ตอนที่ 1487

War sovereign Soaring The Heavens

ภูเขาจิ่วฉี

 

เมื่อชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติฟื้นฟูเสร็จสิ้น หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับพื้นที่บ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม

 

จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้

 

สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ดีกว่าชั้น 2 มาก อีกทั้งด้วยอัตราการไหลของเวลาที่ช้าลง นับเป็นความช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียน

 

‘เมื่อซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้สำเร็จ…ต่อไปก็เป็นการเริ่มซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 4..และทันทีที่ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 4 ได้ ผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามิติภายในเจดีย์จะมีเสถียรภาพ!’

 

ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด ลูกตาเผยประกายวาวโรจน์

 

หากพื้นที่ทั้งมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพ…นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้มันเพื่อหลบซ่อนตัวได้ ยามเมื่อชีวิตเขาตกอยู่ในห้วงคับขันเป็นตาย!

 

เสมือนเรื่องในวันนี้

 

โชคดีที่ชายในชุดคลุมลมดำนั่นมันเป็นผู้ฝึกมาร ไม่งั้นเขาได้ตายแน่!

 

หากพื้นที่และมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพแล้วล่ะก็ ต่อให้ชายในชุดคลุมลมดำไม่ใช่ผู้ฝึกมาร เขาก็ไม่ต้องกลัวมัน

 

เพราะเขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และย่อส่วนมันให้เล็กลงเท่าละอองคลี หลบเร้นสายตาของมันได้ไม่ยาก!

 

พอชายในชุดคลุมลมดำจากไป เขาก็ค่อยโผล่ออกมาอีกครั้ง

 

การซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้สำเร็จ เป็นก้าวแรกเพื่อซ่อมแซมชั้น 4

 

ตอนนี้พอทราบว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สามารถซ่อมแซมได้สมบูรณ์แน่แล้ว ใจต้วนหลิงเทียนย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี

 

“ผู้เฒ่าหั่วท่านเริ่มซ่อมแซมเจดีย์เลยเถอะ…ข้าจะออกเดินทางต่อ พอถึงเมืองหานเหอ ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติน่าจะเสร็จให้ข้าเข้าไปบ่มเพาะพอดี!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วด้วยความตื่นเต้น

 

ผู้เฒ่าหั่วตอบรับและเริ่มต้นทำงานทันที

 

ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะวางวัตถุดิบทั้งหมดในแหวนเอาไว้บนพื้นแบบนั้น และออกจากเจดีย์เพื่อเดินทางไปยังเมืองหานเหอต่อ

 

หลังจากถูกขัดขวางจากหวงเฉิงและชายในชุดคลุมลมดำแล้ว การเดินทางที่เหลือของต้วนหลิงเทียนก็ราบรื่นเสมือนล่องเรือในทะเลสาบสงบ

 

ครึ่งเดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่แนวเทือกเขาใกล้ๆเมืองหานเหอแล้ว

 

ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมายังเมืองหานเหอนั้น เขาได้ศึกษาจนรู้ตำแหน่งที่ตั้งของมัน รวมทั้งพื้นที่รอบๆเป็นอย่างดี

 

“ที่นี่สมควรเป็นภูเขาจิ่วฉีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหานเหอสินะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างบนฟ้า เหลือบมองไปยังภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวเป็นแนวยาวเบื้องหน้า

 

ภูเขาลูกนี้มหึมานัก แนวเขายังทอดตัวยาวออกไปนับพันๆลี้ ยากจะมองเห็นจุดสิ้นสุด หากคิดจะไปเมืองหานเหอจำเป็นต้องข้ามเขาลูกนี้ไป

 

‘กล่าวกันว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นสูงกว่าพื้นที่ทั่วไปอยู่มาก…กระทั่งตัวตนในขอบเขตสู่เซียนก็ยากที่จะเหินบินได้อย่างเสรี’

 

นี่คือความเข้าใจต่อภูเขาจิ่วฉีที่ต้วนหลิงเทียนมี

 

“ไม่รู้ว่าจะจริงรึเปล่า”

 

มองไปยังขุนเขาใหญ่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็สงสัยไม่น้อย เริ่มบินเข้าไปทันที

 

เขาเองก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าแรงโน้มถ่วงของภูเขาจิ่วฉีที่ว่า จะมากมายขนาดไหน!

