ภาคที่ 4 ตอนที่ 2 เหตุผลที่เชื่อใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ราตรีทอดตัวลงมา โคมไฟสามดวงจุดสว่าง แสงโคมพริบตาเติมเต็มห้องที่สร้างจากหินห้องนี้ 

 

นี่เป็นโคมครอบกระจก ทั้งสว่างไสวทั้งไม่แสบตา 

 

เตียงเตาจุดไฟอบอุ่นอบอวล ผ้าห่มฟูกใช้มือกดทีหนึ่งนุ่มและอุ่นร้อน ของใช้ล้วนเป็นแพรต่วนไหม 

 

แท่นหินข้างเตาวางแจกันทรงหญิงสาวไว้สองใบ ต่างก็ปักดอกกล้วยไม้กำหนึ่งไว้ 

 

ห้องที่เดิมทีเล็กเตี้ยทั้งยังคับแคบมืดมิดห้องนี้ใต้แสงโคมกลายเป็นสว่างไสวแล้วยังอบอุ่น 

 

สว่างไสวอบอุ่นบางครั้งล้วนเป็นเงินกองขึ้นมา มือของนางวางบนฟูกกับผ้าห่ม มองดูกระทั่งแจกันดอกไม้ใบหนึ่งก็ยังไม่ใช่ของตกแต่งธรรมดา 

 

นางนั่งอยู่บนเตียงเตาฉับพลันก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นของยา เห็นสาวใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วเอ๋อร์คนนั้นกำลังโยนอะไรกำหนึ่งลงในกระถางธูปหอมที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง 

 

“จุดเตียงเตาร้อนแห้งได้ง่าย นี่คือยากำจัดความแห้ง ใช้ตอนกลางคืน เช้าขึ้นมาจะไม่ปากแห้งลิ้นร้อนเลือดกำเดาไหล” เสียงคุณหนูจวินดังขึ้น 

 

นางเพิ่งเดินเข้ามา เห็นสตรีผู้นั้นมองหลิ่วเอ๋อร์จึงเอ่ยอธิบาย  

 

“คุณหนูเข้าใจหลักวิชาแพทย์อยู่บ้างหรือ” นางอมยิ้มเอ่ย 

 

“ความจริงไม่เพียงเข้าใจอยู่บ้าง” คุณหนูจวินยิ้มพลางเปิดตู้ด้านข้างเอา**บยาออกมา “ที่จริงข้าเป็นหมอคนหนึ่ง” 

 

หมอ? 

 

“คนดูจากภายนอกไม่ได้ มหาสมุทรใช้กระบวยวัดไม่ได้จริงๆ” นางพยักหน้าเอ่ยพลางมองคุณหนูจวินเปิด**บยา เอาขวดใบหนึ่งออกมา 

 

“นายหญิงข้อเท้าบาดเจ็บสินะ” คุณหนูจวินเอ่ย กึ่งนั่งยองลงข้างเตียง 

 

สตรีผู้นั้นไม่ได้กังวลเพราะการเคลื่อนไหวนี้ของนาง ยื่นมือดึงเสื้อกระโปรงขึ้นมาให้สะดวกตรวจดู 

 

“ใช่ หลายวันก่อนตกจากรถม้า ถูกม้าเหยียบเข้า” นางเอ่ย “เดิมทีเจ็บนิดเดียวก็หายจึงไม่ได้สนใจ หลายวันนี้กลับร้ายแรงขึ้น” 

 

ไม่มีเวลาสนใจ เพราะเทียบกับชีวิตเท้าเจ็บก็ไม่นับเป็นอะไรสินะ 

 

คุณหนูจวินรินสุราจากในขวดกระเบื้องถูบนฝ่ามือแล้ววางลงบนข้อเท้าของนาง 

 

“เจ็บหน่อยนะเจ้าคะ” นางเอ่ย 

 

สตรีผู้นั้นยิ้ม 

 

“เจ็บสิดี หากไม่เจ็บก็แย่แล้ว” นางเอ่ย “เท้าข้างนี้ของข้าคงพิการแล้ว” 

 

