ตอนที่ 1539 จูเอ๋อร์กับเผ่าตาข่ายทมิฬ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ตีนเขามีบ้านไม้สีเขียวเรียงต่อกันสองสามหลังจนกลายเป็นเรือนสี่ประสาน

 

 

ฮูหยินขับเคลื่อนเมฆสีขาวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนหลังน้อย หันไปเอ่ยถามหานลี่ด้วยสีหน้ามอมยิ้ม

 

 

“ท่านอาวุโสหานคิดว่าที่นี่เป็นอย่างไร?”

 

 

หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณเข้มข้นที่พัดโชยเข้ามา ใบหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา พลางพยักหน้าน้อยๆ

 

 

ฮูหยินเห็นเช่นนี้พลันดีอกดีใจ กระตุ้นเมฆสีขาวให้ตรงไปยังกลางเรือนสี่ประสานทันที และยกมือขึ้นผลักประตูไม้ออก หมายจะส่งหานลี่เข้าไปข้างใน

 

 

แต่ในครานั้นหานลี่พลันฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า

 

 

“จากนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนสหายแล้ว ข้าน้อยเจ้าไปเองได้”

 

 

หานลี่พูดไปพลางร่างกายก็วูบไหว ชั่วครู่ก็ยืนขึ้นบนเมฆสีขาว จากนั้นพลันร่อนลงไปด้านล่างอย่างแช่มช้า

 

 

“เอ๋ สหายท่าน…” ฮูหยินพลันตะลึงงัน รู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมา

 

 

“แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังเหมือนเก่า แต่ตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย

 

 

“ขอแสดงว่ายินดีกับท่านอาวุโส เดิมทีชนรุ่นหลังอยากส่งลูกศิษย์สองสามคนมาคอยรับใช้ท่านอาวุโส เวลานี้คงไม่จำเป็นแล้ว คิดดูแล้วท่านอาวุโสคงไม่อยากให้คนมารบกวน” ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

“อืม ข้าไม่อยากให้คนนอกอยู่ข้างกายเวลาที่รักษาตัว ที่นี่ไม่เลวนัก ข้าจะพักอยู่ที่นี่สักระยะก็แล้วกัน ทางที่ดีที่สุดรีบนำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดที่เจ้าพูดถึงมาส่งให้ไวที่สุดจะดีกว่า หากได้ผลจริงละก็ ข้าจะได้รีบฟื้นฟูพลังปราณความสามารถ นั่นถึงจะลงมือปกป้องเผ่าของพวกเจ้าได้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำอย่างแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่ายาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดกำลังกลั่นอยู่ในเพลิงธรณี ชนรุ่นหลังยังต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ท่านอาวุโสโปรดอภัยด้วย” ฮูหยินเอ่ยปากตอบรับ และเอ่ยอธิบายสองสามคำ

 

 

“สองสามวัน แน่นอนว่าข้าย่อมรอได้ เมื่อได้ยาลูกกลอนเทวะมาก็นำมาส่งให้ข้าก็ได้แล้ว เจ้าไปได้แล้ว ข้าต้องการพักผ่อน” หานลี่พยักหน้า พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

เมื่อได้ยินหานลี่ออกคำสั่งไล่แขก แน่นอนว่าฮูหยินย่อมไม่รั้งรออยู่ที่นี่อย่างไม่รู้จักวางตัว หลังจากทำความเคารพในทันทีแล้ว พลันขับเคลื่อนเมฆสีขาวบินออกไปในทันที

 

 

หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพลางทอดสายตามองท้องฟ้า หลังจากที่เมฆสีขาวหายวับไปที่ขอบฟ้าแล้ว ถึงได้หันกายเดินตรงเข้าไปในห้องที่ประตูไม้ถูกเปิดออก

 

 

ห้องห้องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก ข้าวของที่ถูกจัดเรียงอยู่ล้วนจัดขึ้นอย่างง่ายๆ ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ทำขึ้นจากไม้เท่านั้น

 

 

หานลี่ไม่ได้มองสิ่งอื่น เดินตรงเข้าไปที่เตียงไม้ตรงมุมหนึ่งของห้อง ร่างกายพลิ้วไหวนั่งสมาธิลง

 

 

เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมา

 

 

“คิดไม่ถึงว่ายืนครู่เดียว จะใช้กำลังที่สะสมมาเมื่อครู่ไปจนเกลี้ยง ดูแล้วคงเสียโลหิตบริสุทธิ์มากเกินไปโดยแท้” หานลี่เอ่ยพึมพำ จากนั้นมือหนึ่งพลันลูบไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงสีขาวอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบ ขวดใบเล็กรูปทรงต่างๆ ปรากฏขึ้นในมือ

