของจักรวาลจึงไม่มีใครทะลวงขอบเขตภูติได้ กระโจมเทพสวรรค์คือโอกาสเดียวของพวกเจ้า! ราชาแห่งความมืดที่พวกเจ้ารู้จักกับราชาโลกดับสูญคนแรกก็สำเร็จขอบเขตภูติในกระโจมเทพสวรรค์ นอกจากนั้น ตลอดหลายยุคที่ผ่านมาก็ไม่มีภูติคนใดเกิดขึ้นอีกในทวีปเฉินหลง พวกเจ้าควรจะเข้าใจด้วยว่ากระโจมเทพสวรรค์ยิ่งใหญ่แค่ไหน”

 

หลายคนที่อยู่ที่นี่เริ่มหายใจแรงอย่างตื่นเต้น นี่คือโอกาสเดียวที่จะได้เป็นภูติ!

 

ไม่นานซือหยูก็ถามอย่างจริงจัง

 

“ท่านผู้เฒ่า ถ้าเช่นนั้น พวกเราจะต้องได้เจอกับยอดฝีมือจากจิวโจวใช่สินะ! พวกนั้นแข็งแกร่งเท่าใดกัน? ทุกคนเป็นภูติงั้นรึ?”

 

ชายแก่ขี้เมาหัวเราะ

 

“ถามได้ดี! มีเงื่อนไขสูงนักในการเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์ ประการแรก คนที่เข้ามาจะต้องอายุไม่มากไปกว่ายี่สิบห้าปี อย่างที่สองคือจะต้องมีฐานพลังที่ไม่ถึงขอบเขตภูติ หากฐานพลังเกินเมื่อใดก็จะถูกขับออกมา ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้เจอกับคนในขอบเขตภูติที่นี่”

 

เมื่อทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายแก่ก็หัวเราะออกมา

 

“แต่ในรูปปั้นนับร้อยพวกนี้ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดปกติ…ก็ไม่มีใครในยุคนี้จากทวีปเฉินหลงที่จะเอาชนะได้”

 

ทุกคนชักสีหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น ฉินยู่ชางไม่พอใจอย่างมาก ฉินจิวหยางกับกังต้าเหล่ยเริ่มครุ่นคิด ส่วนซือหยูนั้นกำลังจ้องมองเหล่ารูปปั้น

 

ทุกคนคือยอดฝีมือสูงสุดที่ได้มาถึงกระโจมเทพสวรรค์! พลังของคนเหล่านั้นไปถึงระดับที่น่ากลัวถึงขีดสุด และก็เทียบไม่ได้กับกึ่งเทพทั่วไป ท ี่ชายแก่พูดมาจะต้องไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน

 

ในตอนนั้นเอง ที่พื้นที่ด้านตรงข้ามได้เปิดออก คนเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขาคือเจ็ดจ้าวแห่งความมืด!

 

ซือหยูสายตาเคร่งเครียด เขามองคนแรกกับคนที่สอง! ไป่ลั่วและเฉินยิ่ง!

 

ไป่ลั่วสวมชุดสีเขียว เขาดูทรงปัญญาและรูปงาม พลังจากทั้งร่างถูกปกปิดเอาไว้ เขาดูราวกับคนธรรมดา

 

ส่วนเฉินยิ่ง ชุดสีแดงของเขาปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมาทันทีที่ปรากฏตัว เขาทำให้คนอื่นรู้สึกประหลาดเมื่อได้เห็น