บทที่ 242 ลูเซียน มิตรแห่งธรรมชาติ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

“หา?” ลูเซียนประหลาดใจกับการจัดสรรนี้ เขาไม่ได้เตรียมสุนทรพจน์มาเลยและเขาก็ไม่คิดว่าเนื้อหาจะโน้มน้าวใจมากพอ

ทีแรกลูเซียนวางแผนไว้ว่าจะเตรียมสุนทรพจน์ไว้เพื่อโน้มน้าวใจสมาชิกคณะกรรมการกิจการ แต่เพราะฟลอเรนเซียไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสุนทรพจน์ ลูเซียนจึงไม่คิดว่ามันจำเป็น เขาเลยขี้เกียจและลืมนึกถึงมันไปเลย

ไอริสทีนกับอาร์เซเลียนดูท่าทางตื่นเต้น ขณะที่ทั้งสองเอาแต่พูดว่า “เจ้าต้องอธิบายสมดุลของทฤษฎีธรรมชาติให้ครบนะ ทฤษฎีนี้คือสิ่งที่ชาวดรูอิดเราศรัทธาและเจ้าจำเป็นต้องโน้มน้าวนักเวทพวกนั้นให้ได้!”

ด้วยความตื่นเต้น สองเอลฟ์จึงไม่รู้สึกกดดันอะไร และคำพูดของทั้งสองก็ทำให้ลูเซียนรู้สึกปวดหัวตุบ เขาจำต้องพูดแบบสั้นกระชับได้ใจความแต่ทรงพลังเพราะหลักการการพูดยาวเหยียดนั้นใช้ไม่ได้ผล

‘ข้าควรจะพูดอย่างไรดี ข้าคิดเนื้อหาที่น่าเชื่อถือในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้หรอกนะ!’ ลูเซียนคิด

ลูเซียนตัดสินใจช่วยเหลือเรื่องการรับมือกับมลพิษก็เพราะเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ และมันก็แค่เป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล เขาไม่สามารถโน้มน้าวสมาชิกคณะกรรมการด้วยสุนทรพจน์แบบที่สะเทือนอารมณ์เพราะเขาเองยังไม่สามารถเข้าอกเข้าใจสถานการณ์นี้ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะร้องไห้เพราะภาวะมลพิษ

‘เอาเถอะ ลองตรวจดูก่อนว่ามีอะไรในห้องสมุดห้วงจิตที่พอจะช่วยได้บ้างไหม’

โกเลมเหล็กอะดามันเทียมนำทางลูเซียน ไอริสทีน และอาร์เซเลียนจนมาถึงประตูด้านข้างของห้องคณะกรรมการกิจการ ทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวนุ่มและเฝ้ารอให้มีคนมาเรียกตัว

ติ๊ก ต่อก

ที่ฝั่งตรงข้ามโถงทางเดิน มีนาฬิกาที่ส่งเสียงกลไกไร้เสียงสูงต่ำ ไอริสทีนเริ่มประหม่าหลังจากที่ความตื่นเต้นมอดลงและนางก็หันมาจ้องมองลูเซียน “ท่านลูเซียน ข้าควรพูดอย่างไรดี” มันไม่เหมือนกับ ‘ประเพณีต้นไม้’ ที่ทางพระราชวังของนางจัดขึ้นเลย เพราะนางไม่สามารถทำภารกิจให้ลุล่วงด้วยการทำตามคำสั่งไปทีละขั้นตอน อีกทั้ง ครั้งนี้ นางยังต้องเผชิญหน้ากับนักเวทชั่วร้าย ไม่ใช่สหายชาวเอลฟ์

‘แล้วเมื่อกี้จะตื่นเต้นทำไมกัน’ ลูเซียนคิดในใจ รู้สึกพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

เขามองไอรินทีนด้วยสีหน้าอ่อนโยน “พูดเกี่ยวกับผลลัพธ์ของความล้มเหลวจากการรับมือกับภาวะมลพิษและการแก้แค้นจากธรรมชาติที่เป็นไปได้สิ นั่นคือสิ่งที่ฝ่าบาทอธิบายได้เก่ง ใช่ไหมพะยะค่ะ”