“พิการก็ไม่เป็นไรหรอก” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย “คุณหนูของข้าทำอันใหม่อันหนึ่งให้เจ้าได้” 

 

นี่ฟังดูแล้วเป็นคำพูดที่เหลือเชื่อจริงๆ แต่นางกลับไม่ได้ทำท่าล้อเลียนประหลาดใจ 

 

“ที่แท้วิชาแพทย์ของคุณหนูก็ร้ายกาจปานนี้” นางพยักหน้าเอ่ย 

 

ยามไม่ยิ้มนางดูแล้วเคร่งขรึมยิ่งเหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางแบบนั้น แต่ก็ไม่เหมือน 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั้นเป็นแบบผู้อื่นติดเงินนางมาแปดรุ่น 

 

แต่ความเคร่งขรึมของผู้หญิงคนนี้กลับไม่ทำให้คนเกิดความชิงชัง ตรงกันข้ามเคารพโดยไม่รู้ตัว 

 

หลิ่วเอ๋อร์บีบนิ้วมือ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตนเองก็ไม่มีทางไปรับใช้นาง ใครดีเท่าไรก็ดีสู้คุณหนูไม่ได้ 

 

คุณหนูจวินนวดอยู่เป็นเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยถึงลุกขึ้นยืน ให้หลิ่วเอ๋อร์ยกน้ำมาให้นางทานยา 

 

“ข้อเท้าของนายหญิงบาดเจ็บหนักมาก แน่นอนข้ารักษาหายดีได้” นางเอ่ย “แต่ต้องพักนิ่งๆ หลายวัน แน่นอนหากจะเร่งเดินทางก็ได้” 

 

นางพูดพลางยิ้มอีกครั้ง 

 

“เท้าพิการไป ข้าทำอันใหม่อันหนึ่งเปลี่ยนให้ท่านได้จริงๆ ดังนั้นวันพรุ่งนี้จะเดินทางหรือพักนิ่งๆ นายหญิงโปรดตัดสินใจ อย่างไรข้ารับเงินแล้วย่อมเชื่อฟังคำสั่ง” 

 

เงิน? หลิ่วเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย แต่จำได้ว่าไม่อาจสอดปากยามคุณหนูพูดจึงอดกลั้นไว้ไม่ถาม 

 

สตรีผู้นั้นก็ยิ้มแล้ว 

 

“ข้าออกเงินเชิญท่าน ข้าจ่ายเงินเพียงแล้วเพียงต้องการไปถึงสถานที่ซึ่งข้าต้องการไปเท่านั้น ส่วนไปอย่างไรรวมถึงเรื่องอื่นๆ ข้าล้วนไม่เป็นห่วง” นางเอ่ย “ทุกสิ่งล้วนยกให้คุณหนูท่านเปลืองความคิด” 

 

นางชอบพูดคุยกับคนตรงๆ เช่นนี้นัก คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า 

 

“ได้” นางเอ่ย “นายหญิงพักผ่อนเถอะ” 

 

สตรีผู้นั้นพยักหน้าไม่เอ่ยวาจา 

 

“อีกอย่าง นายหญิงอาจต้องดูแลตัวเองได้หรือไม่?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอีก “สาวใช้คนนี้กลางคืนไม่เคยรับใช้ใคร ข้ายังมีแม่ครัวนางหนึ่ง ฝีมือทำอาหารดีนัก เพียงแต่ไม่เคยมีใครสอนให้รับใช้คนอย่างไร” 

 

นี่ฟังดูแล้วเป็นคำพูดที่ไม่มีความจริงใจนักจริงๆ แต่คุณหนูจวินพูดอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของสตรีผู้นี้ก็นิ่งเรียบ 

 

“ได้ ข้าดูแลตนเองได้” นางเอ่ยแล้วชี้หัวเตียงอีกครั้ง มองหลิ่วเอ๋อร์พลางพยักหน้า “นอกจากนี้สาวใช้คนนี้ก็เตรียมได้ถี่ถ้วนแล้ว” 

 

หัวเตียงวางเตาพก กาน้ำชากับกล่องของว่างอยู่ เอื้อมมือก็ถึง 

 

