ตอนที่ 387 หิมะถล่ม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 387 หิมะถล่ม

เมื่อเสียงแผ่นดินไหวสั่นสะเทือน วัดเฉินเมี่ยวแห่งนี้ก็เปรียบดั่งนาวาที่โซซัดโซเซท่ามกลางคลื่นที่พัดโหมกระหน่ำ

มันกำลังสั่นคลอน กำลังจะพังทลาย และกำลังจะถูกฉีกให้เป็นเสี่ยง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนจับพระวรกายของจักรพรรดิเหวินตี้ไว้แนบแน่น จากนั้นจึงเหาะเหินลงมาจากเนินตำหนัก แล้วหย่อนตัวลงบนผืนธรณี เขามองไปยังกลุ่มคนที่ตอนนี้กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก “รีบหนี… ! ” เขาตะโกนบอก

เหล่าขุนนางที่กำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็หันไปมองภูเขาหิมะอย่างงุนงง

หมอกจากหิมะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งภูเขา จากนั้นก็แผดเสียงคำรามสนั่น ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้กำลังจะถล่มลงมา !

หิมะหนาเตอะได้ประสานร่วมกับก้อนหินขนาดยักษ์แล้วกลิ้งลงมาอย่างบ้าคลั่ง ก้อนหิมะก้อนใหญ่ดั่งภูเขาได้กลิ้งลงมาโขกกระแทกแตกหัก พลังทำลายล้างของมันได้เพิ่มมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ และหุบเขาแห่งนี้ก็ได้สั่นกระเทือนขึ้นมาในวินาทีนั่นเอง ก้อนหิมะที่ถล่มนั้นได้กลบวัดเฉินเมี่ยวจนมิดในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็พัดเข้าถล่มหุบเขาแห่งนี้ราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด

ผู้คนต่างส่งเสียงโอดครวญร้องขอชีวิต ต่างก็วิ่งหนีมาปากทางเข้าออกหุบเขากันจ้าละหวั่น พวกเขาต่างก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทว่ากลับไร้ชีวิตใดที่จะสามารถหลบหนีคลื่นยักษ์ของหิมะที่พัดโหมกระหน่ำนี้ได้ !

บางคนได้ถูกก้อนหินยักษ์กระแทกจนเละไร้ชิ้นดี

บางคนก็ถูกก้อนหิมะกรีดจนศีรษะขาด

และยังมีผู้คนจำนวนมากถูกหิมะทับถมอย่างไร้แรงต้านทาน

ฟู่เสี่ยวกวนได้กัดฟันอดกลั้นเพื่อนำตัวองค์จักรพรรดิหนีอย่างไม่ยอมลดละ ให้ตายสิทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะ จะหนีไปได้เยี่ยงไร ?

ทว่าช่วงที่อันตรายที่สุดก็ได้มาถึง เมื่อภูเขาหิมะขนาดใหญ่ได้ถล่มลงมาทำให้ภูเขาน้อยใหญ่โดยรอบต่างก็ถล่มตามลงมาอย่างมิขาดสาย พื้นที่หุบเขาบัดนี้ได้ถูกหิมะย้อมเป็นสีขาวโพลน แม้ว่าเขาคิดจะเหาะหนีก็มิอาจทำได้ !

เขาทุ่มแรงสุดกำลังที่จะหลบหนีออกจากหมอกหิมะ เขากระโดดสุดแรงเพื่อที่จะสามารถมองไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะมองหาแหล่งกำบังที่ปลอดภัย

ทว่าแรงกำลังที่ออกไปทั้งหมดนั้นกลับเปล่าประโยชน์

และในเวลานั้นเอง นักบวชในชุดแดงท่านนั้นก็ได้ทะลุหิมะออกมา เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วกุมตัวขององค์จักรพรรดิออกไป

