119 ทะลวงขั้น นภาชั้นที่สี่

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

 

ในขณะที่กำลังฟัง ‘คำท้วงติง‘ ขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงพระองค์ใหม่นี้ ซูฉินก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาได้เลือกนั้นถูกต้องเพียงใด

 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง การให้อะไรไปมากก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนกลับมามากเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในวัง แต่อันที่จริงเขาคือคนที่สบายที่สุด

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน เดินเตร่ไปรอบๆ ค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่านี่มันช่างแสนจะดีงามหรอกหรือ?

 

“สภาขุนนางต่างเคารพและยำเกรงตัวข้า แต่ในปีนี้กลับมีข้อพิพาทค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแต่ละฝ่าย”

 

เมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดถึงหัวข้อนี้ น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นจริงจังขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะอาณาจักรใดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในฝ่ายต่างๆ ได้ แต่ก่อนหน้านี้จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้กวาดล้างสภาขุนนางเสียใหม่แล้วก่อนที่หลี่เชิงจะขึ้นครองบัลลังก์ จึงทำให้ข้อพิพาทต่างๆ ลดน้อยลงจนแทบไม่มี

 

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากที่มีการจัดการสอบประจำปี ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มขุนนางก็เริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

สิ่งนี้ทำให้องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่เช่นหลี่เชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาอนุญาตให้มีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือผลประโยชน์ของอาณาจักรถังต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

 

เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น ขุนนางบางคนก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของต้าถัง

 

“มีข้อพิพาทกันในแต่ละฝ่าย?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไปว่า “ทำไมถึงทะเลาะกันเล่า?”

 

“มันยากที่จะอธิบาย”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดประโยคถัดมา “เจ้าหน้าที่ของอาณาจักรถังนั้นล้วนมาจากการจัดการสอบโดยราชสำนัก”

 

“การจัดการสอบของราชสำนักดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบเพียงผู้เดียว สิ่งนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าผู้สมัครสอบจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของคนผู้นี้ไปเสีย”

 

“ด้วยวิธีเช่นนี้ ผู้สมัครเหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ภายในสภาขุนนางได้ ก็จะอยู่ฝั่งเดียวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบและจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมา ขับไล่คนนอกออกไป…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงอธิบายที่มาที่ไปของข้อพิพาทภายในไม่กี่คำ

 

ความจริงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้

 

ยกเลิกการสอบของราชสำนักได้หรือไม่เล่า?

 

หรือทุกครั้งที่เกิดเรื่องนี้จะต้องกวาดล้างสภาขุนนางให้สิ้นซากเหมือนที่จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้ทำไป?

 

“พี่สาม ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถูนวดบริเวณหัวคิ้วของตน มองไปยังซูฉินแล้วจึงตั้งคำถาม

 

“ความเห็นของข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เนื่องจากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ทำไมไม่เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบอย่างนั้นหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงสว่างขึ้น แต่ก็มอดดับลงไปในทันที เขาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “การสอบของราชสำนัก มีผู้เข้าสมัครจากทั่วดินแดน ซึ่งตามราชประเพณีที่สืบมาในอาณาจักรถัง หัวหน้าผู้ตรวจสอบจะต้องได้รับเลือกมาจากสภาขุนนางภายในราชสำนักเท่านั้น”

“เพราะมีเพียงข้าราชบริพารที่อยู่ในสภาขุนนางเท่านั้นที่จะโน้มน้าวใจผู้สมัครพวกนั้นได้”

 

“แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครขึ้นมาทำหน้าที่ มันก็จะเกิดการณ์เช่นเดิม ผู้สมัครที่เข้ามาอยู่ในสภาขุนนางก็จะเบนอำนาจไปอีกฝั่ง สร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมา…”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น

 

“เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อผิดไป

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเปลี่ยนเจ้าหน้าที่คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบ”

 

“ไม่ได้เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่งั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

 

“เจ้าสามารถเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเองได้”

 

ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิหลี่เชิง กล่าวคำขึ้นเสียงแผ่วเบา

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงก็สว่างไสวมากยิ่งขึ้น

 

ที่มาของข้อพิพาทในครั้งนี้ก็คือผู้สมัครสอบที่สอบผ่านในปีนี้จะได้รับมอบหมายให้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ถ้าหากทุกสิ่งยังเป็นเช่นนี้จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นภายในสภาขุนนางเป็นแน่

 

แต่ถ้าองค์จักรพรรดิถังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง ผู้สมัครทั้งหมดก็จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิถัง ด้วยวิธีนี้ย่อมเหลือแค่ฝ่ายเดียวภายในสภาขุนนาง

 

ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มที่เกิดขึ้นหมายความว่ามีหลายฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวเล่า พวกเขาจะสู้รบตบมือกันเองไปเพื่ออะไร?

 

ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน จะทะเลาะกันเองทำไม?

