ตอนที่ 1440 พันธมิตรร่วมฆ่า

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1440 พันธมิตรร่วมฆ่า โดย Ink Stone_Fantasy

บูมมม!

ร่างของฉินเทียนพุ่งทะลวงออกมาจากซากกำแพงหินพร้อมใบหน้าแสนเศร้าหมอง

“นี่เพิ่งผ่านไปนานเพียงใด? ไฉนเพลงดาบของเจ้าบ้านั้นพัฒนาขึ้นอีกแล้ว! หากมิใช่เพราะข้าสวมเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ ปานนี้ข้าคงชะตาขาดนานแล้ว!”

ฉินเทียนกัดฟันกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ

อานุภาพทำลายล้างของจันทร์สลายช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

หากมิใช่เพราะอาณาจักรพลังของตนที่สูงกว่าเย่หยวนมาก ผนวกกับเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอย่างเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ ตัวฉินเทียนคงกลายเป็นศพไปแล้ว!

ฉินเทียนยังเข้าใจว่า ไพ่ตายของเย่หยวนมีเพียงสยบดาราเท่านั้น

แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนจะทะลวงขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ระดับสองไปแล้ว ทั้งยังคิดค้นกระบวนท่าใหม่ออกมาอีก

จันทร์สลาย กระบวนดาบนี้มันทรงพลังเกินไป!

แม้ว่าฉินเทียนจจะสวมชุดเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ แต่อวัยวะภายในของเขาตอนนี้บอบช้ำหนักเช่นกัน ซึ่งกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง

แต่คมดาบนั้นของเย่หยวนก็หนักเกินไปจริงๆ อาการบาดเจ็บในปัจุบันของเขาค่อนข้างสาหัส

“ข้าปล่อยให้เย่หยวนอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ความเร็วในการพัฒนาของเจ้านั้นเร็วเกินไปมาก! จนยามนี้มันมีกำลังมากพอที่จะคุกคามสร้างภัยให้ข้าแล้ว! หากให้เวลามันอีกไม่กี่ปี เกรงว่าข้าจะหาใช่คู่มือของมันอีกต่อไป!”

ฉินเทียนดูโหดเหี้ยมขึ้นหลายขุม ขณะกำลังจะไล่ล่าตามเย่หยวนไป เหล่าคนที่เหลือก็หลบหนีมาถึงที่นี่พอดี

สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะผู้ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางหาใช่ใครอื่นนอกจากต้วนเฟย!

เสียงหายใจยามนี้ของต้วนเฟยหอบตระหนี่ดูยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาถูกเผาจนเนื้อหนังกรอบ ดูน่าสยดสยองอย่างหาที่เปรียบไม่

“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะมีผู้บุกรุกที่แอบแฝงตัวเข้ามาเป็นประมุขวังเทวะสัมปรายภพเช่นนี้ เตรียมตัวตาย!”

ก่อนหน้านี้ฉินเทียนปกปิดกลิ่นอายของตนมาโดยตลอด แม้กระทั่งต้วนเฟยก็ยังมิอาจตรวจจับได้

ทว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของฉินเทียนยังไม่ฟื้นตัวดี จึงไม่สามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนได้มิดชิดพอ

โชคยังดีที่อาการบาดเบของต้วนเฟยสาหัสกว่าเขามาก ตอนนี้อีกฝ่ายสามารถสำแดงพลังได้เพียงสองจากสิบส่วนเท่านั้น

ความแข็งแกร่งของฉินเทียนในปัจจุบันเหนือชั้นกว่าที่เขาคิดไว้มาก!

หากมิใช่เพราะฉินเทียนถูกศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนนี้ปฏิเสธ เขาก็แกร่งกล้าพอที่จะต่อกรจวบจนฆ่าอีกฝ่ายได้เลย

อย่างไรก็ตามแต่ต้วนเฟยก็มิได้ทำให้ผิดหวัง เขางัดเอาไพ่เด็ดต่างๆนาๆออกมาสู้รบปรบมือจนยืดเวลาการต่อสู้ได้นานขึ้น

หลังศึกสัประยุทธ์เดือด อาการบาดเจ็บของทั้งสองกลับแย่ลงยิ่งกว่าเดิม หัวฉินเทียนในขณะนี้แทบลุกเป็นไฟด้วยความวิตกกังวล

เขาไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองต้องจำนนก่อนจะได้ฆ่าเย่หยวนแน่นอน

“หยุด! เลิกตีกันได้แล้ว!”

ทันใดนั้นเองฉินเทียนก็โพล่งคำรามดังขึ้น

“หึ! เจ้าบอกให้เลิกตีกัน? แล้วยังสั่งให้หยุดอีก? ดินแดนนภาบรรพตของเรามีกฎสังหารผู้บุกรุกได้ไร้ปรานี! ตอนนี้เจ้ากล้าลอบเข้ามาในซากอักขระเทวะ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ข้าจะยอมปล่อยเจ้าออกไปเฉยๆ?”