 

อย่างไรก็ตามเพียงเข้าใกล้เขตภูเขา ไม่ทันที่จะถึงตีนเขาด้วยซ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในอากาศ แรงกดดันดั่งกล่าวทำให้เพดานบินของเขาดิ่งวูบลงมาทันที

 

แรงกดดันนี้เสมือนแรงกดดันในอาคมห้ามบินอยู่บ้าง ทว่ายังมีความต่างจากอาคมห้ามบินไม่น้อย

 

อาคมห้ามบินนั้น หากพลังฝึกปรือไม่ถึงขอบเขตที่กำหนดไว้ จะไม่สามารถเหินบินได้เลย

 

ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนเพียงบินด้วยเพดานบินต่ำเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นบินไม่ได้

 

“ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาจิ่วฉีนั่นแรงกดดันยิ่งมีมาก…ดูเหมือนแรงโน้มถ่วงในเขาจะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะลงไปเดินยังภาคพื้นดินเมื่อเข้าใกล้ตีนเขาของภูเขาจิ่วฉี ถึงแม้ว่าเขาจะยังพอบินได้ แต่เพดานบินก็ไม่สูงอะไร ทั้งยังลำบากยากเย็นนัก เพราะไม่อาจประคองร่างในอากาศได้นาน!

 

ตอนนี้หากคิดจะบินก็ไม่ต่างอะไรจากหาเรื่องท้าทายแรงดึงดูดของภูเขาจิ่วฉี!

 

แรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นเป็นพลังอำนาจของธรรมชาติ จำต้องมีพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะพอเพิกเฉยมันได้

 

ต้วนหลิงเทียนยังไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว

 

‘ดูเหมือนว่าคิดข้ามภูเขาจิ่วฉีนี่ข้าคงทำได้แค่เดินเท้าอย่างเดียว…ได้ยินว่าป่าบนเขาเองก็มีสัตว์ร้ายมากมาย กระทั่งสัตว์เซียนที่มีพลังฝึกปรือสูงเกินสู่เซียนขั้นต้น…ต้องระวังหน่อยแล้ว’

 

ก่อนจะเดินเข้าไปในภูเขาจิ่วฉีเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นตัวขึ้นมา

 

เบื้องหน้ามีหนทางสายหนึ่งที่ทอดยาวไปในภูเขาจิ่วฉี ทันทีที่ย่ำเท้าลงบนเส้นทางเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งทันที

 

และยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

 

‘แต่ละก้าวต้องใช้พลังอยู่บ้าง’

 

ต้วนหลิงเทียนตกใจ

 

เขาเพียงแค่รู้มาว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้เลยว่ามันหนักหนาขนาดไหน มาตอนนี้พอได้เจอกับตัว เขาถึงได้รู้ว่าเขาประเมินแรงดึงดูที่นี่ต่ำไปกว่าที่เป็นจริงอยู่บ้าง

 

‘แรงโน้มถ่วงมากขนาดนี้…นอกจากสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะมีใครเหินบินในเขตภูเขาได้ดั่งใจ’

 

หลังจากตระหนักถึงแรงโน้มถ่วงในภูเขา ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ

 

แน่นอนว่าหากเขาใช้ยันต์เทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว เขาสามารถวิ่งข้ามเขาได้ปร๋อ กระทั่งจะเหินบินผ่านไปก็ทำได้ไม่ยากเย็น แต่เขาไม่คิดจะทำแบบนั้น

 

เว้นแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ เขาไม่คิดจะใช้ยันต์เต๋าระดับ 3 ดาวพร่ำเพรื่อ

 

ภูเขาจิ่วฉีลูกนี้ไม่เพียงแรงโน้มถ่วงสูงเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายอีกมากมายหลายประการ

 

อันตรายที่ว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นสัตว์ร้าย!

 

สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉี พวกมันอยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เกิด ย่อมคุ้นชินกับแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งดี!

 

เรียกว่าถึงแม้พวกมันเองก็ได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงที่สูงของภูเขาจิ่วฉีมาแต่เกิด ทว่านั่นเสมือนการเคี่ยวกรำพวกมันตามธรรมชาติ!

 

การที่มันอยู่รอดมาได้ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายแบบนี้ หมายความว่าในระดับเดียวกัน สัตว์ร้ายที่นี่จะแข็งแกร่งเหนือกว่าสัตว์ร้ายด้านนอก!

