บทที่ 322 ใครช่วยเหลือใครกันแน่
ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่เกิดขึ้นรอบกาย
เมื่อหันไปมองด้านหลัง เขาก็เห็นว่าผู้พูดคือแม่ทัพตวนตวนจากหน่วยนักรบเมฆานั่นเอง
ร่างกายสูงใหญ่ใส่ชุดเกราะเหล็ก พลังลมปราณแผ่ออกมาหนาแน่น
ชาวเมืองหยุนเมิ่งค่อนข้างให้ความเคารพนายทหารจากหน่วยนักรบเมฆาไม่ต่างจากนักบวชของวิหารเทพกระบี่ เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่ปราบปรามโจรสลัดซึ่งออกอาละวาดในน่านน้ำของจักรวรรดิเป่ยไห่มายาวนานหลายปี
“ท่านจะพาตัวเขาไปหรือ?” ถังกู่จินกลับมาได้สติอีกครั้งก็แค่นหัวเราะ “เยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุนและฮันปู้ฟู่ ทั้งหมดนับเป็นคนใกล้ชิดของหลินเป่ยเฉิน เรายังไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ จึงต้องจับกุมตัวเอาไว้ก่อน เพื่อทำการสืบสวนในภายหลัง”
แม่ทัพตวนตวนขมวดคิ้ว
หลิงจุนเซวียนอดไม่ได้ต้องคำรามออกมาว่า “ท่านไม่ได้ยินหรือไง นักพรตหญิงชินบอกว่าเยว่หงเซียงกับมี่หรู่หยานเป็นเหยื่อที่ถูกมือมืดนำแมลงปีศาจมาปล่อยใส่ตัว ส่วนไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ได้รับลูกหลงจนเกือบเสียชีวิต แล้วพวกเขาจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?”
ถังกู่จินตอบกลับน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองหลินจะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้นานมากเกินไปแล้ว สมองคงไม่ได้ใช้งานสักเท่าไหร่ ในเมื่อเยว่หงเซียงถูกมือมืดนำแมลงปิศาจมาปล่อยใส่ตัว นั่นย่อมหมายความว่าคนร้ายต้องเป็นคนใกล้ตัวนางอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ได้รับลูกหลงจนเกือบเสียชีวิต แล้วตกลงพวกเขาเสียชีวิตหรือไม่? ถ้าไม่เสียชีวิตท่านจะเล่นลูกไม้อันใดอีก?”
หลิงจุนเซวียนกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่ทัพใหญ่ตวนตวนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ด้วยความเคารพนะใต้เท้า แต่ฮันปู้ฟู่ต้องมากับพวกเราเท่านั้น เพราะเขามีสถานะเป็นคนของกองทัพแล้ว…”
พูดจบ แม่ทัพร่างใหญ่ก็ล้วงแผ่นป้ายสีทองคำออกมา
ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอวดดีของถังกู่จินเมื่อเห็นแผ่นป้ายทองคำนั้น รอยยิ้มก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ตกลง ฮันปู้ฟู่เป็นของพวกท่าน เชิญนำตัวเขาไปได้ตามสบาย”
ถังกู่จินรีบเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพตวนตวนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยิ้มและพูดว่า “ใต้เท้าถังทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เจ้าของแผ่นป้ายทองคำนี้จะเป็นผู้ที่บอกเองว่า ท่านไม่สามารถแตะต้องสมาชิกครอบครัวตระกูลฮันคนอื่นๆ ได้เด็ดขาด”
ถังกู่จินยังคงยิ้มแย้มด้วยความเป็นมิตร
“เข้าใจแล้ว”
ผู้ตรวจการมณฑลลอบกัดฟันด้วยความเจ็บใจ
แต่หลังจากนั้น เขาก็พูดอ้อมแอ้มออกมาว่า “แต่ข้าคงต้องขอเตือนท่านแม่ทัพสักหน่อย ว่าฮันปู้ฟู่ยังมีสถานะเป็นผู้ต้องสงสัย หากกองทัพรับตัวเขาไป จงคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดี”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใต้เท้าต้องเป็นกังวลหรอก” แม่ทัพตวนตวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เฉินเจี้ยนหนานซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพตวนตวนรีบเดินเข้ามาอุ้มร่างของฮันปู้ฟู่ขึ้นทันที
นักพรตหญิงชินลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้า
สุดท้าย แม่ทัพตวนตวนและผู้ติดตามก็นำตัวฮันปู้ฟู่จากไป
นักพรตหญิงชินอุ้มร่างเยว่หงเซียงเดินตรงเข้าไปด้านในวิหาร พวกของฉู่เหินลังเลเพียงเล็กน้อยก็อุ้มร่างไป๋ชินหยุนตามไปติดๆ
“พวกเจ้าหยุดให้กับข้าเดี๋ยวนี้…” ถังกู่จินคำรามออกมาด้วยความฉุนเฉียว
แต่เขาเพิ่งจะยกมือขึ้นเท่านั้น คำพูดยังไม่ทันกล่าวจบประโยคด้วยซ้ำ
เคล้ง!
