ตอนที่ 69 ขอเพียงเจ้าออกมา

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

ผู้คนรอบด้านต่างโศกเศร้าเสียใจ “เถี่ยเฟิง เมียต้าเซียนของเจ้าถูกไฟคลอกตายอยู่ในถ้ำแล้ว”

สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนเป็นซีดขาว เขารีบโผไปที่ปากถ้ำโดยไม่สนใจกองไฟที่ยังไม่ดับมอด

“กู้จิ้ง กู้จิ้ง เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้าอยู่ที่ไหน? ออกมาเดี๋ยวนี้”

แต่เสียงที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านประกายไฟเท่านั้น

“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เสี่ยวจิ้งเอ๋อ อย่าล้อข้าเล่นเลย ออกมาเถอะ…” เขาจ้องถ้ำตาเขม็ง แววตาคมปลาบราวคมธนู ดูราวกับจะจ้องทะลุถ้ำเข้าไปให้เห็นตัวกู้จิ้งให้ได้

ผู้คนเริ่มร่ำลือกันเป็นตุเป็นตะ

“ต้าเซียนกำลังปรุงโอสถทิพย์อยู่ในถ้ำ คิดไม่ถึงว่าลมจะพัดเตาล้ม ต้าเซียนไม่ทันระวังก็เลยถูกไฟไหม้เสื้อผ้า ต่อมาไฟโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็เลยถูกไฟคลอกตายอยู่ในถ้ำ”

คนที่ศรัทธาในต้าเซียนพากันคุกเข่าลงพลางร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ต้าเซียน ท่านไปดีเถิดนะ”

คนที่ไม่เชื่อต้าเซียนแอบหัวเราะเยาะเย้ย “ต้าเซียนอะไร พูดเสียร้ายกาจนักหนา ที่แท้ก็ร่ำลือกันไปเอง ดูสิ แม้แต่ตัวเองยังถูกไฟคลอกตายเลย”

เซียวเถี่ยเฟิงในยามนี้มีใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด น้ำเสียงสั่นระริก “เจ้าออกมา ออกมา… ขอเพียงเจ้าออกมา จะเอาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น… กู้จิ้ง…เจ้าเป็นปีศาจ เจ้าไม่มีทางตายหรอก ใช่ไหม?”

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงพอดี ผู้นำกลุ่มคือจ้าวฝูชาง

จ้าวฝูชางเดินเอามือไพล่หลังไปหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำพลางส่ายหน้า “เถี่ยเฟิง เมียของเจ้าไม่อยู่แล้ว คิดถึงเรื่องต่อจากนี้เถอะนะ”

กล่าวพลางถอนใจออกมา “เถี่ยเฟิงเอ๊ย เมียของเจ้านับว่าเคยช่วยเหลือชาวเขาเว่ยอวิ๋น ข้าจะจัดงานศพให้นางอย่างสมเกียรติแน่!”

คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งกล่าวจบ ก็มีเสียงใสเอ่ยถามขึ้นว่า “จัดงานศพอย่างสมเกียรติ? งานศพใครหรือ?”

จากนั้น กู้จิ้งก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเถี่ยเฟิงพลางขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย “ฉันแค่แอบอู้แป๊บเดียว นายก็แต่งงานแล้วหรือ?”

ไม่เพียงแค่แต่งแล้ว แต่ยังตายแล้วอีกด้วย?

ตอนแรกที่ได้ยินเสียงนี้ เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่าตัวเองหูแว่วไป แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นกู้จิ้งยืนอยู่ตรงหน้า

บนศีรษะของนางปักปิ่นไม้ที่เขาทำให้ บนร่างสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จ บนลำคอสวมสร้อยคอเขี้ยวหมาป่า บนบ่าสะพายถุงหนังสีดำเอาไว้ นางกำลังเบิกตากว้างพลางจ้องเขาเขม็งด้วยสายตางุนงง

“เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไร?” เขาก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นก็คว้าร่างเธอมากอดเอาไว้แน่น

“เจ้าไปไหนมา? ข้าเกือบจะคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว!”

ถึงตอนนี้ สมองของเขาค่อยเริ่มทำงานใหม่ ร่างกายก็กลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง

เมื่อครู่ วิญญาณของเขาเกือบจะหลุดลอยออกจากร่างไปเสียแล้ว

“ฉันต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว” กู้จิ้งงงมาก เธอแค่ออกไปหาของกิน บังเอิญเจอไก่ป่าเข้าตัวหนึ่ง ก็เลยพาฮัสกี้ตามไปจับไก่ป่า คิดไม่ถึงว่าฮัสกี้จะโง่มาก วิ่งไล่ไปทั่วป่า สุดท้ายก็คว้าไม่ได้แม้แต่ขนสักเส้น!

ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นความผิดปกติ

คนทั้งกลุ่มกำลังเบิกตามองเธอ ส่วนที่ด้านข้าง ในถ้ำบ้านของเธอ ไฟยังไม่ดับสนิท

พอมองเข้าไปก็พบว่า บ้านของเธอถูกเผาจนไม่เหลือซากไปเสียแล้ว…

“นี่? ไฟไหม้หรือ?” กู้จิ้งขมวดคิ้วด้วยความปวดใจ เธอเพิ่งลำบากสกัดน้ำมันหอมระเหยจากอ้ายเฉ่าเสร็จแท้ๆ!

“น้ำมันอ้ายเฉ่าของฉัน! ถูกเผาไปหมดแล้วงั้นรึ?” กู้จิ้งแทบเต้น ทำไมถึงได้มีเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ เธอลำบากอยู่ตั้งนาน เพิ่งสกัดออกมาได้แค่นั้นเองนะ!

“ไม่เป็นไร เสี่ยวจิ้งเอ๋อ” เซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอแน่นพลางกล่าวปลอบใจ “ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร น้ำมันอ้ายเฉ่าอะไรนั่นเราไม่เอาก็ได้ ขอแค่เจ้าไม่เป็นไรก็พอ…”

“ไม่เอาได้ยังไง น้ำมันอ้ายเฉ่าของฉัน!” กู้จิ้งทั้งเสียใจทั้งโมโห เธอดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเซียวเถี่ยเฟิง “อยู่ดีๆ ทำไมถ้ำของเราถึงถูกไฟไหม้ได้? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

แต่ในยามที่เธอกำลังปวดใจอย่างที่สุดนั้นเอง เหล่าชาวบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปกำลังตกตะลึง

เพราะมีป่ากั้น ทำให้พวกเขามองเห็นไม่ชัดนัก พวกเขาจึงรู้เพียงแค่ว่าตัวเองกำลังร้องห่มร้องไห้เสียใจกับการจากไปของต้าเซียน แต่จู่ๆ ใครบางคนก็เงยหน้าขึ้น ท่ามกลางม่านน้ำตา พวกเขาเห็นต้าเซียนซึ่งสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าถ้ำ

“นั่นไม่ใช่ต้าเซียนหรือ? ต้าเซียนยังไม่ตาย?”

“ต้าเซียนเดินฝ่าเปลวไฟออกมาได้?”

“สมเป็นต้าเซียน อาคมช่างสูงส่งเหลือเกิน!”

แค่ไม่กี่วัน เรื่องที่กู้ต้าเซียนภรรยาของเซียวเถี่ยเฟิงฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากกองเพลิงก็แพร่กระจายไปทั่วแปดหมู่บ้านบนเขาเว่ยอวิ๋น!

 

ข่าวไฟไหม้แพร่กระจายไปทั่ว เซียวเถี่ยเฟิงกอดปีศาจน้อยของเขาเอาไว้พลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “น้ำมันอ้ายเฉ่าอะไรนั่น ไม่มีก็ซื้อใหม่ได้ อย่าร้องไห้เลย”

แต่กู้จิ้งยังแค้นไม่หาย “ไม่เอา ฉันใช้เวลาเคี่ยวอย่างยากลำบากอยู่ตั้งสามชั่วยาม!”

“ที่สำคัญคือเจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“แต่น้ำมันหอมระเหยของฉัน น้ำมันหอมระเหยของฉันถูกเผาไปหมดแล้ว!”

“แต่…ถึงเจ้าจะไม่เป็นไร ข้าก็ไม่มีทางปล่อยคนที่เผาถ้ำของเราไปง่ายๆ แน่ ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก โชคดีที่เจ้าดวงแข็ง ออกไปข้างนอกถึงได้รอดพ้นเคราะห์กรรมไปได้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่รวมทั้งสภาพถ้ำหลังไฟไหม้แล้วก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้

เสี้ยวขณะนั้นสมองของเขาว่างเปล่า เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างเหมือนจะถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

เมื่อมีปีศาจน้อยอยู่ด้วย เขามีความสุขทุกวัน ความคิดทั้งหมดก็เฝ้าวนเวียนอยู่รอบตัวปีศาจน้อย หากนางไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่

“ถึงฉันจะไม่เป็นอะไร แต่น้ำมันหอมระเหยที่ฉันสกัดออกมาด้วยความยากลำบากรวมทั้งบ้านของเราต่างก็เสียหายไปหมดแล้ว คนคนนี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมาก! ฉันต้องหาตัวมันออกมาให้ได้ ให้มันชดใช้ชีวิตให้น้ำมันหอมระเหยของฉัน!”

