เล่มที่ 12 เล่มที่ 12 ตอนที่ 338 สัตว์เทพโบราณ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ระบบถอนพิษได้แสดงข้อมูลออกมาแล้ว สมุนไพรที่พวกเขาต้องการทั้งหมดอยู่ตรงหน้า

ทว่าเบื้องหน้านั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็ไม่อาจละสายตาได้

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์!!!

เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในแดนต้องห้ามของสกุลจง

แม้ตอนที่เดินเข้ามาภายในถ้ำ ซูจิ่นซีจะคาดเดาได้แล้วว่าภายในแดนต้องห้ามนั้น มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เดียวกับสิ่งของที่พวกเขาต้องการ ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ทำให้ซูจิ่นซีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

สัตว์ตัวใหญ่มหึมาเบื้องหน้า อยู่ห่างจากทางเข้าไปยังลานโล่งภายในถ้ำไม่ไกลนัก

มองครั้งแรกเหมือนสิงโต ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดกลับไม่ใช่ ส่วนหัวเหมือนมังกร มีเขาคล้ายเขากวางงอกออกมา หลังเหมือนเสือ เอวเหมือนหมี บนลำตัวมีเกล็ดคล้ายเกล็ดงู บั้นท้ายมีหางงอกออกมาคล้ายหางวัว กีบเท้าเหมือนกีบเท้าม้า ทั้งหนาและบึกบึน

รูปร่างเช่นนี้ เหตุใดถึงคุ้นตานัก? เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ทว่าซูจิ่นซีคิดไม่ออกว่ามันเรียกว่าอะไร

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็พลันนึกขึ้นได้ ในสมองปรากฏคำสองคำ

กิเลน!

นี่คือกิเลน หนึ่งในสิบสัตว์เทพโบราณในตำนานไม่ใช่หรือ?

รูปร่างเหมือนบนหยกกิเลนไม่มีผิดเพี้ยน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีเห็นเพียงภาพวาดของกิเลนหรือเห็นจากภาพยนตร์และละครเท่านั้น ไม่เคยเห็นกิเลนตัวจริง เมื่อเห็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร

ตามตำนานเล่าว่ากิเลนดุร้ายมาก ทั้งต่อสู้อย่างทรหด กิเลนเคยเป็นสัตว์พาหนะของเจียงจื่อหยา มหาอำมาตย์แห่งจักรพรรดิโจวอู่ปลายราชวงศ์ซัง เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจียงจื่อหยา

ดูท่าทางของกิเลนตัวนี้ นางกับเยี่ยโยวเหยาเดินมาถึงทางเข้าแล้ว มันยังนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน คงกำลังนอนหลับอยู่ ซูจิ่นซีสงบนิ่ง หากทำให้มันตื่น คนไม่รู้วรยุทธ์อย่างนางคงต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเป็นแน่

เมื่อหันไปมองเยี่ยโยวเหยา ตอนที่เขาเห็นว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือกิเลน สีหน้าเขาดูไม่สู้ดีนัก เห็นได้ชัดว่าเขาเองยังไม่มั่นใจว่าจะสู้ชนะมันหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินผ่านกิเลนตัวนี้ไป หากทำเช่นนั้นคงยากที่จะไม่ทำให้มันตื่น ทำอย่างไรดี?

ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง ดวงตาเยี่ยโยวเหยาฉายแววเคร่งขรึม ใบหน้าสงบนิ่ง เขาค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากเอวและกำไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมมาโอบเอวซูจิ่นซีไว้แน่นเช่นกัน

ซูจิ่นซีตอบสนองโดยการโอบเอวเยี่ยโยวเหยากลับทันที

เยี่ยโยวเหยาคิดจะใช้วิชาตัวเบาพาซูจิ่นซีเหาะข้ามไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อสกุลจงให้กิเลนเป็นผู้อารักขาสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าต้องมีวิธีรับมือกับผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ดังนั้นพวกเขามีเวลาไม่มาก ต้องกระทำการอย่างฉับไว รีบนำเมล็ดพันธุ์สมุนไพรมาให้เร็วที่สุด