 

ดังนั้นการเดินทางในภูเขาจิ่วฉี ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กล้าละวางความระวัง คอยสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างตื่นตัวตลอดเวลา

 

“ฮู่มมมมมมม!!”

 

เสียงคำรามของสัตว์ร้ายหนึ่งดังก้องมาในอากาศ สัตว์ร้ายชนิดหนึ่งที่แลไปคล้ายเสือโคร่งกระโจนออกมาจากแนวป่าไผ่ มันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง เผยน้ำลายยืดย้อยตามเขี้ยวแหลมคม!

 

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนถึงกับสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนขุมหนึ่งพุ่งตีปะทะใบหน้า!

 

และพร้อมๆกันกับคลื่นความร้อนดังกล่าว ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยเตะจมูกอย่างแรง!

 

“หาที่ตาย!”

 

หน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นทันใด ดาบใหญ่พันทวีปรากฏขึ้นจากความว่างเข้ามือ เหวี่ยงฟาดไปยังสัตว์ร้ายที่อ้าปากกว้างพร้อมกระโจนเข้ามาอย่างหิวโหยดังกล่าวทันที!

 

อาคมเซียนพันทวีที่จารึกอยู่บนดาบถูกเปิดใช้!

 

ประทับไท่ซาน!

 

ยามต้วนหลิงเทียนเหวี่ยงดาบใหญ่ออกไป ให้สภาวะประหนึ่งขุนเขามหึมาถล่มลง เขาฟาดร่างสัตว์ร้ายนั่นอย่างแรง ยังกดดาบใหญ่ทับร่างมันเอาไว้ติดดิน!

 

“อ๋าวววูววว”

 

สัตว์ร้ายที่ถูกดาบใหญ่ฟาดจนเปลี้ยไปกับดิน ถลึงตาดุร้ายสีแดงฉานมองต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง ร่างของมันยังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการกดทับของดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียน!

 

ร่างมันพลิกซ้ายทีขวาทีทั้งดิ้นพล่านไม่หยุด ราวกับจะพยายามหลุดรอดจากการกดดับนี้ให้ได้!

 

“อยากลุกขึ้นงั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้ม “อยากลุกนักข้าจัดให้!”

 

กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ยกดาบใหญ่พันทวีขึ้นอย่างฉับไว!

 

ทันใดนั้นลูกตาสัตว์ร้ายคล้ายจะทองแสงสว่างเรื่อ มันเร่งตะเกียกตะกายหมายลุกขึ้นยืนทันที

 

ประทับไท่ซาน!

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไหนเลยให้มันยืนได้ง่ายๆ ดาบใหญ่ที่ยกขึ้นก่อนหน้ากลับกลายเป็นการง้างสุดเหยียด ฟาดฟันลงมาอีกรอบด้วยวรยุทธ์จู่โจมอันแข็งกร้าว! ดาบใหญ่เปี่ยมภาวะสังหารฟาดลงมาปานเขาถล่ม!!

 

ตึงงงง!!

 

ร่างสัตว์ร้ายดังกล่าวถูกดาบใหญ่ทุบเข้าอย่างจังจนกระดูกสันหลังแหลกเหลว ทำได้แค่ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น อวัยวะภายในป่นปี้หมดสิ้น ขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น…

 

หากแต่ลูกตาดุร้ายดวงเขื่องสีแดงฉานยังจ้องมองมาทางต้วนหลิงเทียน คล้ายมันไม่ได้ตายอย่างสงบ!

 

‘สัตว์ร้ายตัวนี้อย่างดีพลังฝึกปรือก็แค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ…แต่พลังของมันกลับเทียบๆได้กับสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ! สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉีนับว่าร้ายกาจสมคำร่ำลือนัก!’

 

การฆ่าสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนภาคภูมิใจอะไร กลับกันสีหน้ายังกลายเป็นจริงจังขึ้นมา

 

นี่เป็นแค่สัตว์ร้ายตัวแรกที่เขาพบในภูเขาจิ่วฉี…

 

หากเดินลึกเข้าไปในเขา น่ากลัวว่าจะต้องเจอสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งสูงกว่านี้มากแน่นอน!

 

เช่นนั้นแล้วต้วนหลิงเทียนจึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นหลายส่วน!

