ตอนที่ 482 หิมะถล่ม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 482 หิมะถล่ม

ในขณะที่อันหลิงเกอและมู่จวินฮานยังมิทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง จู่ ๆ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน ทันใดนั้นหิมะบนที่สูงก็ถล่มลงมาจากภูเขาแล้วถาโถมใส่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว

หิมะถล่ม !

เมื่อเห็นว่าหิมะกำลังถล่มลงมาใส่ มู่จวินฮานก็รีบคว้าข้อมือของอันหลิงเกอไว้แล้วพานางคลานหลบหลีกหิมะ

กว่าทั้งสองคนจะหาก้อนหินขนาดใหญ่เจอมิใช่เรื่องง่ายจึงพากันไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหิมะฝังกลบ หิมะถล่มลงมาบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่พวกเขาพักพิงอาศัยอยู่ราวกับโดนทุบหลังอย่างไรอย่างนั้น ทำให้หัวใจของอันหลิงเกอเต้นดังตึก ๆ มิได้

โชคดีที่ผ่านไปมินานหิมะถล่มก็หยุดลง ต้องขอบคุณหินใหญ่ก้อนนี้ พวกเขาจึงมิโดนหิมะฝังกลบ

ทว่ามินานพื้นดินก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอีกรอบ แต่ทวีความรุนแรงกว่าเมื่อครู่ ทั้งสองมิเคยอยู่ในพื้นที่หนาวเย็นเยี่ยงนี้มาก่อนย่อมมิรู้ว่าหิมะถล่มจะเกิดแรงกว่าเดิมหลายเท่าและยังเกิดติดต่อกันอีกหลายครั้งถึงหยุดลง

ครั้งนี้ทั้งสองมิทันได้ตั้งตัวจึงถูกหิมะกระแทกใส่ มิรู้ว่าโดนพาไถลลงไปนานเพียงใดแต่อันหลิงเกอรู้สึกว่าร่างกายชาและเสื้อผ้าก็ถูกเสียดสีจนขาดวิ่น โชคยังดีที่มีมือของมู่จวินฮานจับนางไว้ตลอดเวลา

ผ่านไปอีกชั่วครู่ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม หิมะถล่มหยุดลงอีกครั้ง สาเหตุที่เมื่อครู่ทั้งสองมิได้ถูกพาไถลลงไปถึงหน้าผาเพราะระหว่างทางได้ไถลลงยังถ้ำภูเขา ทั้งสองจึงรอดจากความตายมาได้

ถ้ำภูเขามืดมิดมากจึงทำให้นางมิเห็นแม้แต่ร่องรอยของมู่จวินฮาน

นางจึงรีบเปิดกระเป๋าย่ามด้วยความร้อนใจแล้วคลำหาตะบันไฟทันที จากนั้นก็รีบจุดไฟในถ้ำภูเขา

เมื่อเห็นสภาพในตอนนี้ของมู่จวินฮานแล้ว นางก็รีบขุดหิมะที่อยู่บนร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ร่างกายเขาเย็นยะเยือก ถ้ามิใช่เพราะเขาผลักนางออกเมื่อครู่ก็เกรงว่าคนที่ถูกหิมะกลบคงเป็นนางเอง

อันหลิงเกอรีบจุดไฟอย่างรวดเร็วแล้วกองรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นนางก็ประคองมู่จวินฮานมาพิงบนตัวของนางแล้วปรารถนาให้ร่างกายของเขากลับมาอบอุ่นอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มู่จวินฮานยังมิได้หมดสติ อีกทั้งร่างกายก็ค่อนข้างแข็งแรง เพียงมินานเขาก็ฟื้นตัว

อันหลิงเกอจึงสบโอกาสมองสำรวจถ้ำภูเขาแห่งนี้ มองไปแล้วน่าจะเป็นถ้ำภูเขาที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติแต่เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอื่น ๆ อันหลิงเกอจึงสำรวจไปรอบด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการพบสัตว์อื่นที่พุ่งเข้ามา

