บทที่ 71 สืบเหตุขัดแย้ง[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 71 สืบเหตุขัดแย้ง[รีไรท์]

เมื่อเห็นหลิงยู่ชานแสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยม หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าและสั่งให้หลิงยู่ชานกลับไปฝึกฝนต่อ จากนั้นเขาจึงเดินไปที่กระดานหมากและลงเล่นกับหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนต่อ

ในช่วงเวลาเดียวกัน ตอนนี้มี่ไลกำลังเฝ้าดูเหล่าเด็ก ๆ ฝึกฝนในลาน

นางแอบจดจำส่วนสูงและรูปร่างของเด็ก ๆ ทุกคน

เพื่อที่จะเอาใจเด็ก ๆ นางวางแผนไว้ว่านางจะไปสั่งตัดชุดราคาแพงให้กับเด็กเหล่านี้ เพื่อที่จะได้รับคะแนนความนิยมให้เด็ก ๆ ยอมรับนาง

เมื่อนางจดจำทุกอย่างไว้ในหัวของนางเรียบร้อย นางจึงเดินไปหาหลิงว่านถิงที่กำลังแกว่งชิงช้าอยู่ “ว่านถิง พี่สาวกำลังจะออกไปข้างนอก เจ้ามีอะไรที่เจ้าอยากได้ไหม พี่สาวจะได้ซื้อมาให้เจ้า”

ในระหว่างที่นางพูด นางยื่นมือออกไปพยายามที่จะช่วยหลิงว่านถิงแกว่งชิงช้า

“อย่าจับมัน! ให้มันแกว่งไปของมันเอง” หลิงว่านถิงรีบตะโกนหยุดมี่ไล

หลิงว่านถิงไม่ต้องการให้มี่ไลมาแทรกแซงจังหวะการแกว่งของชิงช้า เพราะนางรู้ดีว่าจังหวะการแกว่งนั้นเกี่ยวข้องกับจังหวะการฝึกฝนของนางด้วยเช่นกัน หากมี่ไลพลาดไปขัดจังหวะ นางอาจจะต้องเริ่มจับจังหวะของชิงช้าใหม่อีกรอบ

เมื่อเห็นมี่ไลที่กำลังยืนแข็งค้างจากคำเตือน หลิงว่านถิงจึงเอ่ยถาม “ท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

มี่ไลยิ้มอย่างเก้อเขิน “เอ่อ…คืออย่างนี้…ว่านถิง เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อของเจ้าดูแลพวกเจ้าอย่างดีมาตลอด แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีใครมาคอยดูแลเขาเลย…”

“ท่านกำลังจะพูดว่าท่านอยากจะมาเป็นแม่ของพวกเราใช่ไหม?” หลิงว่านถิงเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน

“ข้าจะไปมีวาสนาถึงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน…” มี่ไลเอ่ยพลางถอนหายใจ

“ถ้าอย่างนั้นท่านต้องการจะเป็น ‘น้า’ ของพวกเรางั้นเหรอ?” หลิงว่านถิงเอ่ยถาม

“เจ้าคิดว่าพี่สาวคนนี้พอจะเป็นได้ไหม?” มี่ไลถามอย่างมีความหวัง

หลิงว่านถิงหลี่ตามองมี่ไลแล้วตอบ “อันที่จริง ท่านไม่จำเป็นต้องมาถามข้าหรอก และข้าก็พูดแทนพี่น้องทุกคนได้เลย ถ้าหากท่านพ่อของเราตกลง พวกเราจะไม่มีทางขัดขวางความสุขของท่านพ่อแน่นอน แต่ข้าขอเตือนท่านเอาไว้อย่าง หากท่านจะมาเป็น ‘ท่านน้า’ ของพวกเรา ท่านจะต้องมีความอดทน!”

