ภาษิตกล่าวได้ดี ชายร้างหญิงหม้ายอยู่ร่วมบ้านกัน ฟืนแห้งติดไฟ ฟ้าปริดินแยก…ละครพวกนี้แม้ว่าฟังละดูชาวบ้านมากๆ แต่จิ้งจอกม่วงก็หวังว่าจะให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่อู๋จือฉีเอ่ยปากให้นางได้อยู่เป็นเพื่อนเขาในวินาทีนั้น นางก็มองเขาด้วยสายตาราวพยัคฆ์จ้องงาบเหยื่อมาตลอด
หากวินาทีถัดมาเขาก็เข้ามากอดนางไว้ แนบใบหูนางพูดจาอ่อนหวาน ถอดเสื้อผ้านาง โอย นี่มันจะดีงามเพียงใดนะ นางวาดหวังจนน้ำลายแทบไหลออกมา ยามนี้นางไม่ใช่จิ้งจอกขนปุยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อู๋จือฉีชอบสาวงาม นางก็เป็นตามที่เขาชอบ ยืนอรชรอ้อนแอ้นอยู่เช่นนี้ มองเขาออดอ้อนน่าสงสาร ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่หวั่นไหว เขากำลังเดินเข้ามาใช่ไหม
“จิ้งจอกน้อย” เขากอดนางไว้อ่อนโยน หายใจรินรดใบหน้านาง ทำเอานางเคลิบเคลิ้ม จิ้งจอกม่วงแสร้งเงยหน้ามองเขาแววตาออดอ้อน อยากพูดแต่ไม่พูด เขาเองก็อยากพูดแต่ไม่พูด เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “หนังตาเจ้ากระตุกแล้ว ทำไมเอาแต่ปริบๆ”
จิ้งจอกม่วงอึ้งไป
เขากล่าวอีกว่า “ข้าชอบเจ้าตอนขนปุกปุยมากกว่า น่ารักมาก นอนกอดแล้วอบอุ่นมากแน่ๆ เจ้าเปลี่ยนกลับไปไม่ได้หรือ”
นางยังคงอึ้ง
เขายังกล่าวต่อว่า “ที่บ้าบอนี่ก็หนาวและชื้นแฉะ อยู่มาพันปีก็แทบจะเป็นโรคลมชื้นแล้ว เร็วเข้า ใช้ขนเจ้าให้ความอบอุ่นข้าหน่อย”
จิ้งจอกม่วงกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ยากจะเอ่ยออกมาว่า “เดี๋ยว…ช้าก่อน อู๋จือฉี ท่านไม่ชอบข้ากลายร่างเป็นมนุษย์หรือ” นางไม่เชื่อว่าเขามีตาแต่ไร้แวว รีบบิดเอวรอบหนึ่งให้เขาดู “ดู! เอวบาง ขายาวเรียวงามราวบุปผา ท่านไม่มีตาดูหรือ?!”
“อ้อ ก็อย่างนั้นแหละ” เขาทำจมูกพองท่าทางฝืนๆ “ข้าชอบเจ้าที่ขนปุกปุยมากกว่า”
“ท่าน คนโง่เง่า!” จิ้งจอกม่วงโมโหมาก ถีบประตูเขาดังโครม เตะเขากลิ้งลงไปกับพื้น ตามมาด้วยกระทืบเท้าโมโหออกไป ด้านนอกยังคงเหมือนเดิม หมอกขาวปกคลุม มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จิ้งจอกม่วงยองนั่งกับพื้นกอดตนเองไว้ ครู่หนึ่งในใจก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อีกครู่หนึ่งก็โกรธแค้น
อย่างไรในสายตาเขาก็ไม่เคยมีนาง โลกนี้ทำไมมีชายน่ารังเกียจเช่นนี้ อา อา อา อา?! นางงึมงำอยู่เป็นนาน ไม่มีคนสนใจนาง ได้แต่แอบหันกลับไปมองที่กระท่อม อู๋จือฉียังคงนิ่งอยู่ในท่ากับที่ที่เมื่อครู่นางถีบเขาไป ไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ
จิ้งจอกม่วงเดินกลับไปตรงข้างศีรษะเขา ค่อยๆ นั่งลง หางปุกปุยสะบัดใส่ทีหนึ่ง ปัดโดนหน้าเขา ดังคาด นางเปลี่ยนคืนร่างเป็นจิ้งจอก “ข้า…ไม่ได้ตั้งใจนะ” นางเห็นอู๋จือฉีไม่กล่าวอันใด คิดว่าเขาโมโหแล้ว ก็ได้แต่ขอโทษอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ก็ไม่ได้แรงนี่นา…เจ็บหรือ ท่าน ท่านอย่าทำเป็นไม่สนข้า…”
อยู่ๆ หางก็ถูกเขาคว้าไว้ จิ้งจอกม่วงร้องลั่น ตีลังกาหนี ตอนได้สติ เขาก็หัวเราะดังลั่นกอดเอาไว้แน่นแล้ว หน้าเขาแนบใบหน้ากับขนเงางามอ่อนนุ่มราวแพรไหมของนาง ซบถูซ้ายทีขวาที พลางร้องว่า “อย่างนี้ดี! อบอุ่นจริง!”
