ตอนที่ 449

The Divine Nine Dragon Cauldron

ในตอนนั้น เหล่ามิติทั้งเก้าเริ่มระเบิด พลังมิติมากมายหลั่งไหลออกมา

 

ฟึ่บ–

 

แขนเสื้อของซือหยูสัมผัสกับพลังมิติและหายไปในทันที!

 

ใช่แล้ว มันหายไปโดยสมบูรณ์! มันไม่ได้กลายเป็นสิ่งอื่นใด อย่างเถ้าถ่าน หรือความว่างเปล่า มันแค่เพียงหายไป

 

ถ้าพลังมิตินั้นสัมผัสกับร่าบของซือหยูก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ส่วนของร่างกายเขาจะถูกพลังมิติกลืนกินไป ส่วนพลังมิติที่เหลืออยู่ก็ยังคงเกินพอที่จะฉีกร่างของซือหยูเป็นชิ้นๆ ทำให้เขาไม่เหลือแม้แต่ซากศพ!

 

แต่หลังจากคลื่นพลังระเบิด ไป่ลั่วก็ร้องคำราม เขาหน้าซีดเล็กน้อย ยิ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายซือหยูก็ยิ่งใจเย็นมากขึ้น เขาปล่อยพลังความเย็นออกมาอย่างสบายๆและโจมตีคลื่นมิติเหนือศีรษะ ดูเหมือนเขาอยากจะทำลายมิติให้เป็นชิ้นๆเพื่อหนีออกมา

 

ไป่ลั่วเยาะเย้ย

 

“ถ้าคลื่นมิติของข้าถูกทำลายง่ายๆ มันก็คงจะไม่ยุติธรรมกับคนที่แพ้ข้าไป!”

 

อย่างไรก็ตาม พลังความเย็นที่ถูกยิงเข้าใส่คลื่นมิติก็ได้หายไปโดยไม่ปรากฏอีกครั้ง ซือหยูมองดูการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจพลังของอีกฝ่ายแล้ว

 

“จะเป็นอย่างนั้นรึ มันมีขีดจำกัดของพลังที่มิติจะรับได้ หากพลังเกินกว่าพลังที่มิติรับไหว มิติก็จะถูกทำลายอยู่แล้ว!”

 

ไป่ลั่วเบิกตากว้าง เขาตะตกลึง คนที่ได้ยินต่างสังเกตท่าทางของไป่ลั่วและก็รับรู้พร้อมกัน

 

ซือหยูพูดถูก! กระบวนท่าของไป่ลั่วไม่ได้ไร้เทียมทาน

 

“ถ้าคลื่นมิติทำลายง่ายเช่นนั้น แล้วต่อจากนั้นเจ้าจะทำอะไรเล่า?”

 

ซือหยูตอบโดยไม่คิด

 

“ถ้าข้าพูดไม่ผิด ขีดจำกัดนั้นมีอยู่ ถ้าเจ้าใช้พลังมิติทั้งหมดสร้างคลื่นเดียว บางทีก็มีแค่ขอบเขตภูติที่จะทำลายมันได้ แต่ถ้าเจ้าแบ่งมันออกเป็นเก้า พลังนั่นก็จะอ่อนแอไปเกือบสิบเท่า แค่กึ่งเทพก็ทำลายได้แล้ว”

 

“ออกมา!”

 

ซือหยูตะโกน ร่างกายเปล่งแสงสีแดง ร่างเทียมเพลิงมรกตปรากฏตัว

 

ทั้งร่างเทียมเต็มไปด้วยต้นกำเนิดอัคคีที่ร้อนจนถึงขีดสุด แม้มันจะดูเหมือนไม่มีพลังอะไร มันก็ทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว

 

ฝ่ามือประกบเข้าหากัน กองเพลิงหมุนวนอย่างรวดเร็วระหว่างฝ่ามือ พลังของต้นกำเนิดพุ่งอกอมา!

 

ไป่ลั่วใบหน้าเคร่งเครียด

 

“ถึงต้นกำเนิดจะแข็งแกร่ง เจ้าก็มั่นใจเกินไป ถ้าเจ้าคิดว่ามันจะทำลายคลื่นมิติได้!”