ประโยคสุดท้ายที่หลิงว่านถิงเตือนมี่ไลนั่นก็เพราะนางนึกถึงภาพในอดีตอนที่พ่อของนางพาจ้าวเหมิงลู่กลับมาที่เรือน หลังจากอยู่ร่วมชายคาเรือนกันได้เพียงไม่นาน พ่อของนางก็ลงมืออัดจ้าวเหมิงลู่ซะเละตุ้มเป๊ะจนสภาพหน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด

มี่ไลที่กำลังงุนงงกับประโยคสุดท้ายของหลิงว่านถิง นางยืนคิดอยู่นานว่าหลิงว่านถิงหมายถึงอะไร นางเองก็เห็นว่าหลิงตู้ฉิงปฏิบัติกับคนทุกคนเป็นอย่างดี นางเลยไม่เข้าใจที่หลิงว่านถิงบอกให้นางต้องอดทน เมื่อคิดยังไงก็คิดไม่ออกนางจึงละทิ้งความคิดนี้ไว้ชั่วคราว

เมื่อคุยกับหลิงว่านถิงเสร็จมี่ไลจึงเตรียมตัวกลับไปที่ตระกูลของนางเพื่อจัดการโอสถต่าง ๆ ที่หลิงตู้ฉิงบอกว่าให้เอาไปมอบให้พ่อของนาง เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยนางจึงไปแจ้งหลิงตู้ฉิงและออกจากเรือนมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลมี่ทันที

อันที่จริงยังมีเหตุผลอื่นที่นางต้องกลับไปที่คฤหาสน์ของตัวเองคือ นางต้องการเก็บข้าวของส่วนตัวของนางเพื่อย้ายมาอาศัยที่เรือนหลิงอย่างถาวรและเตรียมของกำนัลให้ลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง รวมทั้งหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่นางเข้าใจไปเองว่าได้เป็นภรรยาของหลิงตู้ฉิงไปแล้ว นางตัดสินใจแล้วว่ายังไงนางก็จะเป็นผู้หญิงของหลิงตู้ฉิงให้ได้ แม้ว่าจะเป็นได้แค่ภรรยาน้อยก็ตาม

ในเวลาเดียวกัน มี่ไลที่กลับไปยังตระกูลของนาง หลิงฉิงเฟิงเองก็กำลังทำการสืบสวนเรื่องความขัดแย้งระหว่างหลิงตู้ฉิงกับตระกูลเจิ้น

เมื่อหลิงตู้ฉิงไม่ยอมรับเขาเป็นญาติ เขาจึงไม่อาจทราบเรื่องราวจากปากหลิงตู้ฉิงโดยตรงได้ หลิงฉิงเฟิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำการสืบสวนเรื่องราวด้วยตัวเอง

จากการสืบทราบมา สถานที่เกิดเหตุสำคัญเมื่อเร็ว ๆ นี้คือหอมรกตแดง

เมื่อหลิงฉิงเฟิงมาถึงหอมรกตแดง กิจการที่หอนางโลมแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นองเลือดสักเท่าไหร่ สถานที่นี้ยังคงคลาคล่ำไปด้วยลูกค้ามากมาย

หลังจากที่หลิงฉิงเฟิงเดินเข้าไปในหอมรกตแดง ด้วยรูปร่างอันหล่อเหลาและการแต่งตัวที่ดูภูมิฐาน บรรดานางคณิกามากมายจึงเข้ามารุมล้อมหวังจะได้รับการเรียกใช้จากชายหนุ่มรูปงามผู้นี้

“เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” หลิงฉิงเฟิงยิ้มให้เหล่าคณิกา

หลังจากที่ได้ยินคำถามของหลิงฉิงเฟิง นางคณิกาที่อยู่ในกลุ่มจึงเดินกลับเข้าไปด้านใน

เวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ผู้จัดการหอมรกตแดง หงเหม่ย เดินออกมาจากด้านในมาหาหลิงฉิงเฟิงด้วยดวงตาเป็นประกาย “นายท่าน ท่านเรียกข้า มีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นหรือ?”