บางเวลาเขาก็เหมือนเด็กน้อยจริง
จิ้งจอกม่วงดิ้นรนสองสามที ในที่สุดก็หาท่วงท่าที่สบายได้ คางเกยกับหน้าอกเขาไม่ขยับอีก หยุดไปครู่หนึ่ง ทั้งสองยังคงเหมือนเมื่อก่อน มีเรื่องโต้เถียงกันขึ้นมาอีก อุปสรรคพันปีราวกับไม่เคยเกิดขึ้น นางยังคงเป็นจิ้งจอกน้อยน่ารักของเขา เขาก็ยังคงเป็นชายที่นางแอบเลื่อมใสในใจ
ผู้ใดเคยกล่าวว่าความสัมพันธ์สองคน ผู้ใดหลงรักก่อน ผู้นั้นก็ต้องทนทุกข์มากกว่าหน่อย เพื่อคนคนนั้น ก็ย่อมลดตนเองลงต่ำที่สุด สุดท้ายแทบฝังลงในดินไปเสียเลย เขาย่อมกลายเป็นโลกทั้งใบของตนเอง ความจริงเช่นนี้ทำให้นางไม่รู้ควรทำเช่นไร ขอเพียงได้อยู่กับเขา ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
นางไม่กลับคืนร่างมนุษย์อีก เพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบ ใต้หล้านี้มีสตรีที่อยู่ในสายตาอู๋จือฉีคนเดียวก็คือพี่สาวคนงาม แต่ที่จะอุ้มจะกอดจะถูกใจก็มีแต่นาง จิ้งจอกม่วงเท่านั้น จากมุมมองนี้ แม้ว่ารู้สึกหมดหวัง แต่กลับมาคิดอีกที นางนับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในใจเขา นางยังไม่พอใจอันใดอีก
วิหคอยู่เขาทางใต้ แต่ไปวางแหเขาทางเหนือ วิหคบินไม่สูง แต่แหจะทำไรได้! วาสนาไม่สร้างมา โกรธแค้นอันใด นางรอมาพันปี ไม่คิดอยากได้บทสรุปเช่นนี้ แต่วนไปวนมาก็ยังกลับมาที่เดิม ก็คือวาสนานางเช่นนี้ ไม่อาจฝืน
เวลาสองปีผ่านไปรวดเร็ว ในสายตาจิ้งจอกม่วงก็เหมือนผ่านไปแค่สองวัน หรืออาจจะสองชั่วยาม พริบตาก็ผ่านเลยไป เมื่อคืนวานเหมือนนางฝันว่าจูงมือกับเขามาพันปี รักใคร่หวานล้ำ บุปผาผลิบาน แต่ก็แค่ในฝัน พอลืมตา ทุกอย่างก็ล้วนไม่ใช่
ทุกวันจิ้งจอกม่วงตื่นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่จะทำก็คือปาดน้ำลายกับเสื้อของอู๋จือฉี วันนี้ก็เช่นกัน บิดขี้เกียจเต็มแรง จมูกแหลมๆ ก็ดุนดัน อืม อืม? ทำไมฟางหญ้าเปียกไปหมด นางโดดเด้งดึ๋งขึ้นทันที พ่นฟางในปากทิ้ง มองซ้ายมองขวา มองไปยังประตูที่เปิดกว้าง อู๋จือฉีท่าทางเคร่งขรึมยืนกอดอกเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ข้างนอก
นางก้าวเข้าไปพาดตัวบนไหล่เขา หางปุกปุยเกี่ยวคอเขาไว้ ออดอ้อนออเซาะถามว่า “เจ้าดูอะไรอยู่”
“อ้อ ข้ากำลังดูปรากฏการณ์ดาวบนฟ้า” เขาพูดเป็นการเป็นงาน
ดูปรากฏการณ์? ปรากฏการณ์ดาวบนฟ้า? จิ้งจอกม่วงเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าที่มีหมอกขาวเลือนลางผสมกับสีเทา ที่นี่นอกจากหมอกแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น จะมีปรากฏการณ์ดาวอะไรให้เขาดูกัน