ลำแสงสายหนึ่งสว่างวาบจากข้างกายของนักพรตหญิงชิน แล้วใบมีดเล่มหนึ่งก็พุ่งมาปักอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้างของถังกู่จิน รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากใบมีดนั้นอย่างรุนแรง
ถังกู่จินกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
ถังกู่จินได้แต่ยืนมองกลุ่ม ‘ผู้ต้องสงสัย’ ถูกพาตัวจากไป
ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างหลายสายก็ทิ้งตัวกลับลงมาจากกลางอากาศ
“กราบเรียนใต้เท้า หลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีไปได้แล้วขอรับ”
“เราตามหาเขาไม่เจอเลย”
หัวหน้ากลุ่มมือปราบที่ตามล่าหลินเป่ยเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและรายงานเสียงเครียด
ว่าอย่างไรนะ?
หลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?
ถังกู่จินหันมามองหน้าไป๋ไห่ชินโดยทันที
อีกฝ่ายหนึ่งยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์
ถังกู่จินถึงกับเงียบงันไปอึดใจใหญ่ สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “เราวางกำลังทหารปิดล้อมเอาไว้ทั่วเมืองแล้ว มันไม่มีทางหลบหนีออกไปไหนได้เด็ดขาด…”
“พวกเจ้ารีบออกประกาศเดี๋ยวนี้ว่าผู้ใดที่สามารถจับตัวหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ข้ามีรางวัลมอบให้หมื่นเหรียญทองคำ หรือใครที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมตัวเด็กคนนั้นได้ ข้าก็จะมีรางวัลมอบให้ 1 พันเหรียญทองคำเช่นกัน ส่วนผู้ใดให้ที่พักพิงหรือมีส่วนช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินในการหลบหนี ให้ถือว่ามีความผิดในฐานสมรู้ร่วมคิดและจะต้องได้รับโทษในฐานะสาวกปีศาจ”
“รับทราบขอรับ”
หัวหน้าหน่วยมือปราบรับคำสั่งเสร็จเรียบร้อยก็กระโดดหายไปอีกครั้ง
หลังจากนั้น ถังกู่จินก็หันมามองหน้าหลิงจุนเซวียน “ท่านเจ้าเมืองหลิง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงรักษามารยาทต่อไปอีกไม่ได้ ข้าขอออกคำสั่งให้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านต้องให้ความร่วมมือในการตามล่าตัวหลินเป่ยเฉิน กรุณาสั่งปิดประตูเมืองหยุนเมิ่งและเปิดการใช้งานค่ายอาคมกักบริเวณเดี๋ยวนี้ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่จากหน่วยมือปราบประจำเมืองและเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาทุกคน ก็ต้องมาช่วยเหลือในการตามล่าตัวหลินเป่ยเฉินเช่นกัน”
หลิงจุนเซวียนรับคำในลำคอ “ไม่มีปัญหา”
เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำตัวขัดแย้งกับถังกู่จินอีกต่อไป
ชายผู้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลพูดว่า “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นข้าขอออกคำสั่งให้ปิดสถานศึกษากระบี่ที่สาม จับกุมตัวคนสนิททุกคนที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉิน จับกุมตัวญาติพี่น้องทุกคนของเยว่หงเซียง มี่หรู่หยานและไป๋ชินหยุน รวมถึงผู้ใดที่เคยติดต่อกับหลินเป่ยเฉิน ก็ให้นำตัวมาสอบสวนทั้งหมด รวมถึงบรรดาร้านค้าและหอการค้าทั้งหลายที่ทำการซื้อขายโฆษณากับเขาก็ห้ามละเว้นเด็ดขาด!”
“ผู้น้อยรับคำบัญชา”
เจ้าหน้าที่มือปราบอีกกลุ่มหนึ่งรับคำบัญชาแยกตัวเดินออกไป
…
มี่หรู่หยานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
รู้สึกปวดระบมไปทั่วร่างกาย
รอบตัวมีแต่ความมืดสลัว
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“อ๊ะ…ที่นี่ที่ไหนกัน?”
