ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 27 ห่วงฟ้าขอสมุทร (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีลงจากก้อนเมฆมา เห็นทุกคนในห้องโถงกลางมาออกันอยู่หน้าประตู พอเห็นนางลงมาก็พากันหลบถอยหลังไป ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม พวกเขาถึงกับท่าทางเก้กัง ก้มหน้าก้มตาหลบสายตานาง ในใจนางรู้สึกเสียใจ ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น ฉู่เหล่ยรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?! เจ้าขับไล่เทพสวรรค์กลับไปแล้ว?” 

 

 

เดิมนางคิดเล่าตามจริง แต่พลันคิดได้ว่าความจริงนี้เกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่ตกใจมากกว่า ในสายตาพวกเขา มนุษย์ไม่อาจเป็นปรปักษ์กับเบื้องบนตลอดไป นางไม่เพียงขัดราชโองการ ยังขับไล่เทพที่นำราชโองการมากลับไป เป็นการกระทำที่เหิมเกริมยิ่งนัก ดังนั้นวาจาที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า “…ก็ไม่มีอะไร เทพสวรรค์ลงมาตรวจตราเท่านั้น…” 

 

 

ฉู่เหล่ยเห็นชัดว่าไม่เชื่อ แต่นางปิดปากแน่น เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ขณะกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น ก็เห็นจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงวิ่งมาอย่างแตกตื่นตกใจ ไม่ทันพักหายใจก็รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนกำลังอยู่ในฉากหวานใต้แสงเทียนในห้องหอ ต้องมาเจอสถานการณ์เทพสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์เช่นนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ ช่างทำลายบรรยากาศยิ่ง 

 

 

เสวียนจีอดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “ไม่มีอะไร! เรื่องขี้ปะติ๋ว…เล็กน้อยเท่านั้น” 

 

 

แน่นอนนี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก และเป็นภัยหายนะอย่างที่สุด นางเองก็ไม่รู้ว่าหลังไล่เทพสวรรค์นั่นกลับไป ราชันสวรรค์จะกริ้วหนักหรือไม่ จะส่งกองทัพขุนพลสวรรค์มาจับตัวนางไหม คืนนี้คงต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแล้ว 

 

 

นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหงื่อท่วมแผ่นหลัง พลันอดคิดจะเหินกระบี่ขึ้นไปเฝ้าอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้ มาหนึ่งสังหารหนึ่ง ครู่หนึ่งแทบอยากจะให้เวลาย้อนกลับ นางจะยอมตามเทพสวรรค์นั่นกลับไปสวรรค์แต่โดยดี จะได้ไม่ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เดือดร้อนไปด้วย คืนนี้เมฆดำปกคลุม ไม่มีแสงจันทร์ ในห้องมืดสนิท ความคิดนี้ทำให้คนแทบหยุดหายใจ นางกัดนิ้วมือไว้แน่น ไร้สิ้นหนทาง 

 

 

อยู่ๆ มีคนมาเคาะกรอบหน้าต่างเบาๆ เสียงเบาเช่นนี้ แต่ในหูนางกลับได้ยินราวเสียงอสุนีบาต นางโดดผึงลงจากเตียงทันที คว้ากระบี่เปิงอวี้ ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใจเต้นแรงแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ ข้างนอกมีเสียงคนผู้นั้นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี เจ้านอนแล้วหรือ” เป็นเสียงอวี่ซือเฟิ่ง 

 

 

พอนางได้ยินว่าเป็นเขาก็ผ่อนความตึงเครียดในร่างกายลงหมดสิ้น อยู่ๆ พลันอ่อนยวบลง พยายามฝืนเดินไปผลักหน้าต่างออก ไม่รอให้เข้าโดดเข้ามา ก็โผเข้าหาอ้อมกอดเขาทันที น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! ซือเฟิ่ง!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกอดนางแน่น พลิกฝ่ามือไปปิดหน้าต่าง อุ้มนางไปที่เตียง ประคองใบหน้านางไว้ รู้สึกเพียงแค่หน้าผากนางเต็มไปด้วยเหงื่อ เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แดนสวรรค์เกิดเรื่องหรือ ข้าว่ายักษ์เกราะทองคำที่มาวันนี้คือขุนนางถ่ายทอดคำสั่ง น่าจะมาถ่ายทอดราชโองการ เบื้องบนมีราชโองการอะไร” 

 

 