 

 

หานลี่เทยาลูกกลอนสองสามเม็ดออกมาจากทุกขวดอย่างไม่ยอมชี้แจงแถลงไข ยัดเข้าไปในปากทีเดียว จากนั้นพลันหลับตาลงละลายฤทธิ์ยา

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ครั้นเขารู้สึกว่าจุดตันเถียนมีความร้อนพัดเข้ามาระลอกหนึ่ง ไอเย็นเยียบสองสามกลุ่มพลันไล่โคจรไปตามแนวเส้นเอ็นต่างๆ ทันที จุดที่เสียหายต่างๆ ของกายเนื้อรู้สึกชุ่มฉ่ำขึ้นไม่หยุด

 

 

หานลี่พลันรู้สึกยินดี

 

 

ยาลูกกลอนเหล่านี้คู่ควรกับที่เขาใช้สมุนไพรอายุหมื่นปีปรุงขึ้นเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะโดยแท้ สรรพคุณของมันช่างล้ำเลิศนัก

 

 

หลังจากผ่านไปแค่ประเดี๋ยวเดียว บนร่างของหานลี่พลันมีลำแสงสีทองอ่อนปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะพลันมีเงาร่างสีทองรางเลือนปรากฏขึ้น กะพริบวาบไปมาไม่หยุด

 

 

ภายในห้องไม้ พลันตกอยู่ในความเงียบสงัดในพริบตา…

 

 

ในเวลาเดียวกันฮูหยินเองก็ขับเคลื่อนเมฆสีขาวกลับเข้ามาที่เมืองดิน และร่อนลงตรงหน้าวิหารในจัตุรัส

 

 

ปุโรหิตระดับต่ำสวมชุดคลุมสีขาวยี่สิบสามสิบคนยังคงรอคอยอยู่เงียบๆ

 

 

“เหยียนอู่ เจ้าตามข้ามา นอกจากนี้พวกเจ้าไปเรียกกลุ่มล่าสัตว์ที่พบท่านหานกลุ่มแรกมาหาข้า ข้าต้องการซักถามให้ละเอียด”ประโยคแรกของฮูหยินก็คือการออกคำสั่งเช่นนี้

 

 

“เจ้าค่ะ!” ……

 

 

มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นรับคำสั่งในทันใด ส่วนสตรีอสรพิษผู้งดงามที่มาส่งหานลี่ถึงที่นี่พลันเดินตามฮูหยินเข้าไปในวิหารอีกครั้งอย่างเชื่องฟัง

 

 

“เจ้าพาคนผู้นั้นมาถึงที่นี่ ลองบอกความรู้สึกที่มีต่อคนผู้นั้นมาให้ข้าฟังซิ รวมทั้งทุกสิ่งที่สังเกตเห็น อธิบายมาให้ละเอียดห้ามมิให้ตกหล่น!” ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ศิษย์จะรายงานตามความจริงแน่นอนเจ้าค่ะ! ครั้นเมื่อศิษย์เข้าเวรที่ท่าเรือ…” เหยียนอู่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกตึงเครียด แต่ก็อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เดินทางมาพร้อมกับหานลี่ออกไปและสิ่งที่ตนเองสังเกตเห็นทั้งหมดออกไปจนหมดเปลือก

 

 

แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะฟังดูแล้วน่าเบื่อไร้สีสัน แต่ฮูหยินกลับตั้งใจฟังอย่างไม่กะพริบตา…

 

 

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม กลุ่มมนุษย์อสรพิษของชายร่างใหญ่ที่พบหานลี่เป็นกลุ่มแรกก็ขี่อสูรกิ้งก่าเข้ามาในเมืองดิน มายังด้านหน้าวิหาร

 

 

แค่พูดคุยกับมนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวที่รักษาการณ์อยู่ด้านนอกวิหารนิดหน่อย พวกเขาก็เร่งรุดเข้ามาด้านในวิหาร แต่เมื่อกลุ่มคนเดินเข้ามา หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ถึงได้ออกมาพร้อมกับเหยียนอู่

 

 

เวลานี้ฮูหยินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในวิหาร หลังพิงพนักพิง ใบหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่อาจตัดสินใจอะไรได้

 

 