หลิงฉิงเฟิงยิ้ม “ข้ามีบางอย่างที่ต้องการรู้จากเจ้า”

หงเหม่ยมองไปที่หลิงฉิงเฟิงอย่างสงสัย อันที่จริงตั้งแต่แรกที่นางเห็นเขา นางรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่แปลก ๆ ทำไมชายหนุ่มรูปงามที่ดูดีมีชาติตระกูลไม่ธรรมดาถึงได้มาเที่ยวที่หอนางโลมที่เมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ “นายท่านต้องการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้ในหอนางโลมของเจ้าได้มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ข้าต้องการให้เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง และข้าขอเตือนเจ้าว่าห้ามบิดเบือนเรื่องราวแม้แต่เล็กน้อย ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย…” หลิงฉิงเฟิงพูดจบพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการกดขี่ออกมารอบ ๆ

ตอนนี้หงเหม่ยรู้แล้วว่าความซวยได้มาเยือน นางจึงตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวพร้อมกับพูดว่า “นะ นายท่าน พวกเขาฆ่ากันเอง พวกข้าไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยจริง ๆ!”

“นายท่าน พวกเรารู้แต่ว่าพวกเขามีความแค้นต่อกันมาก่อน นายน้อยเจิ้นต้องการจะสังหารท่านหลิงจึงได้นำผู้เชี่ยวชาญมามากมาย แต่ท่านหลิงกลับสังหารพวกเขาทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่นายน้อยเจิ้น”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้มาเป็นศัตรูกัน?” หลิงฉิงเฟิงถามขึ้น “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ข้าพอรู้มาบ้างว่าเจิ้นสีชวงชอบมาเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ ดังนั้นอย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

หงเหม่ยเม้มริมฝีปากนางแน่นก่อนจะพูดว่า “นายน้อยเจิ้นมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่าเรื่องความขัดแย้งของเขากับหลิงตู้ฉิงให้กับหญิงสาวที่ให้บริการเขาได้ฟัง ว่าเริ่มแรกพวกเขาเคยมีปัญหากันที่สถาบันหงส์เพลิง”

อันที่จริงหงเหม่ยเองไม่ใช่ไม่รู้ถึงรายละเอียดเรื่องความขัดแย้งของพวกเขาทั้งคู่ แต่นางไม่ต้องการที่จะเล่ามันออกมา เนื่องจากนางยังไม่รู้ว่าชายตรงหน้านางนั้นเป็นคนจากฝั่งไหน นางเกรงว่าหากเล่าไปแล้วเรื่องราวกลับไม่เข้าหูชายหนุ่มผู้นี้ นางอาจจะเดือดร้อนได้ง่าย ๆ นางจึงอ้างชื่อสถาบันหงส์เพลิงขึ้นมาเพื่อปัดเรื่องราวให้พ้นตัวนาง

“งั้นเล่าเหตุการณ์ที่หลิงตู้ฉิงที่มาที่นี่ให้ข้าฟังหน่อย” หลิงฉิงเฟิงพูด

หงเหม่ยยิ้มอย่างหวาดหวั่น “ท่านหลิงมาที่นี่เพื่อใช้บริการ แต่ดูลักษณะท่าทางของเขาเหมือนว่าจะไม่เคยเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก่อน และที่แปลกไปกว่านั้นคือก่อนที่เขาจะใช้บริการ เขาได้กำหนดเงื่อนไขแปลก ๆ ขึ้นมาด้วย…”

“พอแล้ว” หลิงฉิงเฟิงพยักหน้าและลุกขึ้นเดินจากไป

หลิงฉิงเฟิงนั้นไม่ได้สนใจเรื่องราวรสนิยมผู้หญิงของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาฟังเสร็จก็เดินออกจากหอมรกตแดงไปยังสถาบันหงส์เพลิงทันที เมื่อถึงสถาบันหงส์เพลิงเขาจึงเริ่มสอบถามจากผู้คนโดยรอบ เมื่อสอบถามเสร็จเขาก็เริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว

หนึ่งในผู้คุ้มกันที่มากับหลิงฉิงเฟิงพูดอย่างหงุดหงิด “นายน้อย นี่เห็นได้ชัดเลยว่าหลิงตู้ฉิงเป็นคนที่โหดเหี้ยมขนาดไหน กับอีแค่เรื่องขัดแย้งเล็กน้อยถึงกับต้องสังหารคนเป็นจำนวนมาก”