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเหาะขึ้นไปกลางอากาศ ข้ามสัตว์เทพกิเลนอย่างเงียบงันที่สุด จนมาถึงสระมรกต

ร่างของทั้งสองลอยลงต่ำ แทบติดกับสมุนไพร

ซูจิ่นซีหยิบถุงแพรในมือออกมาเก็บเมล็ดพันธุ์สมุนไพรอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนักก็เก็บเมล็ดพันธุ์ได้เต็มถุงแพร ซูจิ่นซีหันไปพยักหน้าให้เยี่ยโยวเหยา ส่งสัญญาณว่ารีบออกไปได้แล้ว

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังทางออก

ทว่าในเวลานี้เอง ที่ปากทางออกพลันมีเสียงคำรามดุดันดังขึ้น ในที่สุดสัตว์เทพกิเลนก็ตื่นขึ้นมาจนได้

ใบหน้าของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

สัตว์เทพกิเลนตื่นขึ้นมาเห็นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากำลังขโมยเมล็ดพันธุ์บนผิวน้ำสระมรกตอยู่นานแล้ว มันส่งเสียงคำรามขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างเย็นยะเยือก จากนั้นใต้เท้าของมันก็ปรากฏเมฆเพลิงที่มีสีเดียวกับรัศมีบนตัว มันเหยียบเมฆเพลิงเหาะมาทางซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา

ขณะเดียวกัน ปากของมันก็พ่นเปลวเพลิงเหมันต์สีน้ำเงินออกมาโจมตีเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี

เยี่ยโยวเหยารีบกวัดแกว่งกระบี่ในมือเพื่อป้องกัน ทว่าอย่างไรเยี่ยโยวเหยาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา กระบี่ในมือของเขาเป็นอาวุธของมนุษย์ เขาจะต้านทานพลังของสัตว์เทพได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงมืออีกข้างหนึ่งที่กำลังปกป้องซูจิ่นซี เขาใช้มือเพียงข้างเดียวในการส่งพลังภายใน เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังได้อย่างสมบูรณ์

ไม่นานนักเยี่ยโยวเหยาก็ไม่สามารถต้านทานได้ เขาโอบซูจิ่นซีและพาถอยออกไป เหาะไปทางริมฝั่งด้านซ้ายของสระมรกตอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เท้าของทั้งสองกำลังแตะพื้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ ทั่วทั้งห้องโถงพลันสั่นสะเทือน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า เปลวไฟที่กิเลนพ่นออกมาไม่ถูกเยี่ยโยวเหยา เขาหลบการโจมตีจากกิเลนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เปลวไฟพุ่งชนกับกำแพง แผ่นผนังครึ่งหนึ่งจึงพังครืนลงมา

เห็นถึงความรุนแรงดุดันของมันแล้ว

ซูจิ่นซีอดหันไปมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ สันหลังของนางพลันเย็นยะเยือก

หลังจากที่พลังเปลวเพลิงของกิเลนถูกพลังของเยี่ยโยวเหยาต้านไว้ ทำให้ความรุนแรงของมันลดลงไปพอสมควร ทว่ายังคงรุนแรงมากเมื่อพลังของมันกระแทกโดนกำแพงหิน หากพลังจากเปลวเพลิงของกิเลนตัวนี้พุ่งชนกำแพงโดยไม่มีสิ่งใดต้าน คงทำให้ผนังถ้ำแห่งนี้พังทลายลงมาเป็นแน่

นอกจากนั้น หากนางกับเยี่ยโยวเหยาถูกเปลวเพลิงโจมตีโดยตรง เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคงสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

ซูจิ่นซีครุ่นคิดพลางขมวดคิ้วเคร่งเครียด

เมื่อสัตว์เทพกิเลนเห็นว่าโจมตีไม่โดนซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา มันก็ไม่โจมตีซ้ำอีก ทำเพียงหันกลับไปที่ตำแหน่งเดิม เฝ้าอยู่ตรงปากทางออก

ซูจิ่นซีมองไปรอบๆ พบว่าถ้ำนี้มีทางออกเพียงทางเดียว หากนางคิดจะออกไป ต้องใช้เส้นทางนี้เท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากพวกเขาต้องการออกไป ต้องกำจัดกิเลนตัวนี้ให้ได้เสียก่อน

เรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!