เมื่อมู่จวินฮานเห็นท่าทางระแวดระวังตัวเยี่ยงนี้ของอันหลิงเกอ เขาจึงยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ นางเป็นเยี่ยงนี้เสมอ แข็งแกร่งกว่าชายชาตรีจึงสมเป็นพระชายาของเขา

มู่จวินฮานขยับตัวเล็กน้อยแล้วคิดจะลุกขึ้น แต่ขาถูกแช่จนแข็งไปหมดแล้วเขาจึงมิสามารถขยับได้ เมื่ออันหลิงเกอได้ยินการเคลื่อนไหวของเขาจึงรีบวิ่งเข้ามาตรวจดูอาการทันที

เมื่อเห็นขาทั้งสองข้างของเขาแล้ว นัยน์ตาของอันหลิงเกอจึงฉายความเจ็บปวดออกมา นางยกขาของเขาวางบนพื้นที่ใกล้กองไฟมากที่สุดแล้วหวังให้เขาอบอุ่นโดยเร็ว

จู่ ๆ มู่จวินฮานก็ดึงมือนางเพื่อให้ลงมานั่งบนตักของเขา อันหลิงเกอรู้สึกเขินอายต่อการกระทำเยี่ยงนี้จึงคิดลุกขึ้นแต่ก็ดิ้นมิหลุด

“อ่า…” นางออกแรงดิ้นอีกคราแต่ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของมู่จวินฮาน นางจึงนึกถึงบาดแผลบนไหล่ของเขาได้ ดังนั้นนางจึงมิกล้าเคลื่อนไหวอีก

มู่จวินฮานเห็นนางสงบลงเยี่ยงนี้ก็ทำการพลิกตัวและกดร่างของนางให้อยู่ใต้ร่างตน หิมะที่อยู่ข้างใต้ถูกไฟแผดเผาจนละลายแล้ว พื้นดินในเวลานี้แทบแห้งสนิท ไอร้อนจากไฟทำให้บรรยากาศรอบกายอบอุ่นขึ้น มิได้รู้สึกหนาวเหน็บอันใดอีก

มู่จวินฮานค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์บนร่างกายของนางออกทีละชั้น อันหลิงเกอก็มิได้ปฏิเสธเพราะถึงอย่างไรบนร่างกายของมู่จวินฮานก็มีบาดแผล นางจึงมิอยากทำให้เขาบาดเจ็บ

มิรู้ว่าเนิ่นนานเพียงใดที่ทั้งสองยังนอนเบียดกันอยู่ การเคลื่อนไหวด้านนอกมิได้เกิดอันใดขึ้นอีกจึงได้รู้ว่าหิมะถล่มจบสิ้นลงแล้ว

“จวินฮาน เราต้องรีบกลับไป เพราะองค์ชายน้อยอยู่ได้อีกมินานแล้ว” อันหลิงเกอมองแววตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของมู่จวินฮาน นางรู้ว่าหากมิเตือนเขาก็อาจมิทันการณ์เอาได้

“อืม…” มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอด้วยความรู้สึกเหมือนยังมิหายอยาก แต่ก็รู้ดีว่าพวกตนมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือโอรสของหลี่กุ้ยเฟย หากยังมิกลับไปต่อให้ได้สมุนไพรมาแล้วก็ไร้ประโยชน์

ระหว่างที่เดินทางกลับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งสองคนใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว

อันหลิงเกอใช้เวลาอีกครึ่งวันก็ปรุงยาเสร็จและมอบมันให้หลี่กุ้ยเฟย ครานี้อีกฝ่ายก็มิได้สงสัยอันใดจึงนำยาไปป้อนให้โอรสน้อยทันที

ดูท่าแล้วหลี่กุ้ยเฟยสามารถวางใจลงได้ อันหลิงเกอเป็นความหวังสุดท้ายของนางจริง ๆ เมื่อคิดได้ดังนี้อันหลิงเกอก็อดทอดถอนใจออกมามิได้

ตนจักลืมท่าทางในตอนแรกของหลี่กุ้ยเฟยสตรีผู้หยิ่งผยองได้เยี่ยงไร ภายใต้การช่วยเหลือของตระกูลหลี่มาถึงตอนนี้ช่างน่าเสียดายที่ความดื้อรั้นขององค์ชายเจ็ดทำลายทุกอย่างที่มารดาวางแผนไว้มิเหลือชิ้นดี