“ตอนนี้กลางวันนะ เจ้าก็ช่างทำท่าทำทางไปได้” จิ้งจอกม่วงเลียอุ้งเท้าตนเอง นางเป็นจิ้งจอกรักสะอาด
“เซ่อ” อู๋จือฉีกล่าว ยังชี้ตนเองกล่าวว่า “ใช้ตาดูหมื่นปีก็ไม่เห็น ใช้ใจดู…ข้ามีลางสังหรณ์ เทพเซียนพวกนั้นกำลังจะมีงานใหญ่แล้ว” หัวไหล่เขามีของบางอย่างเต้นตุบร้อนผ่าว แอบกระชากจนรู้สึกเจ็บปลาบ “ห่วงฟ้าขอสวรรค์ก็มีปฏิกิริยาแล้ว”
จิ้งจอกม่วงตากลมจ้องมองเป็นนาน นอกจากหมอกแล้วก็มองไม่เห็นอะไร นางถอนหายใจ โดดลงจากบ่าอู๋จือฉี หันกลับไปกล่าวว่า “ใช้เข่าใช้จมูกก็มองไม่ออก เอาเถอะ กลับละ ที่นี่อึมครึม มีอะไรงดงาม”
อู๋จือฉีพลิกฝ่ามือกลับไปคว้าหางนางไว้ กล่าวว่า “กลับไปไหน พวกเราเตรียมตัวไปได้แล้ว”
“ไป?” จิ้งจอกม่วงสลัดมือเขาไม่หลุด ร้อนใจส่งเสียงร้องดัง “ปล่อยข้านะ! หางนี่เจ้าดึงได้หรือ!”
อู๋จือฉีลากนางกลับมา ใช้แขนเกี่ยวไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ไปแล้วๆ! ได้เวลาไปจากที่บ้าๆ นี่แล้ว พันปีไม่มีอะไรกิน ปากแทบไร้รสชาติ! จิ้งจอกน้อย พวกเราออกไปดื่มสุราหอมหวานพันจอกแล้วค่อยว่ากัน!”
อ๋า อ๋า? ออกไปจริงหรือ จิ้งจอกม่วงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง เงยหน้าถามเขา “ไปที่ไหน ไปจากแดนปรภพหรือ แต่…พวกเขา…”
“ผู้ใดสนใจพวกเขา! ข้าจะออกไป ผู้ใดกล้าขวาง” เขาเผยฟันขาวยิ้มท่าทางบ้าคลั่งเหิมเกริม “ข้าออกไป ค้างหนี้ก็ต้องคืน ค้างน้ำใจก็ต้องคืน ควรจะอิสระก็อิสระ ใครรั้งข้าก็อย่าได้คิดมีชีวิตต่อ”
กล่าวจบ เขาก็กระโดดขึ้น พริบตาก็หายตัวไปท่ามกลางหมอกหนา เหลือแต่กระท่อมโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในดินแดนรกร้างด้านหลัง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร มีสองร่างค่อยๆ ลอยมาอยู่หน้ากระท่อม คนหนึ่งมองลอดออกนอกช่องประตูอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับมั่นใจว่าคนไปแล้ว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ปล่อยเขาเช่นนี้ไม่รู้จะเกิดเรื่องใหญ่อันใด เกรงว่าเซินซูและอวี้ลวี่คงซวยแล้ว”
อีกคนไม่ได้ตอบ เป็นนานจึงได้กล่าวน้ำเสียงแหบต่ำว่า “ไม่มีทางอื่น เหตุวันวานสิ้นสุด เหตุใหม่แท้จริงเช่นไร ฟ้าก็ยังไม่รู้ ดูว่าพวกเขาจะเอาอย่างไรกัน”
“วานรนั่นไม่ใช่กระจอก หากก่อเรื่องอีก จะรับมืออย่างไร หากเขาสองคนร่วมมือกัน จะทำเช่นไร”
คนผู้นั้นเงียบงันเป็นนาน กล่าวว่า “สังหาร”
คำเดียวเท่านั้น จบเรื่องทุกอย่าง