ด้วยความสามารถของทั้งสองในเวลานี้ จะต้านทานพลังของกิเลนได้อย่างไร?

ซูจิ่นซีอดหันไปมองเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วมุ่นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน

ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ หากเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีไม่ขยับ สัตว์เทพกิเลนก็ไม่ขยับเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งคุมเชิงเช่นนี้อยู่นาน

ซูจิ่นซีมัดถุงแพรที่เก็บเมล็ดพันธุ์สมุนไพรเอาไว้ที่เอว

“เยี่ยโยวเหยา ครั้งนี้หม่อมฉันทำให้ท่านลำบากอีกแล้วเพคะ หากไม่มีหม่อมฉัน บางทีท่านเพียงลำพังคงฝ่าออกไปได้ อาจมีทางรอด”

แววตาเยี่ยโยวเหยายังคงเคร่งขรึม สีหน้ายังคงเย็นชา เขามองซูจิ่นซีโดยไม่พูดอันใด

ซูจิ่นซีปัดเศษสมุนไพรที่ติดมาขณะเข้าไปเก็บเมล็ดพันธุ์ “ทว่าไม่เป็นไร หากหลังจากนี้พวกเราต้านทานไม่ไหว ท่านอ๋องก็ไม่ต้องสนใจหม่อมฉัน แล้วหนีออกไปก่อนเถิด! อย่างไรเสีย ชีวิตของหม่อมฉันก็ไม่มีค่าอันใด หม่อมฉันอยู่บนโลกใบนี้ ไร้ญาติสนิท ไร้สหาย แม้ตายไปก็เป็นเพียงเศษผงธุลีไร้ค่า ทว่าท่านอ๋องไม่เหมือนกัน หน้าที่รับผิดชอบของท่านอ๋องใหญ่หลวงนัก ยังมีอีกหลายคนที่คาดหวังให้ท่านทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ถึงเวลานั้น หากท่านอ๋องสมปรารถนาแล้ว อย่าลืมสร้างสุสานวางป้ายหลุมฝังศพให้หม่อมฉันบนภูเขาสักแห่ง ไม่ต้องจัดพิธีเซ่นไหว้ประจำปีให้เสียเวลา เพียงเผากระดาษเงินกระดาษทองให้หม่อมฉันก็พอแล้วเพคะ เพื่อให้รู้ว่าหม่อมฉันเคยปรากฏอยู่บนโลกใบนี้”

ซูจิ่นซีพูดจบ บรรยากาศโดยรอบพลันแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งจนเงียบสงัด กระทั่งการเคลื่อนไหวของกิเลนก็ไม่ได้ยิน ทั้งยังมีบรรยากาศหนาวเหน็บแทรกเข้ามาอีกด้วย

ซูจิ่นซีรู้ดีว่าคำพูดของตนช่างเย็นชา จึงตั้งใจส่งยิ้มให้ บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น “ความจริงแล้ว หม่อมฉันเพียงกลัวว่า หากหม่อมฉันตายไปแล้วจะไม่มีป้ายและหลุมฝังศพ ไม่มีใครเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้จนไม่มีเงินใช้ในชาติหน้า เยี่ยโยวเหยา แม้ระหว่างเราสองคนจะมีฐานะเป็นสามีภรรยากัน ทว่าไม่ได้รักใคร่ต่อกัน อย่างไรก็ตาม พวกเรายังนับว่ามีวาสนาต่อกันใช่หรือไม่? เรื่องสร้างสุสานให้หม่อมฉัน สำหรับโยวอ๋องแล้วคงไม่ยากเกินไปกระมัง! ท่านคงไม่ใช่คนใจแคบใช่หรือไม่”