“ถ้างั้น ผลลัพธ์ของความล้มเหลวจากการรับมือกับภาวะมลพิษ และการแก้แค้นจากธรรมชาติที่เป็นไปได้…” ไอริสทีนเอาแต่ท่องประโยคนั้นระหว่างพยายามทำให้ตนเองใจเย็นลง อาร์เซเลียนไม่ได้ประหม่าเหมือนกับไอริสทีน เพราะเขาเคยทำหน้าที่เจ้าภาพในงานสำคัญๆ ของพระราชวังมาแล้วหลายครั้ง และยังต้องสื่อสารกับแขกเหรื่อมากมายในฐานะตัวแทนจากราชวงศ์ เขาจึงไม่เหมือนกับน้องสาว เพราะเขามีประสบการณ์ในการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์มากกว่า

ฟึ่บ

ประตูข้างๆ เปิดขึ้นขณะที่ไอริสทีนยังพยายามวางโครงสร้างให้กับสุนทรพจน์ของตน หญิงสาวผู้มีเหรียญตราของจอมเวทระดับสี่และนักเวทระดับห้าก้าวออกมาจากห้องนั้น นางดูมีอายุประมาณยี่สิบปี และดูกระตือรือร้น แต่ทุกคนต่างทราบดีว่านางมีความอายมากกว่านั้น

“ท่านแขกผู้มีเกียรติคนใดอยากไปพูดก่อนคนแรกหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยโทนเสียงที่ฟังแล้วสดชื่นทว่าแผ่วเบา คล้ายกับว่านางไม่อยากจะรบกวนสมาชิกคณะกรรมการภายในห้อง

อาร์เซเลียนมองไปทางน้องสาวแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าจะเป็นคนแรกเอง” เขารู้ดีว่าไอริสทีนยังไม่พร้อม

“ฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันว่าราเชลก็ได้เพคะ” หญิงสาวพนักหน้าเล็กน้อยพลางส่งยิ้มให้

ลูเซียนได้ยินชื่อนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว ตรงหน้าเขาคือหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีดวงตาและเส้นผมสีบลอนด์ทอง ลูเซียนรู้สึกว่านางมีชีวิตชีวาและพลังงานบวก ทำให้เขารู้สึกว่าทั้งสองเคยพบกันมาก่อน

ราเชลคืออัจฉริยะทางด้านโหราศาสตร์ ศาสตร์แห่งกำลัง และมายาศาสตร์ และเป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘หอคอย’ เหมือนกับแลร์รี่ ทิโมธี และยูลิสิส นางอายุประมาณยี่สิบแปด หรือ ยี่สิบเก้าปี และแม้ว่าความก้าวหน้าของนางจะใกล้เคียงกับฟิลิปในช่วงก่อนหน้านี้ นักเวทศาสตร์มืดผู้นั้นกลับก้าวไปเร็วกว่ามากแล้วในตอนนี้

ราเชลสัมผัสได้ถึงสายตาของลูเซียนจึงส่งยิ้มตอบกลับมา จากนั้นนางก็เดินนำอาร์เซเลียนเข้าไปในโถงทางเดินและปิดประตูตามหลัง

ประมาณห้านาทีหลังจากนั้น ราเชลก็เปิดประตูและอาร์เซเลียนก็ก้าวออกมาจากโถงทางเดิน

“ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้าง” ไอริสทีนรู้สึกเป็นกังวล

อาร์เซเลียนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าตึงเครียด “พวกเขารับฟังคำพูดข้าแต่ส่งข้าออกมาก่อนจะพูดอะไร”

บรรยากาศพลันหนักอึ้ง สมาชิกคณะกรรมการปรึกษาหารือกันก่อนจะบอกให้ราเชลเชิญไอริสทีนเข้าไปข้างใน

ไอริสทีนจัดเสื้อคลุมตัวยาวเรียบง่ายแบบฉบับชาวดรูอิด มันออกแบบมาเพื่อการปีนป่าย และนางก็พยายามจะทำให้ตัวเองใจเย็นลงและดูน่าเชื่อถือ