ผู้คุ้มกันอีกคนพูดเสริม “แค่โดนพังประตูเรือนถึงกับบังคับให้ฝั่งตรงข้ามนั่งคุกเข่าขอขมาอยู่ทั้งวัน ทำแบบนี้เป็นใครก็ทนไม่ได้ ความจองหองของเขานี่มันเกินจะทนจริง ๆ”

ผู้คุ้มกันทั้งสองคนวิจารณ์หลิงตู้ฉิงอย่างดุเดือด เนื่องจากพวกเขามีอคติกับหลิงตู้ฉิงตั้งแต่ที่ถูกโยนออกมาจากเรือน

หลิงฉิงเฟิงคิดอยู่สักพักจึงพูดขึ้น “ต่อให้การกระทำของหลิงตู้ฉิงจะเกินไปสักหน่อย แต่ต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากเจิ้นสีชวงได้ไปดูหมิ่นลูกของเขาก่อน ข้าต้องคุยกับหลิงตู้ฉิงเพื่อหาทางสะสางปัญหานี้กับตระกูลเจิ้น”

หนึ่งในผู้คุ้มกันรีบพูดขึ้น “นายน้อย ท่านต้องไม่เข้าไปที่เรือนนั่น! ข้าคิดว่าเราควรจะนัดหลิงตู้ฉิงให้ออกมาพบกับเราข้างนอกเพื่อความปลอดภัย”

พวกเขาไม่กล้าเข้าไปที่เรือนหลิงเพราะยังหวาดกลัวไม่หายจากเหตุการณ์ที่โดนส่งตัวลอยออกมาจากเรือน

หลิงฉิงเฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งั้นเอาอย่างที่เจ้าว่า เจ้าคนนึงไปที่เรือนหลิงแจ้งการนัดหมายของเราให้หลิงตู้ฉิงทราบ บอกกับเขาให้มาพบกับข้าที่ภัตตาคารหลิวเย่”

หนึ่งในผู้คุ้มกันตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “ข้าไปเองนายน้อย!” เมื่อพูดเสร็จเขาก็พุ่งตัวไปยังทิศทางที่เรือนหลิงตั้งอยู่

เมื่อผู้คุ้มกันที่หลิงฉิงเฟิงส่งมาได้มาถึงหน้าเรือนหลิง เขามองไปยังประตูเรือนด้วยความคับข้องใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้นำตระกูลถึงต้องวุ่นวายสะสางปัญหาให้กับหลิงตู้ฉิงนัก ทั้งที่หลิงตู้ฉิงเป็นแค่บุตรนอกสมรสที่ก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลแทบจะไม่เคยเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ

ผู้คุ้มกันผู้นั้นเริ่มเคาะประตูดังลั่น

โม่หยูถังได้ยินเสียงเคาะจึงเดินมาเปิดประตู “มีธุระอะไร?”

ผู้คุ้มกันที่มาเยือนเอ่ยแจ้ง “นายน้อยของข้า ต้องการเชิญให้หลิงตู้ฉิงไปพบกับเขาที่ภัตตาคารหลิวเย่เวลาสองทุ่ม วันนี้!”

โม่หยูถังที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเนื่องจากตอนที่หลิงฉิงเฟิงมาเยือน ตัวเขาเองได้ออกไปข้างนอก ได้แต่ถามอย่างงุนงง “นายน้อยของเจ้าเป็นใคร?”

“นายน้อยหลิงฉิงเฟิง” ผู้คุ้มกันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป

เมื่อเห็นผู้มาเยือนเดินจากไป โม่หยูถังจึงเดินไปหาหลิงตู้ฉิงเพื่อแจ้งข่าวการนัดหมาย

“ข้าจะไปตามนัดของเขา” หลิงตู้ฉิงที่ทราบข่าวจากโม่หยูถังพูดขึ้น

“นายท่าน ข้าจะไปกับท่านด้วย” กงหยูที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิงพูดขึ้นมา

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังกงยูและพยักหน้า “ได้”