เขาเตรียมที่จะนำจักรพรรดิเหวินเหินออกไป แต่ทว่าพระองค์นั้นได้ตรัสห้ามเสียก่อน “ปล่อยข้า แล้วพาโอรสของข้าออกไปแทนเถิด ! ”

นักบวชในชุดแดงชะงัก หลังจากนั้นจักรพรรดิเหวินจึงทรงตรัสต่อ “นี่เป็นราชโองการฉบับสุดท้ายที่จะมอบหมายให้กับเจ้า ! ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมิอาจทราบได้ว่าจะหนีได้สำเร็จหรือไม่ ! ”

“จงทำให้ดีที่สุด จงน้อมรับลิขิตแห่งสวรรค์ ! ”

“กระหม่อม…น้อมรับราชโองการฝ่าบาท ! ”

นักบวชในชุดแดงนั้นได้นำจักรพรรดิเหวินลงสู่พื้นธรณีอีกครา จากนั้นมือเขาข้างหนึ่งได้คว้าฟู่เสี่ยวกวนไว้ แล้วอีกข้างหนึ่งก็คว้าจักรพรรดิเหวินเอาไว้

เขาพุ่งกายทะลุหมอกหิมะ สีหน้าของเขานั้นเย็นยะเยือกราวหยาดน้ำค้าง

เขายังมิได้หนีให้พ้นทางเข้าของหุบเขาเลยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเองหิมะที่กำลังถล่มอยู่ทั้งสองข้างทางนั้นก็ได้ถาโถมเข้ามากระทบตัวเขา

เขาขมวดคิ้วเป็นปมหัวคิ้วทั้งสองข้างชนเข้าหากัน เขาพยายามที่จะเคลื่อนหนีก้อนหินที่รวมตัวอยู่กับหิมะ แต่ทว่า…

ก้อนหินขนาดเท่าแผ่นกลมของโม่หินก็ได้หล่นลงมาจากฟากฟ้าส่งเสียง “ตุบ…” กระทบเข้ากับศีรษะเขาอย่างรุนแรง จากนั้นเลือดสีแดงสดก็ได้ไหลทะลักออกมา เขาโบกมืออย่างสุดกำลังเพื่อที่จะโยนตัวจักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนลงไป

จากนั้นร่างของเขาก็ได้หล่นลงกระทบพื้นธรณี และถูกหิมะที่ถาโถมเข้ามานั้นกลบจนมิด

ฟู่เสี่ยวกวนและจักรพรรดิเหวินตี้ได้ลอยมายังทางเข้าของหุบเขา จากนั้นก็หล่นกระแทกลงกับพื้นธรณี

ฟู่เสี่ยวกวนรีบพลิกตัวแล้วจับตัวจักรพรรดิเหวินเข้ามาแนบแน่นอีกครา แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ชะงักฝีเท้าลง ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้เขาหมดสิ้นความหวัง

ถนนเบื้องหน้านั้นมิมีอีกแล้ว !

หิมะที่ถล่มอย่างบ้าคลั่งจากภูเขาทั้งสองด้านได้ปิดกั้นทางเข้าจนไม่เหลือหนทางให้เอาชีวิตรอด กำลังอันน้อยนิดของฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถเหาะเหินหลบหนีขึ้นไปได้

เสียงจากเบื้องหลังดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจักรพรรดิเหวินก็ได้นำตราประทับออกมาจากพระทรวงแล้วส่งมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวน

“นี่เป็นตราหยกของราชวงศ์ที่ได้สืบทอดกันมา จงจำไว้ว่าเจ้าห้ามตายเป็นอันขาด ! ”

ข้าจะฝ่าฝืนความตายได้เยี่ยงไรกัน ?

เวลาคับขันเช่นนี้เอาของไร้สาระนี้ออกมาจะมีประโยชน์อันใดกัน !