แม้รู้ว่าตนเองร้ายกาจยิ่ง แต่ได้ยินคำชม หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงหน้าตาเริงร่า 

 

“ใช่แล้ว เรื่องที่ข้าทำพวกท่านวางใจได้” นางเอ่ย 

 

กำลังพูดอยู่ นอกประตูเสียงของเหลยจงเหลียนก็ดังมา เขาพาเหลียงเฉิงต้งคนนั้นมา 

 

นายบ่าวสองคนพบเรื่องเช่นนี้ย่อมมีวาจาจะพูดกัน คุณหนูจวินเชิญเขาเข้ามาแล้วพาหลิ่วเอ๋อร์ถอยออกไป 

 

เหลียงเฉิงต้งเดินเข้ามาในห้อง เห็นความหรูหราในความเรียบง่ายนี่ก็อุทานตกตะลึงอีกครั้ง ขณะที่ครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไร เสียงสนทนาก็ดังเข้ามาในเรือน 

 

“…น่าจะให้นางมาเอาเอง อาศัยอะไรให้พวกเราส่งเล่า นางเป็นคุณหนูใหญ่โตรึ” 

 

“อย่างไรก็ไม่อาจให้ท่านน้าอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ ไปเถอะ ข้านำผ้าพับหนึ่งกลับมาให้ท่านน้าด้วย” 

 

“น้าหวง ท่านมาถือผ้า” 

 

“ลุงเหลยท่านถือโคมสองดวง เพิ่มคนอีกหลายคน ข้ายังกลัวพบสุนัขป่าอยู่นะ” 

 

เสียงเจื้อยแจ้วเอะอะในลาน เสียงฝีเท้าพักหนึ่งติดตามออกไปไกลแล้วเงียบลง 

 

เหลียงเฉิงต้งยืนอยู่ข้างประตูมองไปข้างนอก ห้องด้านข้างในเรือนยังจุดโคมสว่างอยู่ แต่กลับว่างเปล่าไม่มีคน กระทั่งแม่ครัวคนนั้นก็ออกไปแล้ว 

 

นี่จงใจหลีกให้พวกเขาคุยกันหรือ? 

 

เหลียงเฉิงต้งคิดถึงตอนเพิ่งเข้าหมู่บ้าน คุณหนูคนนี้พูดกับแม่นางที่ปิดบังใบหน้าคนนั้นว่าจะส่งลูกชิ้นทอดอะไรให้นาง 

 

อาจบังเอิญกระมัง 

 

“เฉิงต้ง อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไร” นางเอ่ยถาม 

 

เหลียงเฉิงต้งสงบจิตใจที่วุ่นวายอยู่แล้วปิดประตู 

 

“นายหญิง ข้าไม่เป็นไร ท่านเล่า?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม 

 

“ข้าก็ยังดีอยู่ คุณหนูคนนี้ยังเป็นหมอคนหนึ่งด้วย วิชาแพทย์สูงส่ง” นางเอ่ยบอก “ตรวจให้ข้าแล้ว” 

 

หมอ… 

 

เหลียงเฉิงต้งหางคิ้วกระตุกอีกครั้ง 

 

“หมอ ข้ารู้สึกว่าที่นี่เป็นรังโจรแห่งหนึ่ง” เขาเอ่ยเสียงเบา “ความรู้สึกของที่นี่…” 

 

เขากวาดมองในห้องรอบหนึ่ง 

 

“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยกวาดล้างมหาโจรเช่นนี้กลุ่มหนึ่ง อยู่ในถ้ำภูเขา ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่ข้างในใช้เงินทองมาทำบัลลังก์ ในถ้ำสมบัตินานาชนิดกองพะเนิน” 

 

นางหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว จากนั้นมองรอบด้านทีหนึ่ง 

 

“รวยเอาการอยู่” นางพยักหน้ายิ้มเอ่ย “นอกจากนี้การกระทำก็ค่อนข้างเหมือนโจรจริงๆ” 

 

ใช่ไหมล่ะ! เหลียงเฉิงต้งคิ้วขมวดแน่น 

 

“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงท่านยังเชื่อนางหรือขอรับ?” เขาเอ่ย ถึงกับเป็นเฝ่ายเชิญพวกเขาอารักขา 