“อันใด ท่านแม่มีข้อสงสัยอะไรหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงไพเราะกังวานก็ดังขึ้นท่ามกลางวิหารที่เงียบสงัด

 

 

“จูเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? มาถึงเผ่าเมื่อใดกัน?” ฮูหยินได้ยินเสียงนี้พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมาขณะเอ่ยถาม

 

 

ชั่วพริบตานั้นเบื้องหน้าของฮูหยินพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ เงาร่างแน่งน้อยของมนุษย์อสรพิษปรากฏขึ้นรางๆ ในลำแสงวิญญาณ

 

 

นี่คือมนุษย์อสรพิษสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี เครื่องหน้างดงามไม่เป็นสองรองใคร บนศีรษะมีเรือนผมสีดำยาว

 

 

มวยผมของหญิงสาวผู้นี้มีห่วงกลมขนาดเท่าหัวแม่มือสีเงินแวววาวมัดอยู่ แผ่นหลังแบกคันธนูแกร่งสีเหลืองและลูกธนูกระดูกสีขาวสามดอก ตรงเอวมีถุงหนังสีดำสนิทใบหนึ่ง ในมือถือธงสีขาวโพลนเอาไว้ด้ามหนึ่ง

 

 

กายท่อนล่างของนางเป็นอสรพิษ แต่สีขาวผ่องจนแทบมองไม่เห็นเกล็ดใดๆ

 

 

สตรีผู้นี้ยืนอย่าสง่าผ่าเผยอยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มระรื่นให้กับฮูหยิน พวงแก้มเผยลักยิ้มหวานหยดย้อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

“จูเอ๋อร์จริงๆ ด้วย! คิดไม่ถึงว่าไม่พบกันหลายปี พลังยุทธ์ของเจ้าจะพัฒนาจนมาถึงขั้นนี้แล้ว” ฮูหยินดีอกดีใจเป็นพิเศษ รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น โอบหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู

 

 

“ข้าตกใจแทบแย่ ท่านแม่ไม่พบกันสองสามปีทะลวงจนถึงระดับเทพแปลงได้แล้วหรือ” หญิงสาวอสรพิษนามว่าจูเอ๋อร์กลับหัวเราะคิกคักออกมา

 

 

“ข้ามีความสามารถทะลวงจุดคอขวดที่สองสามร้อยปีก็ไม่อาจทะลวงได้ที่ไหนกัน แค่กิน ‘ผลฝึกเซียน’ เข้าไปเท่านั้น” ฮูหยินกลับหุบยิ้ม แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

“อะไรนะ ท่านแม่กิน ‘ผลฝึกเซียน’! มันจะสูญเสียอายุขัยไปมิใช่หรือ” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี คว้าข้อมือของฮูหยินเอาไว้ หลังจากใช้พลังวิญญาณตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว พลันหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต

 

 

“หากชีวิตก็ยังไม่มี มีอายุขัยมากหน่อยแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ของเจ้าไม่ได้กลับมากับเจ้าหรือ?” ฮูหยินหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ทันใดนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยความคาดหวังอยู่เต็มอก

 

 

“คราที่ข้าได้รับจดหมายจากท่านแม่ ท่านอาจารย์ก็ออกจากเกาะไปเยี่ยมเยียนสหายพอดี ข้ากลัวว่าในเผ่าจะเกิดเรื่องไม่ทันการณ์ จึงนำสมบัติที่ท่านอาจารย์เก็บเอาไว้ในเกาะมาสองสามชิ้นกลับมาเพียงลำพัง เมื่อครู่ตอนที่เข้ามา ได้เห็นท่านแม่ซักถามคนอื่นเกี่ยวกับ ‘ท่านหาน’จึงไม่ได้ปรากฏตัวชั่วคราว” หญิงสาวมีสีหน้ากังวลใจ แต่ก็ยังเอ่ยอธิบายอย่างชัดเจน

 

 

“อาจารย์ของเจ้าไม่อาจกลับมาได้ นั่นยิ่งแย่แล้ว” ฮูหยินได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

“ท่านแม่ ในเผ่าเกิดเรื่องร้ายจริงๆ หรือ ข้านำ ‘ธนูทะลวงสวรรค์’ ของท่านอาจารย์มาด้วย ขอแค่ผู้มาเยือนมีพลังยุทธ์ไม่มากกว่าข้าเกินสิบเท่า ก็สามารถสังหารได้ในธนูดอกเดียว” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างคลายโมโหครึ่งหนึ่งและเชื่อมั่นครึ่งหนึ่ง

 

 