เสวียนจีสับสนในใจ ไม่รู้กล่าวอย่างไร เป็นนานจึงได้ตะกุกตะกักเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา พอเล่าจบ ก็อดสะอื้นไห้ไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ทำอย่างไรดี? ซือเฟิ่ง! ข้า ข้าวู่วามขับไล่เขากลับไป! พวกเขา…พวกเขาจะยกกำลังมาจับข้า? ครอบครัวข้า…จะมีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดไปด้วยไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกดศีรษะนางลงในอ้อมอกแน่น กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่หรอก อย่าคิดมาก เบื้องบนไม่อาจลงโทษมนุษย์ธรรมดาโดยไร้เหตุผล เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสำนักเส้าหยาง” 

 

 

เสวียนจีแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายที ก่อนลมหายใจสั่นเทาจะเริ่มสงบลง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ดูท่า หลังฤดูใบไม้ร่วงคงมาคิดบัญชี แม้แต่ถิงหนูก็ไม่ปล่อยไว้ หรือว่าอู๋จือฉีออกมาแล้ว” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้า…ไม่แน่ใจ อู๋จือฉียังอยู่แดนปรภพไม่ใช่หรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด ไม่รู้คิดอะไรอยู่ เสวียนจีเองก็รู้ไม่ควรพูดอะไร อิงแอบในอ้อมกอดเขา ฟังหัวใจเต้นมีจังหวะหนักแน่นของเขา ราวกับเป็นการปลอบประโลมใจที่ดีที่สุด เป็นนานอยู่ๆ เขาถามว่า “เสวียนจี เรื่องชาติก่อน เจ้ายังพอจำได้ไหม” 

 

 

นางตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ตามมาด้วยส่ายหน้า สุดท้ายกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “บางครั้งก็ชัด ไม่ต้องนึกก็รู้ที่มาที่ไปหมด แต่บางครั้งรู้สึกเรื่องทั้งหมดเหมือนไม่คุ้นเคย ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า…บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร หากข้าไม่ไปนึก มันก็จะเก็บซ่อนอยู่ภายใน ราวกับแต่ไรมาไม่เคยมีมาก่อน แต่พอนึกถึง มันก็จะปิดกั้นไม่อยู่…ความรู้สึกนั่น…เหมือน…เหมือน…” 

 

 

เหมือนน้ำทะลักยามเขื่อนแตก ทะลักกระแทกเข้าใส่ ไม่ว่าจะปิดกั้นอย่างไรก็ไม่อยู่ ชะล้างความทรงจำครึ่งชีวิตนางไปหมดสิ้น นางราวกับไม่ใช่นาง ไม่รู้เป็นผู้ใด ความรู้สึกเหมือนจะปะทุ สับสนไม่อาจระงับ เหมือนว่ามีคมดาบเยียบเย็นคมกริบซ่อนอยู่ในร่างกาย ดังนั้นนางจึงไม่อยากนึกถึง แสร้งทำไม่สนใจ เอาแต่บอกตนเองนั่นคือชาติก่อน นั่นไม่ใช่นาง ฉู่เสวียนจี พวกนั้นล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับนาง 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกุมบ่านางไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าจำได้ไหม ตอนแรกเหตุใดอยู่ๆ เจ้าจึงได้ทำความผิดถูกให้ลงมาผ่านเคราะห์กรรม?” 

 

 

เสวียนจีพยายามนึกอยู่นาน สุดท้ายส่ายหน้า “ไม่…ข้าจำไม่ได้ แปลกมาก มีบางอย่างนึกขึ้นมาได้ มีบางอย่างนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบกล่าวว่า “ข้าเดาว่าเรื่องใหญ่น่าจะเกี่ยวกับการที่เจ้าทำผิดโดนโทษลงมา เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกมหาเทพโฮ่วถู่รอให้เจ้าไปสังหารอู๋จือฉีมาตลอดหรือ ให้เจ้าจัดการเหตุต้นผลกรรมให้เรียบร้อย แต่เจ้ากลับฝืนลิขิตสวรรค์ ไม่รู้เกิดผลภายหลังร้ายแรงเช่นไร ดังนั้นจึงได้มีบัญชามาจับตัวเจ้า” 

 

 

