บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 462

เมื่อเอโลอิสและฌอนได้ยินทั้งคำพูดและท่าทีที่แสดงออกมาของลูกสาว พวกเขามองเธอด้วยความสับสนและความกังวลใจที่ได้ก่อเกิดขึ้นขณะนี้

เธอทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เอโลอิสเรียกชื่อเธอด้วยหัวใจที่กำลังจะแตกสลาย “เอวลีน…”

มาเดลีนฉีกยิ้มเล็กน้อย เธอกระพริบตาทั้งสองข้างแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินไปที่โซฟาสไตล์ยุโรปและเอามือลูบโซฟาที่ถูกขัดมันเป็นอย่างดี

“ครั้งนั้น คุณจำได้ไหมว่าพวกคุณทั้งสองได้เชิญฉันมาทานอาหารเย็นเพื่อที่จะทำการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องของเมเรดิธ และทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อที่จะดูแลต้อนรับและสร้างความประทับใจให้กับศัตรูแบบฉัน พวกคุณทั้งสองคงรู้สึกอึดอัดมาก ใช่ไหมที่สถานการณ์เป็นแบบนี้?”

เอโลอิสและฌอนต่างพากันรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง

ในขณะนี้ มาเดลีนยิ้มออกมาด้วยท่าทีที่สงบและพูดว่า “คุณนายมอนต์โกเมอรีจำได้ไหมว่าคุณเคยถามฉันว่าฉันได้พบกับพ่อแม่ตัวเองหรือยังหลังจากที่เวลาผ่านไปนานแล้วหลายปี”

เธอในขณะนี้กำลังจ้องด้วยสายตาของผู้เป็นแม่ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาแห่งการขอโทษ เธอพูดต่อ “ถ้าอย่างั้นคุณนายมอนต์โกเมอรี จำคำตอบของฉันในวันนั้นได้ไหม?”

“เอวลีน…”

“ฉันบอกกับคุณว่าฉันเจอพวกเขาแล้ว แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าฉันจะยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับในตัวฉัน”

ดวงตาของเอโลอิสในขณะนี้แดงจนแทบเป็นสายเลือด เธอเอามือจับมาเดลีนเอาไว้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายไหลผ่านใบหน้าและลำคอ “เอวลีนให้โอกาสแม่อธิบายนะ เอวลีน…”

มาเดลีนยิ้ม “ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องอธิบาย คุณไม่จำเป็นเลย ฉันไม่โทษคุณในสิ่งใดฉันอยากจะบอกว่าบางทีเราอาจไม่ได้ถูกคิดมาเพื่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้”

“ไม่ เอวลีน อย่าพูดแบบนั้นสิลูก ทุกเรื่องเป็นความผิดของเรา เราไม่ควรปล่อยใแม่มดชั่วร้ายอย่างเมเรดิธมาชี้นำเรา พวกเราน่าจะรู้จักความรู้สึกและน่าจะบอกได้ว่าใครคือลูกสาวที่แท้จริงของพวกเรา…”

“เอวลีน ได้โปรดให้โอกาสพวกเราได้สร้างครอบครัวที่แท้จริงกับลูกนะ”

ฌอนเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเศร้ามากมาย

“เอวลีน หลายปีที่ผ่านมานี้พวกเราไม่เคยลืมลูกเลย ก่อนที่เมเรดิธจะเข้ามามีบทบาท แม่ของลูกยังเฝ้าคิดถึงลูกอยู่ทุกวันและคอยเป็นห่วงอยู่เสมอว่าลูกจะสบายดีไหม แม่ของลูกคอยทำความสะอาดห้องอย่างพิถีพิถันเพื่อว่าสักวันลูกจะกลับมาที่บ้านของเรา”

“บ้าน?”

มาเดลีนหัวเราะ

“ที่นี่คือบ้านของฉันเหรอ? มันดูผิดที่ผิดทางมาก นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน”

เธอหัวเราะออกมาขนาดที่มองไปยังดวงตาของฌอนและเอโลอิสที่มีสีแดงแทบจะมีเลือดคลั่งอยู่ในสายตาของทั้งคู่ ก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและดวงตาของเธอเริ่มนิ่ง

“บางทีตอนที่พวกคุณรู้เป็นครั้งแรกว่ามาเดลีนเป็นลูกสาว ทำไมพวกคุณต้องแสดงความสำนึกผิดมากมาย แต่ก็ยังดีใจที่ได้รู้ความจริงพวกนั้น ใช่ไหม? รู้ไหมว่าทั้งหมดนั้นมันสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดให้กับฉัน”

เมื่อเอโลอิสและฌอนได้ฟังอย่างนั้นพวกเขารู้สึกราวกับมีดได้ผ่าหัวใจของพวกเขาออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมทั้งความเจ็บปวดที่แปรปลี่ยนไปเป็นความร้อนแรงที่กำลังแผดเผาไปทั่วหัวใจที่แตกสลายของพวกเขา

บาดแผล

พวกเขาทำให้ลูกสาวของตัวเองมีบาดแผลและเจ็บปวด

มีคำขอโทษมากมายติดอยู่ในลำคอของพวกเขา แต่บางทีทุกสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้อาจฟังดูไร้ประโยชน์สำหรับคนตรงหน้า

มาเดลีนหันหน้ากลับมาก่อนที่จะยิ้มเยาะในเรื่องจะพูดต่อไปนี้ “บางทีพวกคุณอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ฉันรู้ว่าพวกคุณเป็นพ่อกับแม่ของฉันในวันที่ฉันถูกกล่าวหาว่าฆ่าบริทนีย์”

“ว่าไงนะ?”

แล้วเป็นอีกครั้งที่ทั้งสองพร้อมใจกันเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองและความรู้สึกเศร้าเสียใจได้พุ่งทะยานขึ้นไปถึงขีดสุด

และเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเจ็บปวดและความสูญเสียคล้ายกับคนหลงทางแสดงอยู่ทั่วใบหน้าของทั้งคู่ในตอนนี้ ทำให้มาเดลีนหัวเราะและถอนหายใจออกมายาว ๆ “ในตอนที่คุณตีและตะคอกใส่ฉันเพื่อปกป้องเมเรดิธ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากต้องยอมรับการลงโทษที่มอบให้กับฉันโดยคนใกล้ชิดที่สุดเป็นคนมอบให้”

“…”

“ฉันในตอนนั้นมีสติอยู่พร้อมที่จะกัดฟันอดทน พวกคุณกำลังปกป้องคนโกหกไร้หัวใจอย่างผู้หญิงคนนั้นด้วยทุกอย่างที่พวกคุณมี พวกคุณพร้อมที่จะทุ่มเต็มที่และเชื่อในคำโกหกของเธอและมั่นใจว่าฉันเป็นคนฆ่าลูกสาวบุญธรรมของพวกคุณ พวกคุณกล่าวหาและเรียกฉันว่าเป็นสัตว์ แม้ว่าฉันจะสิ้นหวังในตอนนั้นแต่ก็ไม่เคยเลยไม่เคยเลยที่ฉันจะร้องไห้ออกมา รู้ไหมว่าทำไม?”

มาเดลีนสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะพูดประโยคสุดท้าย “ถ้าฉันไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมา ความกลัวเพียงหนึ่งเดียวของฉันในตอนนั้นก็คือหากฉันร้องไห้ออกมาแล้วน้ำตาจะทำให้การมองเห็นของฉันจะไม่ชัดเจนขึ้นทันที ฉันอยากจะมองดูพ่อแม่ของฉันให้ดีก่อนที่ฉันจะตาย แม้ว่าพวกเขาจะเกลียดฉันจนแทบขาดใจ”