เป็นอีกครั้งที่เมื่อห้านาทีผ่านไป ไอริสทีนก็กลับมาพร้อมกับใบหน้าน่ารักที่ดูหดหู่ ดูเหมือนนางกำลังจะร้องไห้ ก่อนที่นางจะหันไปมองอาร์เซเลียน “สิ่งแรกที่ข้าพูดคือ ‘ผลลัพธ์ของความล้มเหลวจากการรับมือกับภาวะมลพิษ และการแก้แค้นจากธรรมชาติที่เป็นไปได้’ มันเหมือนกับที่ท่านอีวานส์เพิ่งบอกข้า…”

“เจ้าท่องประโยคนั้นซ้ำหลายรอบเกินไปน่ะสิ… แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ” อาร์เซเลียนพยายามจะดึงความสนใจของน้องสาวไปเรื่องอื่น

ไอริสทีนขบริมฝีปากแล้วพูดต่อ “ท่านหญิงฟลอเรนเซียปลอบให้ข้าใจเย็นลงด้วยการส่งยิ้มให้และสุดท้ายข้าก็ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด พวกเขาไม่ได้ตอบอะไร แต่ข้าได้ยินพวกเขาถกเถียงกันตอนออกมาที่โถงทางเดิน ดูเหมือนว่าจะมีบางคนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้”

ลูเซียนพยายามปลอบใจเอลฟ์ทั้งสอง ในขณะที่อ่านข้อมูลจากห้องสมุดห้วงจิต “ฝ่าบาทได้พยายามเต็มที่แล้ว…”

“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร…” ไอริสทีนมองไปทางประตูด้านข้างที่ปิดอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “หากว่าเราล้มเหลว ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสภาเวทมนตร์จะแย่ลง… แต่ว่านะ ท่านอีวานส์ ท่านจะเป็นเพื่อนของเราต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน ในที่สุดประตูข้างก็เปิดออกอีกครั้งหลังจากปิดสนิทมาสักพัก ราเชลส่งยิ้มให้ลูเซียนก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “อีวานส์ ตาท่านแล้ว”

ลูเซียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับทักซิโดสีดำเข้าคู่กับแว่นตากรอบทอง มันเป็นชุดทางการ เขาพยักหน้าและส่งยิ้มให้หลังจากได้ยินคำพูดของราเชล เขาจัดคอปกกับชายแขนเสื้อก่อนจะเดินตามนางเข้าประตูไป

ด้านหลังประตูเป็นทางเดินแคบๆ แสนเงียบงัน บนใบหน้าราเชลมีรอยยิ้มสุภาพประดับอยู่ แต่นางไม่ได้เอ่ยอะไรในระหว่างนำทางเลย

ลูเซียนเลี้ยวตรงมุมหนึ่งหลังจากก้าวเดินเข้ามาประมาณสิบเก้า และก็ได้เห็นสมาชิกคณะกรรมการที่นั่งล้อมวงอยู่ตรงโต๊ะตัวใหญ่

บางคนก็สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์ บางคนก็สวมเสื้อผ้าทางการรูปแบบแตกต่างกันไป แต่ว่ายังมีเก้าอี้ว่างอยู่หลายตัวและมีคนมาร่วมประชุมน้อยกว่าที่ลูเซียนคาดการณ์เอาไว้

สมาชิกคณะกรรมการกิจการ หากไม่รวมคนอย่างฟลอเรนเซีย มักจะรับผิดชอบงานอยู่นอกฝ่าย เหมือนกับที่โรเจริโอต้องไปทำเมื่อหลายปีก่อน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีสมาชิกเพียงครึ่งหนึ่งอยู่ในเมืองอัลลิน แต่ว่า วันนี้กลับมีเพียงสมาชิกสิบเก้าคนเท่านั้น

การที่กฎจะผ่านได้ สมาชิกคณะกรรมการสองในสามจำเป็นจะต้องเห็นชอบด้วย

ราเชลพาลูเซียนไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับสมาชิกทุกคน แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฟลอเรนเซีย นางยกมือขวาขึ้นและโบกน้อยๆ เพื่อบอกให้ลูเซียนไม่ต้องประหม่า