เสวียนจีตามองโตจ้องมองเขาตาแป๋ว ราวกับพยายามนึกย้อนกลับไป แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก อวี่ซือเฟิ่งลูบผมนาง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องไปนึกแล้ว ยังไม่ถึงเวลา แม้ครั้งนี้เจ้าขัดราชโองการ แต่เบื้องบนก็คงไม่ได้มาจับเจ้าเร็วขนาดนั้นหรอก นับประสาอันใดกับมกรอยู่ข้างบน…” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าเอ่ยชื่อนี้อีก! ข้ายอมคิดเสียว่าแต่ไรมาไม่เคยรู้จักคนแล้งน้ำใจเช่นนั้น!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งแอบอึ้งไป ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “เขาไม่ใช่คนเช่นนี้ เจ้าควรรู้ดีกว่าข้า” 

 

 

เสวียนจีท่าทางน้อยใจ นึกถึงมกรอยู่ๆ ไม่พูดไม่จาก็คิดกลับสวรรค์ไปรับผิดเอง ทิ้งนางไว้ไม่สนใจ แม้แต่คำเตือนก็ไม่มี คิดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ก็ไม่รู้ทำไมพอนึกถึงว่าสองปีมานี้เขาขึ้นเข้าลงห้วยออกตามหาอวี่ซือเฟิ่งไปพร้อมกับนางโดยไม่บ่นสักนิด ตอนนางไร้หนทาง ก็มีแต่เขาเป็นเพื่อนนาง พอนึกถึงก็รู้สึกแค้นใจขึ้นมาอีก 

 

 

เป็นนานกว่านางจะถอนใจกล่าวว่า “เอาเถอะ…ไม่ว่าเขาเป็นคนเช่นไร…อย่างไรเขาก็ไปแล้ว…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันนึกถึงเมื่อครึ่งปีก่อนในเย็นวันที่เมฆสีแดงเพลิงวันนั้น สีหน้ามกรซีดขาวราวหิมะ ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกเป็นการเป็นงานเช่นนี้ เข้าประตูมาประโยคแรกที่ว่าก็คือ “ข้าต้องไปแล้ว” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดว่าเขาคิดออกไปหาอะไรกิน ได้แต่พยักหน้าตามใจ ผู้ใดจะรู้ว่ามกรกล่าวอีกว่า “วันหน้าได้เจอกันอีกหรือไม่ก็ขึ้นกับลิขิตฟ้าแล้ว รักษาตัวให้ดีนะ” 

 

 

ตอนนั้นเขาเริ่มรู้สึกถึงอะไรได้บางอย่าง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าจะไปไหน” 

 

 

มกรทำท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “เบื้องบนจะเกิดเรื่อง ข้าต้องกลับไปสักครา เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะนานเท่าไร พวกเจ้าอย่ายุ่งกับข้า” 

 

 

ตอนนั้นอวี่ซือเฟิ่งก็ไม่รู้เขาหมายถึงอะไร คิดว่าเขาแอบลงมาโดนคนจับได้ เขาไม่ชอบให้คนอื่นยุ่งเรื่องส่วนตัว จึงได้แต่พยักหน้ากล่าวว่า “เรื่องถึงขั้นร้ายแรงแล้วหรือ?” 

 

 

ตอนนั้นมกรต้องลังเลคิดเล่าออกมา แต่ไม่รู้ทำไม เขาไม่เล่า กล่าวเพียงว่า “นายท่านโมโหแล้ว น่าจะหนักมาก” ต่อมาเสวียนจีก็ออกมา เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก และต่อมา เขาก็ดึงดันจากไป ทำเอาเสวียนจีโมโหร้องไห้หนักอยู่พักหนึ่ง 

 

 

ตอนนี้นึกย้อนกลับไป ในที่สุดเขาก็พอคาดเดาอะไรได้ลางๆ ตอนนั้นมกรต้องรู้ก่อนแล้วว่าเบื้องบนจะส่งคนมาจับเสวียนจี ตอนเขาจากเสวียนจีไปหาอะไรกินในหมู่บ้านสามวันนั้นต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในสามวันนั้นแน่นอน คิดแล้วเขาต้องเจอกับคนนำความมาบอก คิดว่าเรื่องนี้ตนเองจัดการได้ จึงไม่บอกไม่กล่าวแล้วก็กลับไปเอง ผู้ใดจะรู้ว่าผลปรากฏกลายเป็นคนสมรู้ร่วมคิดจนถูกจับไปด้วย ยักษ์เกราะทองคำที่มาถ่ายทอดราชโองการจงใจเอ่ยถึงมกร คงเพื่อต้องการยั่วยุเสวียนจี ปรากฏนางโมโหจนถึงกับขัดราชโองการ เบื้องบนคงคิดไม่ถึงว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ 