ต้วนเฟยผู้นี้ก็ดื้อรั้นเฉกเช่นกัน ศึกสัประยุทธ์ยาวนานปานนี้ จะยอมปล่อยฉินเทียนไปง่ายๆได้อย่างไร?

“ข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าเย่หยวน หาได้สนใจเรื่องรุกรานดินแดนนภาบรรพตของพวกเจ้าเลย! ตอนนี้มันต่างเป็นศัตรูร่วมด้วยของพวกเรา! หากพวกเราทั้งคู่ตีกันเองจนบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ มันเห็นคงไม่หัวเราะจนขาดใจ?”

สีหน้าท่าทีของต้วนเฟยมืดทมิฬลงทันที และตามที่คาดไว้ เขาร่นถอยออกมาทันทีและหยุดมือฉับพลัน

“นี่หมายความอย่างไรกัน?”

ต้วนเฟยเอ่ยถามน้ำเสียงขรึม

ฉินเทียนยิ้มและกล่าวตอบว่า

“เย่หยวนมันเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยแปรเปลี่ยนในทันใด

“เป็นไปไม่ได้! เหลยต้วนเคยใช้ศาลไท่ลู่ตรวจสอบโลหิตของเขามาก่อน และเขาเองก็เป็นคนของดินแดนนภาบรรพต ทั้งยังเป็นสายเลือดที่บริสุทธิ์มากอีกด้วย! แล้วเขาจจะเป็นศิษย์น้องเล็กของเจ้าได้อย่างไร?”

ฉินเทียนครืนหัวเราะคำหนึ่งและกล่าวตอบว่า

“เหอะ เจ้านั้นมีลู่ทางวิธีการเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง แม้แต่ข้าที่ได้ยินผลลัพธ์เช่นนั้นยังประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน! ศิษย์น้องคนนั้น เวลาทำอะไรสักอย่างมักมิอาจใช้สามัญสำนึกวัดได้! มันควรจะต้องมีสมบัติล้ำค่าสักชนิดที่เราไม่รู้จักจึงสามารถปลอมแปลงได้ยันสายเลือด!”

สีหน้าของต้วนเฟยมืดขรึมลงหลายส่วน เขาเอ่ยถามว่า

“ไฉนเราชายชราต้องเชื่อเจ้า? มีหลักฐานใดอื่นหรือไม่?”

ฉินเทียนกล่าวตอบเสียงเยียบเย็นว่า

“แน่นอนว่าต้องมี! เจ้าลองคิดดูสิว่า บนดินแดนนภาบรรพตจู่ๆจะมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าที่อายุน้อยขนาดนี้ ทั้งยังทรงพลังจนต่อสู้ข้ามระดับได้อย่างไร? มันไม่แปลกเกินไปหน่อยรึ?”

ต้วนเฟยปิดปากเงียบในบัดดล สิ่งที่ฉินเทียนกล่าวไปก็ล้วนถูกต้อง

ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่ยอดอัจฉริยะระดับนั้นจะหลุดรอดสายตาของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จวบจนปัจจุบัน มันย่อมเป็นไปไม่ได้!

“ตกลง ข้าจะร่วมมือกับเจ้า แต่สมบัติที่มันถือครองต้องเป็นของข้า!”

ต้วนเฟยเอ่ยปากเสียงเข้ม

ฉินเทียนปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า

“เจ้ากับข้าล้วนเป็นคนฉลาดหัวไว อย่ามากเล่ห์เหลี่ยมเสแสร้งใส่กัน! หากเย่หยวนมีสมบัติล้ำค่าติดตัวอยู่จริงๆ ข้าเองย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือเช่นกัน! เมื่อถึงตอนนั้นต้องขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความสามารถกว่ากัน! เรื่องนี้ต้องรีบจัดการเบ็ดเสร็จ ความแกร่งกล้าของมันไม่ธรรมดา อย่าดูถูกเพียงเพราะอาณาจักรพลังของมันต่ำ!”

สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยส่ายแววเอาจริงเอาจัง เขาพยักหน้าตอบทันที

“หากการคำนวณของข้ามิได้ผิดไป เจ้านั้นน่าจะสวมเกราะอ่อนหรือเครื่องป้องกันอะไรสักอย่าง ระดับชั้นน่าจะไม่ต่ำกว่าเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ! เหอะ ข้าควรคิดถึงจุดนี้ได้นานแล้ว!”

เย่หยวนคำรามลั่นหนึ่งคำด้วยความเจ็บใจเจือโกรธเกรี้ยว

แต่ไป๋เฉินกยังกล่าวให้กำลังใจว่า

“ท่านอาจารย์เย่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง! ท่านเกือบจะสังหารยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้นได้แล้ว! กระทั่งข้ายังไม่กล้าแม้แต่จะคิด!”

เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า

“ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แต่มันก็คนเหมือนกันและทุกคนย่อมมีจุดอ่อน! และไม่เคยมีกฎว่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าหรือต่ำกว่าจะไม่มีสิทธิ์ฆ่าพวกนั้นได้! ในความเป็นจริง ขึ้นชื่อว่าการต่อสูยอมมีความเป็นความตายเป็นตัวเดิมพัน! หาได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรพลัง! ไป๋ซิ่ว ข้าขอสัญญาเลยวา ข้าจะแก้แค้นแทนไป๋หรงที่ตายไปเอง!”

ทั่วร่างไป๋ซิ่วสั่นสะท้าน เขากัดฟันกล่าววา

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้า…ข้าผิดเอง! ตอนนี้ท่านบาดเจ็บสาหัสนัก อย่าได้เสี่ยงชีวิตออกไปอีกเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านจริงๆ ไป๋ซิ่วคนนี้คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองอีกแน่นอน แม้นต้องตายเป็นร้อยครั้ง!”

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“เนื่องจากเจ้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสสูงสุดอีกเลย!”

เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้น แต่ละคนก็โพล่งตัวขึ้นมาและกำลังจะกล่าวตอบ แต่เย่หยวนกลับยกมือหยุดเอาไว้และกล่าวต่อว่า

“เป้าหมายที่ข้ามายังดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ก็เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ตราบใดที่ข้าได้มันมาครอบครอง ข้าก็จะจากไปทันที ตอนนี้ไม่มีทางออกใดอื่นหลงเหลืออีกแล้ว นอกจากเดินสำรวจต่อไป และข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อชวยพวกเจ้าเสาะหาสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆให้ อย่างน้อยในอนาคตต่อไปข้าจะได้ว่าใจว่า พวกเจ้ามีขุมพลังแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ นอกจากนั้นคงไม่มีอันใดต้องกล่าวกันอีกแล้ว”

โดยไม่ทันได้รู้ตัว พวกเขาทุกคนด็เคยชินแล้วกับการที่ต้องพึ่งพาเย่หยวนเป็นหลัก

กล่าวตามสัตย์จริง ตอนนี้ไม่มีใครเต็มใจที่จะแยกทางกับเย่หยวนจริงๆในอนาคตต่อไป

แต่พวกเขาเองก็เป็นคนของดินแดนนภาบรรพตโดยกำเนิด ย่อมทราบดีว่าผู้บุกรุกหมายถึงอะไร และหากให้ความร่วมมือก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศเลย

ถึงแบบนั้น พวกเขากลับไม่รู้สึกคิดต่อต้านเย่หยวนคนนี้แม้สักนิด

ผู้บุกรุกคนนี้ช่วยเหลือพวกเขาสร้างบุญคุณจนล้นเหลือ กระทั่งถูกไป๋ซิ่วบันดาลโทสะตบฝ่ามือเข้าใส่ เขายังไม่ตอบโต้อันใดคืน

แต่ต้วนเฟยของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์นี่สิ?

ไม่เพียงแค่เย่หยวน แต่เขาต้องการทำให้วังเทวะรัตติกาลฉายพังพินาศ!

ตอนนี้เหล่าฝูงชนเชื่อมั่นหรือต่อต้านมากกว่า มันชัดเจนดีอยู่แล้ว

“แต่ตรงหน้ามีประตูตั้งแปดบาน เราควรเลือกประตูไหนดี?”

ไป๋เฉินเอ่ยถามอย่างอดมิได้

เย่หยวนค่อยๆพยึงตัวขึ้นลุกยืนและกล่าวว่า

“ตามข้ามา”

จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในประตูบานหนึ่งทันทีโดยไม่มีลังเล

ทุกคนต่างเร่งสบตากันไปมาและติดตามเข้าไปทันที

นี่เป็นเส้นทางทอดยามที่อับแสงมีแต่ความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นทางด้านหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

ทุกคนยังคงเดินและเดินต่อไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่ยามนี้ทุกคนต่างพล่าเบลอฉับพลัน พร้อมอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนน่าสะพรึง

เบื้องหน้าคือโถงขนาดมหึมา และใต้ฝ่าเท้าของทุกคนเป็นบ่อหินหนืดไร้สิ้นสุด!

บริเวณใจกลางรอบล้อมด้วยบ่อหินหนืด ปรากฎเป็นเกาะตั้งลอยอยู่โดดเดี่ยวเหนือบ่อหินหนืดเหล่านั้น

และบนเกาะปรากฎบางสิ่งบานสะพรั่งมากมายหลากสีสัน!

“นั่น…นั่นมัน…”

เย่หยวนจับจองไปยังผลไม้ลูกนั้นด้วยความตกตะลึงใจสุดเหลือเชื่อยิ่ง

…………………………………