ลูเซียนกระแอมไอแล้วเปิดปากช้าๆ “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน อรุณสวัสดิ์ขอรับ ข้าคิดว่าท่านสมาชิกส่วนใหญ่คงจะมีทายาทที่สืบทอดสายเลือดพวกท่าน เครือญาติ และสหาย ใช่ไหมขอรับ อากาศที่พวกเขาหายใจ น้ำที่ดื่ม และทรัพยากรต่างๆ ที่ได้มาจากทะเล ป่า และภูเขา ต่างเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ได้”

ลูเซียนใช้วิธีการเริ่มต้นสุนทรพจน์ที่แตกต่างออกไป และมันก็ช่วยดึงดูดความสนใจจากสมาชิกในที่นี้ โรเจริโอกำลังมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“หากเราเร่งการพัฒนาด้วยการทำลายธรรมชาติ คนที่ท่านรักจะ…” ลูเซียนบรรยายถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ ตามที่คำทำนายจากนักโหราศาสตร์บอกไว้

ลูเซียนพยายามสุดฤทธิ์ที่จะไม่หัวเราะออกมาแล้วกล่าวสรุปด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจำเป็นต้องได้ในสิ่งที่ต้องการขณะกำลังพัฒนา แต่ว่า ระหว่างกระบวนการนั้นเราไม่ควรทำลายสิ่งที่ชีวิตลูกหลานของเราจะใช้พึ่งพิงต่อไป ข้าคิดว่าการพัฒนาของเราจะต้องมีความยั่งยืน และเราจำเป็นต้องพัฒนาเวทมนตร์และเก็บทรัพยากรเอาไว้ แต่เราไม่สามารถทำลายสภาพแวดล้อมที่จะช่วยให้ลูกหลานของเรามีชีวิตรอดได้ การพัฒนาจะไม่มีทางหยุดลงตราบใดที่ธรรมชาติไม่ได้เสียหายจนฟื้นฟูกลับคืนมาด้วยตัวมันเองไม่ได้อีกต่อไป”

ลูเซียนลอกเลียนแบบแนวคิดนี้มาจากหนังสือที่เกี่ยวกับการเมือง…

“การพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นแนวคิดที่ดี อีวานส์ ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้วล่ะ เราจะบอกผลให้ทราบหลังจากลงคะแนนเสียง” ฟลอเรนเซียเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอบอุ่น

ลูเซียนโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วตามราเชลออกไปจากห้องประชุม

‘เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้เป็นหนึ่งในคนที่จะอยู่ต่อในห้องและถกเถียงกับเรื่องที่เกี่ยวกับสภาเวทมนตร์กันนะ ข้าไม่อยากทำแค่นั่งรอด้านนอกและรอฟังผลเลย’

ไฟกองเล็กลุกโชนขึ้นในความคิดของลูเซียน

ด้านนอกห้องประชุม

“ท่านอีวานส์ เป็นอย่างไรบ้าง” ไอริสทีนถามด้วยความอยากรู้ และวิตกกังวล

ลูเซียนทวนในสิ่งที่เขาพูดต่อหน้าสมาชิกคณะกรรมการและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “กระหม่อมไม่ทราบว่าคำพูดของกระหม่อมจะดีพอที่จะโน้มน้าวพวกเขาได้หรือไม่ และเราก็ต้องรอผลการลงคะแนนก่อนพะยะค่ะ”

ลูเซียน ไอริสทีน และอาร์เซเลียนนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ตัวยาวนอกประตูโดยไม่พูดอะไร เสียงนาฬิกาที่สุดปลายทางเดินเริ่มจะทำให้พวกเขาหวั่นวิตกไม่น้อย

ทั้งสามรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาเดินช้าลงกว่าปกติท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้งนี้ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ประตูด้านข้างก็เปิดออกช้าๆ ในตอนที่อาร์เซเลียนกำลังจะลุกขึ้นเดินจากไป ฟลอเรนเซียก้าวออกมาจากโถงทางเดิน นางสวมชุดกระโปรงยาวเป็นชั้นๆ สีม่วงโดยมีเหรียญตราอาร์คานาหกดาวกับเหรียญตราเวทมนตร์แปดวงแหวนประดับบนอก