ในสมองของกู้จิ้งมีแต่น้ำมันหอมระเหยอ้ายเฉ่า เธอจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น

หนึ่งหญิงหนึ่งชายต่างก็มีความคิดตรงกัน สุดท้ายพวกเขาก็หันมาสบตากัน ในใจต่างคิดว่าต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างให้ได้

เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้วร้องตะโกนเสียงดัง “นับแต่ข้าเซียวเถี่ยเฟิงกลับมาเขาเว่ยอวิ๋นก็ทำตัวอยู่ในกรอบ เป็นมิตรกับทุกคน แม้จะรู้วิทยายุทธ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้ารังแกคนบ้านเดียวกัน ซ้ำยังเป็นฝ่ายยอมถอยตลอดมา ทุกท่านให้ข้ากับภรรยาออกจากหมู่บ้าน เราก็ไป แต่ถึงเราจะเก็บตัวอยู่ในป่าก็ยังมีคนจิตใจชั่วช้าแอบมาลอบวางเพลิงเผาถ้ำของเรา หากไม่ใช่ภรรยาของข้าพอจะรู้อาคม หลบรอดมาได้ ป่านนี้ยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ? วันนี้ข้าเซียวเถี่ยเฟิงขอประกาศตรงนี้ว่า ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าไฟลุกขึ้นมาเอง ใครเป็นคนวางเพลิงก็ก้าวออกมาซะ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

แม้คำพูดของเขาจะราบเรียบ แต่ก็หนักแน่นเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ ไม่ยอมให้ใครโต้แย้งเด็ดขาด

คนในหมู่บ้านซึ่งได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจนต่างก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่

“ที่แท้ไฟไม่ได้ลุกขึ้นมาเอง แต่มีคนวางเพลิงงั้นรึ?”

ยามเย็นเช่นนี้ หมู่บ้านในภูเขาสงบเงียบ นอกจากพวกผู้หญิงที่กำลังทำอาหาร คนในหมู่บ้านต่างก็ทยอยเดินออกมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน

จ้าวฝูชางเองก็มา เขาเอามือไพล่หลังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าทุกคน สองขาแยกจากกันเล็กน้อย ตามองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เถี่ยเฟิง เจ้ามาหาเรื่องอะไร?”

เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเรียบ “ท่านลุง เรื่องที่ถ้ำของข้าเกิดไฟไหม้วันนี้ ท่านเองก็เห็นแล้ว เมียของข้าเกือบต้องตาย ข้าจะไม่สืบให้แน่ชัดได้อย่างไร? แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านยืนดูอยู่เฉยๆ เถิด ข้าย่อมมีวิธีหาตัวคนร้ายลอบวางเพลิงตัวจริงออกมาได้”

จ้าวฝูชางได้ยินเช่นนี้ก็แค่นยิ้มเย็น “เจ้าบอกว่ามีคนวางเพลิงก็มีคนวางเพลิงงั้นหรือ? เถี่ยเฟิง…”

เขาวางท่าเป็นผู้อาวุโสพลางกล่าวอย่างมีความหมาย “เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่งเมียปีศาจแบบนี้ก็พลอยทำตัวเกะกะระรานตามไปด้วย เขาเว่ยอวิ๋นเรามีคนชั่วช้าเช่นนี้เสียที่ไหน?”

จ้าวฝูชางนับเป็นคนเก่าคนแก่ในภูเขา มีชื่อเสียงเกียรติภูมิเป็นที่นับหน้าถือตา พอเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็อดหันไปซุบซิบกันไม่ได้

มีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่ไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ถูกเสียงร้องตะโกนเสียงหนึ่งกลบจนมิด

“ข้ารู้ มีคนวางเพลิง วันนี้ข้าคิดจะไปกราบไหว้ต้าเซียน คิดไม่ถึงว่าจะเห็นคนสองคนเดินทำท่าลับๆ ล่อๆ มาจากทางไปถ้ำของต้าเซียน แต่พวกเขาเดินเร็วมาก ข้าเห็นหน้าไม่ชัด ตอนนั้นยังประหลาดใจว่าเป็นใคร ทำไมทำตัวราวกับโจรไม่มีผิด! ตอนนี้มาคิดดู ต้องเป็นโจรวางเพลิงแน่ๆ!”

คำพูดนี้ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก

“มีคนบังอาจคิดทำร้ายต้าเซียนงั้นรึ?”

“ในหมู่บ้านของเรามีคนชั่วช้าแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?”

“โชคดีที่ต้าเซียนทำนายทายทักได้ก็เลยรอดพ้นเคราะห์กรรมไปได้!”

“แม่ชุนเถา คงไม่ใช่เจ้าหรอกนะ? หลายวันก่อนเจ้ายังพานักพรตไปที่ถ้ำ บอกว่าจะจับปีศาจไม่ใช่รึ?”

แม่ของชุนเถาอยู่ดีๆ ถูกเอ่ยชื่อก็ตกใจมาก นางรีบส่ายหน้าพลางโบกมือเป็นพัลวัน “ข้าจ่ายเงินเชิญนักพรตมาด้วยความยากลำบากแต่ก็ถูกไล่ไป เสียเงินแล้วยังถูกด่า จะกล้าทำเรื่องฆ่าคนวางเพลิงอีกรึ!”