 

 

“เสวียนจีหลับแล้วหรือ” อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าเรียกดรุณีน้อยในอ้อมกอดเบาๆ เป็นนานนางก็ไม่กล่าวอันใด ลมหายใจเริ่มเบาลง ราวกับหลับไปแล้ว พอเขาเรียกขึ้นเสียงหนึ่งก็ลืมตาผึงขึ้นทันที ท่าทำทางเหมือนตื่นอยู่แต่ก็สะลึมสะลือเต็มทน เสียงดังกล่าวว่า “ยังไม่หลับ!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอดหัวเราะไม่ได้ ยีจมูกนางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไปนอนก่อน พวกเราเตรียมตัวไปกันเถอะ” 

 

 

เสวียนจีขยี้ตา งึมงำถามว่า “ไปไหน” แปลกมาก เมื่อครู่นางอยู่คนเดียวอย่างไรก็ไม่หลับ พออวี่ซือเฟิ่งมานางก็รู้สึกผ่อนคลาย เจ้าหนอนง่วงนอนก็กระดึ๊บออกมากันเต็มไปหมด รู้สึกเพียงแค่หนังตาหนักอยากนอน ง่วงนอนมาก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคลุมเสื้อตัวนอกให้นาง ค่อยๆ จัดผมให้เรียบร้อย ก่อนจะกอดอุ้มขึ้น กล่าวว่า “พวกเราต้องไปจากสำนักเส้าหยาง ตอนนี้คนที่เบื้องบนต้องการจับตัวก็คือเจ้า เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว พวกเขาจะได้ไม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย” 

 

 

เสวียนจีพลันได้สติ หนอนง่วงนอนพลันมหลายหายไปสิ้น ดิ้นรนกระโดดลงพื้น รีบเก็บของอาศัยจังหวะกลางคืนดึกดื่นนี้ แอบหนีไปจากเส้าหยางอีกครั้ง นางรู้สึกตนเองราวกับพวกย่องเบา ทุกครั้งต้องมาเงียบๆ แล้วก็ไป ไม่ทันได้ทักทายบอกกล่าวสักคำ 

 

 

เดินตรงลงจากเขามาได้ นางหันกลับไปมองเส้าหยางสูงเสียดฟ้าในความมืดอย่างอาลัยอาวรณ์ พึมพำเบาๆ ว่า “มาได้แค่ไม่ถึงวัน หลิงหลงเพิ่งแต่งงาน พรุ่งนี้พวกเขาหาพวกเราไม่เจอ คงเสียใจมาก…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งโอบกอดไหล่นางไว้ กล่าวว่า “วันหน้าหากมีโอกาส…ค่อยกลับมา” 

 

 

หากมีโอกาส…พวกเขายังมีโอกาสจริงหรือ ทั้งสองล้วนไม่รู้คำตอบ 

 

 

ตามที่อวี่ซือเฟิ่งว่ามา พยายามเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่านมากๆ เช่นนี้แดนสวรรค์ก็จะไม่สะดวกมาตามจับคนตามอำเภอชอบ อย่างไรเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันถึงมนุษย์ ก็ล้วนยุ่งยากทั้งสิ้น 

 

 

ตอนพวกเขาเข้าพักโรงเตี๊ยมเชิงเขาตอนกลางวัน เสวียนจีอิงแอบในอ้อมกอดเขา ใกล้จะหลับแล้ว ก่อนหลับยังพึมพำว่า “ซือเฟิ่ง…ซือเฟิ่ง ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาจับเจ้าไป…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ ตบแก้มเรียกนางเบาๆ 

 

 

“พวกเราไปเมืองชิ่งหยางหาพี่หลิ่วก่อน หวังเพียงอย่าสายเกินไป” เขากล่าว 

 

 

ผลปรากฏวาจานี้ทำเอาเสวียนจีสะดุ้งตื่น หนอนง่วงนอนหนีหายไปอีกครา พูดอย่างไรก็นอนไม่หลับอีก ทั้งสองได้แต่รีบจ่ายเงินแล้วมุ่งตรงไปเมืองชิ่งหยางอย่างร้อนใจ