“เจ้าชายอาร์เซเลียน เจ้าหญิงไอริสทัน และอีวานส์ ผลออกมาแล้วล่ะ มีผู้ลงคะแนนไม่เห็นด้วยสิบคนและอีกเจ็ดคนสนับสนุนข้อเสนอนี้ในรอบแรก ดังนั้นข้อเสนอจึงถูกปฏิเสธ แต่ทว่า เราปรึกษากันว่าควรจะปรับปรุงข้อเสนอนี้ และลงคะแนนเสียงกันรอบสอง จึงได้คะแนนจากผู้ที่เห็นด้วยกับข้อเสนอใหม่สิบหกคน และอีกสามคนไม่เห็นด้วย ข้อเสนอใหม่จึงผ่านการพิจารณา กฎข้อนี้จะไม่เข้มงวดเหมือนที่เจ้าคิด บทลงโทษสำหรับโรงงานแปรธาตุที่ละเมิดกฎการขจัดมลพิษจะไม่รุนแรงมาก และเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาทำตามกฎ เราได้ตัดสินใจจะมอบเงินสงเคราะห์ และผลประโยชน์จากการนำธาตุที่แยกออกมาใช้ใหม่ได้”

ฟลอเรนเซียมองไปทางเอลฟ์ทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง เหตุผลที่พวกเขายอมให้ข้อเสนอใหม่นี้ผ่านก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตรของสภาอย่างเอลฟ์และชาวดรูอิด เหล่านักเวททราบดีว่าหากสภาพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอาจมีชีวิตที่เลวร้ายในอนาคต นักเวทที่ซ่อนตัวอยู่อีกฝั่งช่องแคบมรสุมและรอดชีวิตจากอันตรายภายในเทือกไร้แสงคือตัวเองที่สมบูรณ์แบบ

อาร์เซเลียน และไอริสทีนต่างถูกทรมานจากความหวังและการสูญเสียความหวังมานับหลายครั้ง พวกเขาจึงพอใจกับผลลัพธ์นี้ไม่น้อยเลย เพราะนั่นคือกฎที่ชัดเจนซึ่งตามมาด้วยผลประโยชน์มากมาย ทั้งสองแตะนิ้วชี้บนหน้าผาก นี่คือวิธีการแสดงความเคารพของชาวเอลฟ์

“เรามองเห็นถึงความจริงใจของสภาเวทมนตร์ และเราหวังว่ากฎข้อนี้จะเข้มงวดขึ้นเมื่อมีโรงงานแปรธาตุเพิ่มขึ้นมาก และนักเวทได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมแล้ว แล้วก็ เราจะไปรายงานสถานการณ์ให้กับเหล่าผู้เฒ่าและทางพระราชวังทราบเดี๋ยวนี้”

ฟลอเรนเซียเฝ้ามองเอลฟ์ทั้งสองเดินหายไปในโถงทางเดินและเริ่มส่งข้อความ นางหันมายิ้มให้ลูเซียนก่อนจะพูดว่า “อะไรกัน ลูเซียน ผิดหวังเช่นนั้นหรือ”

“เอ่อ เป้าหมายข้าก็ถือว่าสำเร็จได้ล่ะมั้งขอรับ” ลูเซียนอดรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ ไม่ได้จริงๆ

ฟลอเรนเซียไขว้มือไปข้างหลังแล้วจ้องมองลูเซียนด้วยดวงตาสีเขียวคู่นั้น

“เจ้าจะต้องแข็งแกร่งมากพอ แล้วคณะกรรมจะพิจารณาคำพูดของเจ้าอย่างจริงจัง หากว่าเจ้าสามารถทำให้นักเวทส่วนใหญ่เคารพเจ้าได้และมีอิทธิพลที่จะทำให้ใครๆ ต่างหวาดกลัว ทุกอย่างที่เจ้าพูดจะผ่านความเห็นชอบ พ่อหนุ่มน้อย นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่ดูน่าดึงดูด และเจ้าก็ยังต้องเดินทางอีกไกล”