“จูเอ๋อร์ แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะพัฒนาขึ้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากข้าในอดีตมากนัก แม้ว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า เกรงว่าก็ต่อกรกับวิบัติครั้งนี้ไม่ได้ หากท่านอาจารย์เจ้ามาด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยที่นี่เอาไว้สองสามส่วน” ฮูหยินลูบศีรษะของหญิงสาวไปมา แล้วเอ่ยเสียงค่อย

 

 

“แม้ว่าครั้งนี้ข้าจะเร่งรุดมา แต่ท่านแม่พูดเรื่องวิบัติเอาไว้อย่างคลุมเครือ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับเผ่าเรากันแน่ ทำให้ท่านแม่กังวลใจเช่นกัน แม้กระทั่งยอมกินผลฝึกเซียนเข้าไปอย่างไม่เสียดาย และดึงผู้บำเพ็ญเพียรชนชั้นสูงนิรนามเข้ามาเป็นพวก” หญิงสาวหมอบอยู่ในอกของฮูหยิน เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของมารดาตน ใบหน้ายังคงเผยสีหน้าเจ็บปวดใจออกมา

 

 

“เจ้ากลับมาถึงเกาะแล้ว หากปล่อยให้เจ้าไปอีกเดาว่าคงอันตรายยิ่งกว่า ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ฮูหยินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตบบ่าหญิงสาวขณะเอ่ย

 

 

“เผ่าอื่นอีกสองเผ่าถูกทำลายไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้แล้ว”

 

 

“อืม ในจดหมายของท่านแม่ได้เอ่ยเอาไว้เล็กน้อย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นท่านแม่ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกระมัง สองเผ่านั้นเดิมทีก็อ่อนแอกว่าเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราอยู่แล้ว พลังยุทธ์ของมหาปุโรหิตยังสู้ท่านแม่ก่อนที่จะกินผลฝึกเซียนไม่ได้” แม้นว่าหญิงสาวจะใจหายวาบ แต่ปากกลับจงใจเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น

 

 

“แต่เจ้ารู้ว่าผู้ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งสองเผ่าคือผู้ใดหรือไม่?” ฮูหยินเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

“ท่านแม่บอกว่าไม่มีเบาะแสมิใช่หรือ?” หญิงสาวพลันตะลึงงัน อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

 

 

“เผ่าทั้งสองเผ่าถูกสังหารจนหมด แม้ว่าจะลึกลับขนาดไหน จะไม่เผยร่องรอยอะไรออกมาได้อย่างไร ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ลงมือเกรงว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าตระกูลวาของพวกเราในอดีต เผ่าตาข่ายทมิฬ” ฮูหยินเอ่ยสีหน้ามีแววหวาดกลัวฉายแวบผ่านไป

 

 

“เผ่าตาข่ายทมิฬ! เป็นไปไม่ได้ จากในคัมภีร์กล่าวว่าเผ่านี้ถูกเผ่าตระกูลวาของพวกเรากำจัดไปจนสิ้นซากมาตั้งไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว เหตุใดจะมาปรากฏตัวที่น่านน้ำแห่งนี้!” หญิงสาวแสดงออกว่าเคยได้ยินคำว่าเผ่าตาข่ายทมิฬ ใบหน้าเล็กๆ ซีดเผือด เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทาในเวลาเดียวกัน

 

 

“ใช่แล้ว ตามหลักแล้วตอนที่เผ่าตาข่ายทมิฬและเผ่าตระกูลวาของพวกเราทำสงครามกันที่แผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี น่าจะสังหารคนเผ่าตาข่ายทมิฬไปจนหมดแล้ว แต่ถ้าหากมีพวกกากเดนหลบหนีออกไปนอกมหาสมุทรได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเผ่าตาข่ายทมิฬแล้ว จะมีเผ่าใดที่มีความชอบเข่นฆ่าบุรุษของเผ่าเราและกินเนื้อของสตรีของเผ่าในเวลาเดียวกันอีกล่ะ สิ่งเดียวที่เขาให้รู้สึกฉงนก็คือ พวกเราทั้งสามเผ่าปักหลักอยู่ที่นี่มาสองสามพันปีแล้ว หากเผ่าตาข่ายทมิฬมีชีวิตอยู่อยู่ในละแวกนี้จริง เหตุใดวันนี้ถึงเพิ่งก่อความวุ่นวาย” ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเอ่ยจนถึงประโยคสุดท้าย แววตาพลันฉายแววตกตะลึงระคนสงสัยออกมา