 

ระหว่างเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ได้สังหารสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์เชี่ยวชาญกับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบไปอีกไม่กี่ตัว

 

ส่วนสัตว์ร้ายที่มีระดับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่นั้น หากเลือกที่จะเลี่ยงได้ ต้วนหลิงเทียนก็จะเลี่ยงพวกมัน ไม่อยากไปปะทะด้วยอย่างไม่จำเป็น

 

จะอย่างไรเสียสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในป่าบนภูเขาจิ่วฉีแห่งนี้ มันก็อยู่ที่นี่มาแต่เกิด เกรงว่าหากเขาคิดจะฆ่ามันก็จำต้องลงมืออย่างจริงจังไม่น้อย

 

และหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่าย่อมสร้างความปั่นป่วนจนก่อให้เกิดเสียงดังวุ่นวาย

 

ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นเตือน และเรียกหาสัตว์ร้ายตัวอื่นมาอย่างไม่จบสิ้น กระทั่งอาจจะเจอสัตว์ร้ายที่ทรงพลังขึ้นมา

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจว่าหากปะทะกันจริงๆ เขาสามารถสังหารสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ได้แน่ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยงปะทะกับมันให้วุ่นวาย

 

สัตว์ร้ายที่เขาไม่หลีกเลี่ยงและเลือกที่จะสังหารนั้น ส่วนมากจะเป็นสัตว์ร้ายที่เขาลงมือฆ่ามันได้ในกระบวนเดียวทั้งสิ้น

 

แน่นอนว่าการฆ่าในกระบวนเดียวนี้ ยังไม่ได้ใช้เกาทัณฑ์ดับตะวัน

 

ด้วยอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่จารึกอยู่บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในภูเขาจิ่วฉี เขาก็มั่นใจว่าสามารถสังหารมันได้ในดอกเดียว!

 

อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอาคมเพลิงระเบิดนั้นเสียงดังเกินไป เขาไม่อยากจะใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

 

ดังนั้นตลอดการเดินทางบนภูเขาจิ่วฉีจึงพยายามเดินทางอย่างเงียบๆ อาศัยความสามารถในการจับสัมผัสข้ามเขาไปอย่างราบรื่น

 

“หืม?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางสายหนึ่ง พลันโค้งคิ้วขึ้นด้วยคล้ายจับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เบื้องหน้าเหมือนจะมีคลื่นพลังสะท้อนแผ่พุ่งออก ทั้งมีเสียงดังปงปังจากการประมือ

 

พอลอบเข้าไปชมดูเรื่องราวใกล้ๆ ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายชราคนนึ่งกำลังปะทะรับมือสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอย่างดุเดือด!

 

ไม่ว่าจะเป็นชายชราหรือสัตว์ร้าย ตามเนื้อตัวก็มีบาดแผลเลือดโชก เห็นได้ชัดว่าต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่!

 

อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดหยุด ต่างยังลงมือเข้าใส่กันไม่หยุดพัก ราวกับต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายให้จงได้!

 

นอกจากร่างชราที่ปะทะกับสัตว์ร้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นร่างอีก 2 ร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกล

 

อย่างไรก็ตามร่างหนึ่งกับเป็นสตรีที่แลดูค่อนข้างน่ารัก ด้านบุรุษนั้นแม้ใส่เสื้อผ้าหรูหรามีราคาแต่หน้าตากลับแลดูธรรมดาดาษดื่น

 

เพียงมองจากการแต่งกายของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคู่นี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา น่าจะมาจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยสักตระกูล

 

“ผู้เฒ่าผิงนั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญของสกุลโอวหยาง…กระทั่งปะทะกับสัตว์ร้ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญตัวนี้ได้…จักอย่างไรนี่ก็เป็นสัตว์ร้ายที่เติบโตมาในภูเขาจิ่วฉี พลังของมันนับว่าร้ายกาจกว่าสัตว์ร้ายที่อื่นมากนัก”

 

ชายหนุ่มกล่าวชื่นชมออกมา

 

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”

 

คิ้วสตรีนางนั้นเชิดขึ้น ความเย่อหยิ่งแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้ว “มรดกของตระกูลโอวหยางเรา แม้จักกวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองหานเหอ ก็ยังนับเป็นอันดับต้นๆ!”