“โอลิเวอร์ สามีข้า คือชายผู้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นเสือผู้หญิง แต่ข้าก็ยังรักเขาสุดหัวใจ พ่อหนุ่มน้อย ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นชายแบบนั้นได้ในอนาคต และมีเด็กสาวที่รักเจ้าอย่างสุดหัวใจ” ฟลอเรนเซียโบกมือให้แล้วหันหลังกลับเข้าไปในโถงทางเดินห้องประชุมเพื่อจัดการเรื่องที่ต้องหารือหัวข้อต่อไป

ลูเซียนเดาะลิ้นหลังจากที่ประตูปิดลงแล้ว

‘มหาจอมเวทอย่างนั้นรึ หึ ยังต้องเดินทางอีกไกลจริงๆ นั่นแหละ’

ไอริสทีนกับอาร์เซเลียนกลับมาขณะที่เขากำลังขบคิดเรื่องนั้นอยู่

“ท่านอีวานส์ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ท่านทำเพื่อเรา แม้ว่าผลจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง การช่วยเหลือของท่านคือเหตุผลที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ หาได้ยากที่นักเวทผู้หนึ่งจะมองการณ์ไกลและรักในธรรมชาติเช่นท่าน ข้าจะลงชื่อขอตำแหน่ง ‘มิตรแห่งธรรมชาติ’ ให้ท่านหลังจากที่ข้ากลับไปถึงพระราชวัง มันคือสัญลักษณ์ของมิตรภาพจากพวกเราชาวเอลฟ์” อาร์เซเลียนเอ่ยขึ้นก่อน

ไอริสทีนยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “ท่านอีวานส์ ไม่ต้องห่วงนะ ข้ามั่นใจว่ากฎข้อนี้จะต้องพัฒนาขึ้นแน่ๆ เรารู้ว่าท่านทำเพื่อเรามากเพียงใด ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับท่าน ข้าอยากมอบ ‘พรแห่งเอลฟ์’ ให้แก่ท่าน”

นางหยิบใบไม้ที่หน้าตาดูธรรมดา แต่กลับมีกลิ่นอายพลังงานของธรรมชาติออกมา

ลูเซียนไม่ปฏิเสธ ในเมื่อมันคือวัตถุดิบหลักในการปรงน้ำยาสำคัญ

น้ำยามีชื่อว่า ‘บิน’ และมันก็เป็นน้ำยาสนับสนุนที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เขาเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ วัตถุดิบที่ต้องใช้คือใบไม้ที่ร่วงลงจากต้นไม้ของชาวเอลฟ์ และจะต้องได้รับพรจากเอลฟ์สักคนด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นวัตถุดิบที่หาได้ยากมาก การใช้น้ำยาในตอนจะเลื่อนระดับขั้น จะทำให้เขาประทับโครงสร้างเวทมนตร์สำหรับคาถาบินไว้ในร่างกายได้ และพลังจิตของเขาก็จะสูงกว่านักเวทระดับสามทั่วไปถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์

มันเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลย

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ลูเซียนรับใบไม้นั้นมาแล้วก็ตระหนักได้ว่าบนตัวเขายังมีพรอยู่อีกหนึ่งพรจากวิญญาณแค้นของเด็กหญิงที่ชื่อแมรี่ พรนั้นอยู่กับเขามานานแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาตัดสินใจจะหาตำราเวทมนตร์เกี่ยวกับดวงวิญญาณ วิญญาณแค้น คำสาป และพรมาอ่านหลังจากเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับสาม

‘ข้าน่าจะเขียนโน้ตเปียโนเพลง “วายุ” เป็นของขวัญวันเกิดให้กับนาตาชาหลังจากกลับบ้านไปวันนี้ ข้าจำเป็นต้องจดจ่อกับการพัฒนาทักษะเวทมนตร์ และพยายามเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสามภายในครึ่งปีนี้ คำพูดของฉันจะไม่มีใครนำไปคิดจริงจังถ้าข้ายังอ่อนแอ’ ลูเซียนครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ในใจ

…………………