****
หากกักขังเหยี่ยวเจ้าเวหาไว้ มีวันหนึ่งอยู่ๆ ปล่อยออกไป จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร จิ้งจอกม่วงคิดมาตลอดว่าความยโสไว้ตัวจะค่อยๆ มลายหายไปตามกาลเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านพ้น นิสัยมีเหลี่ยมมุมแหลมคมในตอนแรกไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายก็ย่อมต้องมีวันถูกลบเหลี่ยมจนมันวาว เหยี่ยวที่ถูกจับได้ ส่วนใหญ่เกินครึ่งก็ย่อมยอมเลือกที่จะรอคนเลี้ยง เลือกที่จะลืมความอิสระที่ได้เคยโบยบินบนท้องฟ้า
แต่มองดูใบหน้าอู๋จือฉีส่องประกายคุ้นเคย อยู่ๆ นางก็พบว่า เวลาเหมือนหยุดอยู่บนตัวเขา ไม่ว่าเขาถูกขังนานเท่าไร ไร้อิสระให้วาดหวังเท่าไร สายตาเขายังคงดึงดูดจิตวิญญาณได้ดังเดิม ถึงวันนี้ก็ไม่มีถดถอย ทำให้จิตวิญญาณนางหลงใหลเช่นเดิม
เหมือนกับคนที่ได้รับอิสระทุกคน เขากระโดดมีความสุข ร้องตะโกนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ราวกับฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเพียงเขาคนเดียว เป็นของเขาเพียงคนเดียว เขาเองไม่รู้ตีลังกาไปเท่าไร สุดท้ายหัวเราะดังลั่น คว้านางกระโดดวิ่งไป ปลายเท้าแตะพื้นเพียงนิด ลอยตัวเบาหวิวดังใจ
พวกเขาออกมาจากแดนปรภพได้อย่างไร นางเองก็มองไม่กระจ่าง เห็นเพียงหมอกควันปกคลุมตรงหน้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นความมืดปกคลุม กลิ่นลมเน่าลอยมาปะทะหน้า นี่มันกลิ่นนรกแท้จริง “นี่มันที่ไหนกัน” จิ้งจอกม่วงงับผมเขาไว้แน่น กันไม่ให้ถูกเขาทำร่วง ถามเสียงอู้อี้
ไม่เหมือนเขาปู้โจวซาน เขาปู้โจวซานแม้ว่าไม่แบ่งกลางวันกลางคืนและมืดมิดตลอดเวลา แต่ย่อมไม่ได้มืดดำเพียงนี้ มืดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า รอบกายไม่มีเสียงใด มีแต่กลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวล นิ่งอึ้งเป็นนาน ทำเอาคนแทบบ้า หากไม่ใช่มีอู๋จือฉีอยู่ข้างกาย นางคงอดแผดเสียงร้องไม่ได้
อู๋จือฉียิ้ม “ที่นี่คือแดนนรกชั้นลึกที่สุด ถึงสุดท้ายก็ไม่มีเนื้อให้ลงทัณฑ์อีกแล้ว ผู้ใดถูกโยนมาที่นี่ ไม่ว่าเด็ดเดี่ยวเพียงใด สุดท้ายก็ย่อมเป็นบ้า ทรมานอย่างที่สุด”
จิ้งจอกม่วงอดหวาดกลัวขนลุกชันไม่ได้
“ไม่มีหวัง นี่เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุด ไม่ใช่หรือ” เขายิ้ม
กระท่อมน้อยของเขาอยู่จุดยอดสุดของแดนนรกชั้นลึกสุด ดีที่ที่นั่นมีแสงสีขาวรำไร ไม่ว่าผู้ใด มีแสงก็มีหวัง ดังนั้นเขาจึงไม่เสียสติ ยังมีชีวิต หัวเราะได้ ยิ้มได้