เด็กสาวพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้นดิน เมื่อลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดตลอดร่างกายก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกันนั้น มี่หรู่หยานรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บและนางถึงได้รู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นดูเหมือนจะฉีกขาดไปหมดแล้ว
บัดนี้มีเพียงเสื้อคลุมของมือกระบี่ผู้หนึ่งห่อหุ้มร่างกายกึ่งเปลือยของนางเอาไว้
ความคิดที่น่าหวาดกลัวทำให้มี่หรู่หยานขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
แต่เมื่อลองเลื่อนมือลงไปคลำดูที่ช่วงล่างของร่างกาย มี่หรู่หยานก็ต้องโล่งใจเมื่อพบว่าตรงส่วนนั้นไม่ได้มีร่องรอยฉีกขาดตามที่หวาดกลัว
และความเจ็บปวดที่พบเจอในขณะนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการที่ร่างกายมีกระดูกแตกหัก มากกว่าจะเป็นการเจ็บปวดเพราะถูกข่มขืน
“ตื่นแล้วหรือ?”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างตัว
นั่นคือเสียงของหลินเป่ยเฉิน เมื่อได้ยินเสียงของเขา มี่หรู่หยานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่รู้ตัว นางรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด “ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ? ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เด็กสาวพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวด ใช้สายตาสำรวจมองรอบกาย จึงได้พบว่าบัดนี้ตนเองกำลังอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ บนพื้นดินเต็มไปด้วยกองฟาง ด้านนอกมีแต่ความเงียบสงบ น่าจะเป็นกระท่อมน้อยที่ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินนั่งเอนตัวพิงผนัง ยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง ที่ปากของเขาคาบฟางอยู่เส้นหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำถาม หลินเป่ยเฉินก็ตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่… คุณหนูมี่ เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”
มี่หรู่หยานส่ายหน้า “ข้าจำได้เพียงขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีรับรางวัล แล้วอยู่ดีๆ ทุกอย่างก็เริ่มพร่าเลือน ก่อนจะเกิดความรู้สึกร้อนวูบที่บริเวณหัวใจ ข้าพยายามโคจรพลังลมปราณขับไล่อาการนั้น แล้วข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย…”
หลินเป่ยเฉินหันมาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมี่หรู่หยาน
เขาพยายามจับพิรุธเด็กสาว
แต่โชคร้ายที่เด็กหนุ่มพบว่านางไม่มีพิรุธเลย
นั่นทำให้เรื่องราวทุกอย่างน่าปวดหัวมากขึ้น
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่พวกเขาหลบหนีออกมาจากพิธีมอบรางวัลเป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่ควรหลบหนีไปพร้อมกับปีศาจมี่หรู่หยานมากไปกว่านี้
แต่จังหวะที่เขาตั้งใจจะทิ้งนางกลางทาง พลังปีศาจในตัวมี่หรู่หยานพลันสลายหายไป เด็กสาวค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง นางล้มลงไปนอนสลบอยู่บนพื้นดิน เสื้อผ้าที่สวมใส่ฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี เรือนร่างที่งดงามของนางแทบเปลือยเปล่าประดุจดั่งดอกไม้บริสุทธิ์ที่ปลิดปลิวลงจากกิ่งก้านในฤดูหนาวอันโหดร้าย
หลินเป่ยเฉินพยายามตัดใจทิ้งนางเอาไว้ตรงนั้นหลายครั้ง แต่เมื่อนึกถึงชะตากรรมว่าถ้ามีโจรป่ามาพบเจอมี่หรู่หยานในสภาพเช่นนี้เข้า มี่หรู่หยานก็คงเหมือนตกนรกทั้งเป็น สุดท้ายแล้วเขาจึงต้องพานางหลบหนีมาด้วยและมาซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมน้อยหลังนี้ ซึ่งเป็นกระท่อมของใครก็ไม่ทราบ
เมื่อเห็นว่ามี่หรู่หยานจำอะไรไม่ได้ หลินเป่ยเฉินจึงต้องรับหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางรับฟัง
หลังจากรับฟังจบลงแล้ว ใบหน้าของมี่หรู่หยานก็ซีดขาวปราศจากสีเลือด
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” เด็กสาวพูดออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบคำใด
เขาเข้าใจความรู้สึกของมี่หรู่หยาน
การกลายร่างเป็นปีศาจต่อหน้าชาวเมืองจำนวนมาก ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้ว มิหนำซ้ำ มันยังเป็นความผิดที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนไปด้วย
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดคำปลอบโยนออกมา
เพราะเขายังคงไม่แน่ใจว่ามี่หรู่หยานตั้งใจใส่ร้ายเขาจริงๆ หรือไม่?
เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะกลายร่างเป็นปีศาจโดยไม่มีเหตุผล
บางสิ่งบางอย่างบอกหลินเป่ยเฉินว่าในร่างกายของมี่หรู่หยานมีอันตรายซ่อนอยู่ ในเมื่อบัดนี้นางก็ได้สติสามารถดูแลตนเองได้แล้ว เขากับนางก็ควรจะแยกทางกันที่ตรงนี้ดีกว่า
แต่ตอนที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดคำบอกลาออกไป เสียงที่คุ้นหูเขาก็ดังขึ้น
“ติ๊ง!”
เป็นเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือนั่นเอง