 

“ข้าเชื่อนางจริงๆ” สตรีผู้นั้นเอ่ยจากนั้นก็ยิ้ม “ก็คงเพราะอย่างที่เจ้าพูด มหาโจรน่ะ ในความเป็นโจรนี่ยังมีความทะนง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่บ้าง” 

 

ใจกว้างด้วยความทะนง เด็ดขาดด้วยความทะนง เหยียดมองใต้หล้าด้วยความทะนง ความทะนงเช่นนี้เอ่ยวาจาออกมาสี่อาชายากไล่ทัน 

 

และในเวลาเดียวกันนี้ เหลยจงเหลียนก็กำลังถามประโยคคล้ายกันนี้ระหว่างทางขึ้นเขา 

 

“คุณหนู พวกเขาที่มาไม่ชัดเจน ตัวตนน่าสงสัย ทำไมท่านยังต้องช่วยพวกเขา?” เขาเอ่ย 

 

สตรีคนนี้บอกแล้วว่าที่ตัวพวกเขาไม่มีเงินแล้ว แต่โจรเหล่านั้นกลับยังคงไล่สังหาร นอกจากนี้ตอนคุณหนูจวินลงมือ คนด้านนั้นยังหลุดปากประโยคหนึ่งบอกให้เหลือคนรอดไว้ 

 

โจรไม่เอาทรัพย์ คนถูกปล้นต้องการคนรอดไว้ถามคำถาม นี่ต้องไม่ใช่การปล้นชิงธรรมดาแน่ 

 

คุณหนูจวินย่อมรู้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นตอนนั้นคงไม่เตือนผู้ชายคนนั้นประโยคหนึ่งว่าเหลือคนรอดหรือไม่ไม่จำเป็น รู้ว่ามีคนต้องการให้พวกเขาตายก็เพียงพอแล้ว 

 

ท่าทางของสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา พวกผู้คุ้มกันก็ฝีมือร้ายกาจ ที่มาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่คนเช่นนี้กลับถูกไล่ล่าสังหาร เห็นได้ว่าต้องเป็นปัญหาใหญ่ 

 

และปัญหานี่รวมถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น พวกเขาตอนนี้ไม่รู้สักอย่างอย่างสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั้นจะรับมืออย่างไร? 

 

“ย่อมเป็นทหารมาแม่ทัพต้าน น้ำมากั้นดิน” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนทำไมช่วยพวกเขา…” 

 

นางหยุดครู่หนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิด 

 

“แน่นอนเพราะนางจ่ายเงินสิ” หลิ่วเอ๋อร์ที่เดินอยู่ด้านหน้าหันกลับมาตอบ “เรื่องง่ายดายปานนี้ มีเงินทำไมจะไม่เอา?” 

 

เจ้าเข้าใจอะไรเล่า! เหลยจงเหลียนถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง เงินบางก้อนก็ไม่ใช่หามาได้ง่ายดายปานนั้น 

 

“แต่เรื่องนี้สำหรับคุณหนูแล้วทำได้นี่ ง่ายดายยิ่งด้วย” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากถลึงตาใส่เขาอย่างดูแคลนบ้าง 

 

นั่นจะว่าใช่ก็ใช่…คุณหนูจวินไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้จริงๆ เหลยจงเหลียนถูกโต้จนเงียบไป 

 

คุณหนูจวินยิ้ม 

 

สำหรับนางแล้วย่อมไม่ใช่เพราะเงิน ที่เวลานั้นตอบรับคงเป็นเพราะตอนสังหารโจร หากพวกเขาไปต่อก็มีโอกาสหนีได้ชัดๆ แต่กลับไม่ลังเลหันกลับมาช่วยเหลือ 

 

หรืออาจเพราะรู้สึกคุ้ยเคยอย่างไม่รู้สาเหตุกับสตรีผู้นั้น 

 

เหตุผลนี่ทำตามอำเภอใจไปบ้าง แต่นางเป็นสตรีคนหนึ่ง สตรียากเลี่ยงทำตามอำเภอใจอยู่บ้าง