“เทพเซียนพวกนั้นนับว่ายังเมตตาข้า” เขาโยนจิ้งจอกม่วงลงไป นางตกใจร้องดัง อ้าปากงับกางเกงเขาแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมา “เจ้าจะทำอะไร?!” นางคำรามสุดเสียง
อู๋จือฉีย่อตัวลงตบหัวปุกปุยของนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ขอโทษ ลำบากเจ้าสักพัก ถอยไปหน่อย อย่ามาใกล้ ข้ามีเรื่องต้องทำนิดหน่อย”
จิ้งจอกม่วงส่ายหน้าเต็มแรง งับกางเกงเขาไว้ไม่ยอมปล่อย อู๋จือฉีได้แต่ปล่อยนาง ลุกขึ้นยืน อยู่ๆ ยกมือซ้ายกระชากหัวไหล่เต็มแรง พริบตา แสงหมื่นพันสายก็พุ่งหมุนออกมาจากหน้าอกเขา แผ่วพลิ้วราวแถบผ้าแพรไหม ค่อยๆ หมุนวนราวกับแสงระยิบ ราวบุปผาเบิกบานในยามค่ำคืนมืดมิด
แสงแสบตานั้นทำให้รอบๆ เหมือนเคลื่อนไหว ในความมืดดำราวกับมีเสียงคนคุยกันไม่หยุด เดิน เข้าไปใกล้ จิ้งจอกม่วงตกใจตัวสั่น สิ่งที่มองไม่เห็นพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด ในความเลือนราง รู้สึกเพียงแค่มีมือเย็นเยียบราวน้ำแข็งลูบหลังนาง ในที่สุดนางก็อดแผดเสียงร้องดังไม่ได้ ในขณะที่นางแผดร้องดังนั้น บนมืออู๋จือฉีก็มีลำแสงวาบรุนแรงขึ้นอีกก้อนหนึ่ง แสงวาบครู่หนึ่ง อยู่ๆ พลันยาวเท่าราวตัวคนเหมือนขอโค้งงอ
เขาถือขอนั่นไว้ในมือหมุนสองรอบพลางยิ้มไม่ใส่ใจ มีแสงระยิบออกมา ก่อนจะมีแสงแรงกล้าสาดใส่ความมืดในชั้นลึกสุดของนรกที่ไม่อาจทำลายได้ เขาหัวเราะหึ ตวาดดัง กระโดดขึ้น
จิ้งจอกม่วงเห็นเพียงลำแสงสายใหญ่นั่นสาดไปบนท้องฟ้า ราวกับมังกรเงินแกล้วกล้า ตามมาด้วยเสียงดังก้องกัมปนาทราวกับฟ้าดินแยกในพริบตา ทั้งโลกเริ่มสะเทือนไหว แสงนั่นยิ่งลากยาวขึ้น ช่างเหมือนกับเสาหนึ่งในความมืดที่ทอดตัวในแนวนอน พื้นดินราวกับมีหม้อน้ำแกงเดือดพล่านปุดๆ บิดเบี้ยว ไม่ว่านางจะใช้อุ้งเท้าตะปบพื้นอย่างไร ก็เหมือนลื่นไปมาราวกับเม็ดถั่วในหม้อน้ำมัน
เสียง ครืน ดังกัมปนาท ตามมาด้วยเสียงครืนใหญ่ โครม คราม ตึง จิ้งจอกม่วงกลิ้งไปมาบนพื้นไม่หยุด ถูกเสียงดังกัมปนาทนั่นระเบิดถล่มจนแก้วหูแทบจะแตก นางอุดหูแน่น สุดท้ายเงยหน้าอย่างสิ้นหวัง แสงสายนั้นฉีกกระชากความมืดออก! ราวกับแสงอาทิตย์เพิ่งขึ้น จากเสี้ยวหนึ่งกลายเป็นแสงหมื่นจั้งเจิดจ้า สาดแสงปกคลุมไปทั่ว ในความมืดลึกๆ มีมือซีดขาวมากมายนับไม่ถ้วน โบกมือไหวๆ อย่างไร้สิ้นหนทาง ความดีใจอย่างบ้าคลั่งที่ได้เห็นแสงพริบตา? หรือว่าหวาดกลัว?
ความคิดสุดท้ายที่นางแวบขึ้นมาก็คือทนแรงสั่นสะเทือนแรงกล้าไม่ไหวแล้ว สลบไปทันที เหมือนว่ามีคนอุ้มนางขึ้นมา แนบใบหน้ากับขนอ่อนนุ่มนาง ทั้งร้องเรียกทั้งหัวเราะราวกับเด็กน้อย “จิ้งจอกน้อย! เจ้าดู! ข้าเล่นชุดใหญ่เลย!”