ฟู่เสี่ยวกวนนำตราหยกใส่เข้าไปในกระเป๋าตรงแขนเสื้อ จากนั้นก็มองไปทั่วสารทิศด้วยความหวาดกลัว ในใจปรารถนาอยากให้ศิษย์พี่เหาะมาช่วย แต่ทว่า สายตาของเขากลับหันไปเห็นยอดภูเขาหิมะสองแห่งถล่มลงมาอีก

เขากัดฟันพร้อมกับยกร่างของจักรพรรดิเหวินตี้แบกขึ้นไปบนหลัง “จับกระหม่อมไว้ให้แน่น ! ”

เขาจะปีนกำแพงหิมะที่ปิดกั้นถนนเอาไว้ แต่ทว่า…

หิมะก้อนใหญ่ได้ถล่มลงเข้ากลางหลังของเขาพอดี เขากระอักเลือดสด ๆ ออกมา และเมื่อหันกลับไปมองก็เห็นพระเศียรของจักรพรรดิเหวินห้อยต่ำลงมา

จักรพรรดิเหวินทนฝืนกลั้นยิ้ม พระองค์ได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายตรัสกับฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะลาโลก “เรียกข้าว่าท่านพ่อสิ ! ”

“…ท่านพ่อ”

“อือ…จำไว้..เจ้าจะต้องรอด”

จากนั้นพระหัตถ์ทั้งสองข้างของจักรพรรดิเหวินก็ได้หลุดออกจากบ่าของฟู่เสี่ยวกวน พระวรกายของพระองค์ได้ร่วงหล่นกระทบพื้น พระเนตรทั้งสองข้างของพระองค์ลืมขึ้นแล้วมองนภาที่คละคลุ้งไปด้วยหิมะอย่างไร้จุดมุ่งหมาย พระพักตร์ของพระองค์มิได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกหวาดกลัวหรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย พระองค์ได้ลาลับจากไปอย่างสงบ

ฟู่เสี่ยวกวนหลับตาลงแล้วกัดฟันอีกครา จากนั้นจึงใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีปีนป่ายไปยังกำแพงหิมะ ทว่าเขามิได้ล่วงรู้ว่าหิมะที่ถล่มกลาดเกลื่อนอยู่เบื้องหลังนั้นได้ไหลถาโถมมาทางเขาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งฟ้าฝ่า

“ตู้ม… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนถูกหิมะโจมตีจนร่างของเขากระเด็น ทันใดนั้นร่างของเขาก็ได้ร่วงลงบนพื้นธรณีเลือดสีแดงสดไหลเจิ่งนองไปทั่วทั้งพื้น และหลังจากนั้น…

ธาราหิมะที่ไหลถาโถมเข้ามาได้กลบร่างของเขาจนมิด

ผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ครานี้ รวมไปถึงนักบวชผู้รับหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทั้งหลายก็มิอาจรอดชีวิตออกมาได้แม้แต่รายเดียว

เมื่อกองกำลังองครักษ์ชุดแดงและชาวเมืองกวนกวนหยุนที่รายล้อมอยู่บนที่ราบสูงหลีลั่วได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล เวลานั้นหิมะก็ได้หยุดถล่มแล้วพอดี แต่ยังคงมีหมอกหิมะแพ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณ

……

ซูเจวี๋ยคือผู้ที่เหาะเหินไปดูสถานการณ์ก่อนใครเพื่อน จากนั้นซูโหรวก็ตามไปติด ๆ

กองกำลังองครักษ์ชุดแดงสามพันนายได้ขึ้นบนหลังม้าแล้วรีบร้อนออกไปอย่างบ้าคลั่ง เสียงกีบม้าดังสะเทือนไปทั่วที่ราบสูงแห่งนี้

และได้มีผู้ส่งราชสาสน์ด่วนพิเศษไปยังพระราชวัง

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ตื่นตกใจเสียจนแทบล้มทั้งยืน

“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้สั่งการให้ทหารรักษาการณ์ 30,000 นายไปยังภูเขาหิมะโดยด่วน ! ”