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อพิพาทในเรื่องนี้ย่อมหายไปเองตามธรรมชาติ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านได้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าแล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะกลับไปก่อนในวันนี้ แล้วจะมาหาท่านในวันพรุ่งนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รีบกลับไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างกระตือรือร้น

 

ซูฉินมองตามหลังของจักรพรรดิหลี่เชิงที่กำลังเดินจากไป รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางลง

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าจากนั้นจึงเดินกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ในตอนนี้ นอกเหนือจาก ‘ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง‘ ภายในตำหนักชุนฝั่งขวาแล้ว ซูฉินยังก่อตั้งค่ายกลระดับสูงประเภทอื่นๆ อีกหลายชิ้น

 

ความต้องการหลักๆ ในการสร้างค่ายกลเหล่านี้ก็เพื่อระงับกลิ่นอายพลังไม่ให้รั่วไหลออกไป

 

ด้วยวิธีนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระดับของซูฉินจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอก มันช่วยให้ซูฉินไม่ต้องหนีไปซ่อนตัวในทุกๆ ครั้งที่ต้องการจะทะลวงระดับ

 

“เริ่มได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางใช้จิตสั่งการ

 

ฟึ่บ!

 

พลันปรากฏขวดยาหลายร้อยขวด นอกจากนั้นยังมีหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกมากกว่าร้อยหยด

 

หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับร้อยหยดนี้เป็นของที่ได้รับมาจากการสะสมภายในช่วงปีนี้ ซึ่งซูฉินตั้งใจจะใช้มันเพื่อการทะลวงขั้นในวันนี้นั่นเอง

 

ถึงหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินั้นจะมีจำนวนที่น้อยแต่มันกลับให้ผลที่ดีอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะตามปกติหรือในช่วงเวลาสำคัญอย่างขั้นตอนทะลวงระดับ

 

“แล้วก็สิ่งนี้”

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีดวงจิตรู้แจ้งสีทองซีดๆ มีลวดลายอันลึกลับอยู่โดยรอบพื้นผิวสัมผัส

 

สิ่งนี้ก็คือดวงจิตรู้แจ้งพันปี

 

ในช่วงที่ซูฉินฝึกฝนการรับรู้และทำความเข้าใจในพลังฟ้าดิน เขาได้เก็บดวงจิตรู้แจ้งพันปีกลับเข้าไปในคลังเก็บของของระบบ

 

แต่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการทะลวงขั้นนั้น เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องนำดวงจิตรู้แจ้งพันปีออกมาใช้ปกป้องจิตวิญญาณของตนเอง

 

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าด้วยการเตรียมพร้อมที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้จะดีพอจนไม่ต้องใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีเลย แต่การนำออกมาเผื่อไว้ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไร

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ

 

ฟู่ว!

 

ชี่!

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังสูดลมหายใจเข้าไป หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสายน้ำไหลเข้าไปในปากของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน โอสถชนิดอื่นๆ ก็มีชะตาเช่นเดียวกัน ต่างถูกซูฉินดูดกลืนเข้าไปทั้งหมด

 

ทันใดนั้น

 

แก่นแท้แห่งพลังในร่างของซูฉินก็เพิ่มปริมาณขึ้นและโคจรไปทั่วร่าง ไอพลังที่พวยพุ่งออกมาดูน่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากที่นี่ไม่ได้ถูกคลุมไว้ด้วยค่ายกลฟ้าดินจำนวนมาก ป่านนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอันคงสั่นสะเทือนไปแล้ว

ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดรวมไปถึงโอสถชนิดอื่นๆ จำนวนหลายร้อยเม็ด ต่างช่วยให้แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินเพิ่มสูงขึ้นในทันที

 

รู้หรือไม่ว่าแม้หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติจะไม่ได้มีฤทธิ์ที่รุนแรง แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าซูฉินใช้มันไปทีละหยดเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวเขาใช้มากกว่าร้อยหยดภายในพริบตา หากร่างกายซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ในช่วงก่อนหน้าจนเกิด ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการอยู่ยงคงกระพัน ร่างของเขาก็คงจะระเบิดและตายไปแล้ว

 

ตูม!!!

 

เลือดในร่างของซูฉินพลุ่งพล่านเคลื่อนตัวชักนำพลังสวรรค์ให้หมุนตามไปอย่างช้าๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ในตอนนั้นเอง

 

แก่นแท้แห่งพลังที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนจะโคจรไปในทิศทางที่แปลกประหลาด

 

แก่นแท้แห่งพลังที่เปลี่ยนไป ทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า จนเหมือนกับว่าสามารถใช้บดบังโลกนี้ไว้ได้เลยทีเดียว

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

เมื่อแก่นแท้แห่งพลังทั้งหมดในร่างของซูฉินถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

พลังที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกก็เริ่มลดระดับลง ราวกับมันถูกสูบกลับเข้าไปในหลุมและจมนิ่งอยู่แบบนั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินค่อยๆ ขยับเปิดเปลือกตาขึ้น

 

“นี่คือขอบเขตนภาชั้นที่สี่งั้นรึ?”

 

ซูฉินพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตนอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนใบหน้า