เมื่อเห็นท่าทางในวันนี้แล้วอีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเซียวมิได้เหมือนที่เจอในครั้งแรกเลย

เมื่อเห็นองค์ชายน้อยเสวยโอสถแล้วค่อย ๆ ฟื้นตัว อันหลิงเกอก็วางใจแล้วเตรียมเดินจากไป จู่ ๆ หลี่กุ้ยเฟยก็รีบเข้ามาเรียกอันหลิงเกอไว้แล้วพาไปอีกห้องหนึ่ง

ทันทีที่หลี่กุ้ยเฟยเข้ามาในห้องก็คุกเข่าลงตรงหน้าของอันหลิงเกอที่มิทันได้เตรียมตัวจึงตกใจอย่างมากและรีบดึงอีกฝ่ายขึ้นมา

“พระชายามู่ ครั้งนี้เพราะบุญคุณใหญ่หลวงของท่านทำให้โอรสของข้า โอรสของข้ามิได้สิ้นลมไปเนื่องจากความผิดพลาดของหยู่เอ๋อ”

ในขณะที่หลี่กุ้ยเฟยกำลังกล่าวนั้นหยดน้ำตาก็ไหลรินออกมาด้วย

นางรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะจ้าวหลานหยู่จึงส่งผลมาถึงโอรสองค์น้อย หากมิได้การช่วยเหลือจากอันหลิงเกอก็เกรงว่าโอรสน้อยจะมิรอดแล้ว

ครานี้อันหลิงเกอยอมบุกป่าฝ่าดงผจญอันตรายมากมายไปหายารักษาโรคที่หายากเพื่อช่วยเหลือบุตรชายของนาง ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณอันหลิงเกอจากส่วนลึกของหัวใจ

“ก่อนหน้านั้นเป็นข้าที่ใจแคบเกินไปและทำเรื่องผิดพลาดมากมาย…” อันหลิงเกอรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยต้องการกล่าวอันใดจึงส่ายหน้าแล้วบอกหลี่กุ้ยเฟยว่ามิเป็นไร

ถึงอย่างไรตนก็มองออกว่าบัดนี้หลี่กุ้ยเฟยผู้ให้กำเนิดองค์ชายน้อยมิเหมือนอดีตอีกแล้ว มิใช่บุตรีตระกูลหลี่จอมหยิ่งยโสอีกต่อไป

“พระชายามู่ ข้ายังมีอีกเรื่องอยากขอร้องและหวังว่าจักบรรลุเป้าหมายได้” ในขณะที่กล่าว หลี่กุ้ยเฟยก็คุกเข่าลงอีกครั้ง โชคดีที่อันหลิงเกอเตรียมพร้อมไว้แล้วจึงดึงตัวนางไว้มิยอมให้คุกเข่าลง

“พระองค์ตรัสออกมาตามตรงเลยดีกว่า อย่าคุกเข่าอีกเลยเพคะ” อันหลิงเกอหมดปัญญา แต่ในชั่วพริบตาที่ดึงหลี่กุ้ยเฟยขึ้นมานั้น นางก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายซูบผอมลงมากทีเดียว

เมื่อคิดไปแล้วน่าจะเป็นเพราะหลายวันมานี้อีกฝ่ายเป็นห่วงบุตรชาย ทั้งยังวิตกกังวลมากด้วยจึงซูบผอมเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอทอดถอนใจเพราะนางเกลียดสตรีผู้นี้มิได้เลย

“องค์ชายยังเยาว์วัยนัก แต่ข้ารู้ดีว่าหยู่เอ๋อไร้โอกาสขึ้นครองบัลลังก์แน่นอน ข้าจึงปรารถนาให้อ๋องมู่และพระชายาสนับสนุนองค์ชายน้อย อย่างมากก็จนเขาเติบใหญ่ ! ” หลี่กุ้ยเฟยปาดน้ำตาและมองอันหลิงเกอด้วยสีหน้าจริงจัง