“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้สั่งการให้หมอหลวงทุกคนไปยังภูเขาหิมะโดยด่วน ! ”

“ไทเฮาทรงรับสั่งให้ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงของพระราชวังจวี้หัว”

“ไทเฮาทรงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุกบาน แล้วให้กองกำลังองครักษ์ชุดแดง 10,000 นายรักษาการณ์ทั้งสี่ประตูเมือง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเมืองกวนหยุนเข้าได้แต่ออกมิได้เป็นอันขาด ! ”

มีการออกคำสั่งหลายชุดภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น บรรยากาศในพระราชวังได้เปลี่ยนเป็นหดหู่ในชั่ววินาที และเหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างรู้สึกตื่นตระหนกภายในจิตใจ

ข่าวใหญ่นี้มิอาจปกปิดได้มิด และในที่สุดข่าวนี้ก็แพร่สะพัดมาถึงหูของชาวเมืองกวนหยุน พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นตกใจเสียจนมิรู้จะหาคำใดมาเอื้อนเอ่ย

ณ คฤหาสน์จิ้งหู

ซูซูได้ยืนพรวดขึ้นมา ปิงถังหูลู่ที่ถืออยู่ในมือของนางร่วงลงบนพื้นในทันที

“พี่สาวทั้งสองรอข้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะออกไปดูเอง”

แล้วนางก็ได้เหินนภาขึ้นไปด้วยวิชาตัวเบา จากนั้นก็ได้อันตรธานหายไปจากทะเลสาบจิ้งหู

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าซีดเผือด นางได้หันไปมองต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

ประจวบเหมาะกับหนิงซือเหยียนได้วิ่งเข้ามาในคฤหาสน์พอดี ต่งชูหลานจึงเอ่ยกับเขาในทันทีว่า “รบกวนท่านได้โปรดช่วยจัดรถด้วยเถิด ! ”

ความเกียจคร้านเป็นปกตินิสัยของหนิงซือเหยียนได้เหือดหายไปในบัดดล จากนั้นเขาก็ได้จัดเตรียมรถม้าตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เมือสตรีทั้งสามนางได้นั่งลงบนรถม้า เขาก็ได้ตวัดเชือกกุมบังเหียนและแล้วรถม้าก็ได้ถูกขับออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูมุ่งหน้าไปทางภูเขาหิมะ

อู๋หลิงเอ๋อร์เองก็ได้ขี่ม้าสีแดงพุทราประจำตัวมายังฐานทัพของทหารหญิง

“รีบควบม้า แล้วตามข้ามาโดยเร็ว ! ”

กองทัพหญิงได้ฝ่าความเงียบงันของเมืองกวนหยุนออกไป จากนั้นก็ได้หายไปจากทัศนวิสัยของชาวเมืองทั้งหลาย

วันนี้ เป็นวันประกอบพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ประจำราชวงศ์อู๋

วันนี้ เดิมทีเป็นวันที่จะต้องแบกรับความหวังของเหล่าราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋

วันนี้ เป็นปฐมฤกษ์แห่งการหวนคืนสู่ชาติกำเนิดที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน

ทว่าก็วันนี้เช่นกันที่ประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์อู๋ได้ถูกพลิกโฉม

ณ วังเย็น เมื่อเซียวเฉียงได้ยินข่าวนี้

นางเลยมายืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง แล้วหันหน้าไปทางดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่บนกำแพง

“ช่วยมิได้ นังแก่นั่นโหดเหี้ยมเกินไป บังอาจสังหารโอรสของข้า เป็นเช่นนี้เสียก็ดี สายเลือดของเชื้อพระวงศ์จะได้ขาดสะบั้นลงเสียที”

“เห้อ…จริงเสียที่ว่าทิ้งไว้เพียงแค่พื้นเปลือยเปล่า…ขาวสะอาดตา ! ”