 

“ข้าก็อยู่นี่มิใช่รึ!”

 

ซือหยูยืนอยู่เคียงข้างร่างเทียม หมัดของเขาประสานกัน ก้อนน้ำแข็งหมุนวนถูกสร้างขึ้นมาเช่นกัน

 

“ฮื่ม! เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นต้นกำเนิด พลังนั่นมันไร้ค่า…”

 

“อย่างนั้นเรอะ?!”

 

ซือหยูพูดย้อน สมุนไพรเยือกแข็งข้างจุดกำเนิดพลังปล่อยพลังความเย็นออกมาในทันที

 

ก้อนน้ำแข็งที่หมุนวนระหว่างฝ่ามือปล่อยรังสีพลังอันน่ากลัวออกมา! ความเย็นยะเยือกฉาบทั้งที่ประลอง เสาศิลาทั้งห้าถูกแช่แข็ง สีหน้าของผู้คนบนเสาศิลาเปลี่ยนไป พวกเขาต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อป้องกันตัว

 

“ต้นกำเนิดน้ำแข็ง! …วิชาน้ำแข็งของเขาก็สำเร็จขั้นต้นกำเนิด!”

 

ผู้คนบนเสาศิลาอ้าปากค้าง

 

ถ้าหากปรารถนาจะบ่มเพาะธาตุหนึ่งธาตุจนถึงจุดสูงสุด เขาจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการบ่มเพาะ และพร้อมกับโชคชะตาอันสุดยอด แต่ซือหยูตรงหน้าที่อายุไม่มากไปกว่าสิบเจ็ดปีกลับบ่มเพาะต้นกำเนิดได้ถึงสองธาตุ! ถ้าข่าวนี้แพร่งพรายออกไป มันก็จะเกิดความโกลาหลในทวีปเฉินหลงอย่างแน่นอน

 

ร่างจริงของซือหยูคือต้นกำเนิดน้ำแข็ง ร่างเทียมคือต้นกำเนิดอัคคี พลังต้นกำเนิดทั้งสองคือธาตุที่อยู่ขั้วตรงข้ามกัน ทั้งสองพลังหมุนควงอย่างรวดเร็ว

 

“ไป!”

 

ซือหยูตะโกน

 

พลังทั้งสองพุ่งออกไปยังคลื่นมิติเหนือศีรษะ คลื่นมิติปะทะกับพลังต้นกำเนิดทั้งสองและเปล่งแสง

 

คลื่นมิติสั่นสะเทือน และมันก็ขยายกว้างราวกับหัวใจที่เต้นเร็วสุดขั้ว!

 

ปั้ง–

 

ด้วยพลังของพลังต้นกำเนิดธาตุตรงข้าม คลื่นมิติได้หายไป เปิดทางให้ซือหยูได้หลบหนีก่อนที่เหล่ามิติอื่นจะระเบิดใส่เขา

 

อั่ก–

 

มิติที่สองถูกทำลาย ใบหน้าไป่ลั่วที่ซีดอยู่แล้วกลายเป็นสีแดง เขากระอักเลือดออกมา

 

แต่มันก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ หอกน้ำแข็งคมกริบปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าทันที

 

แม้ไป่ลั่วจะบาดเจ็บ การตอบสนองของเขาก็ยังคงรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เขาขยับตัวหนีออกไป และแม้ว่าเขาจะยังอยู่บนฟ้า ในตอนนั้นก็มีกองเพลิงหมุนวนพุ่งเข้าใส่เขาจากข้างล่าง!

 

ไป่ลั่วชักสีหน้า มิติที่เหลืออีกเจ็ดมิติหายไปเพียงกำมือ พลังเหล่านั้นกลับคืนสู่ร่างกายและเข้ามาปกคลุมผิวกายทั้งหมด เมื่อเพลิงเข้ามาสัมผัสกับคลื่นมิติบนผิวกาย มันก็หายไป

 

แต่ไป่ลั่วเพิ่งจะได้ผ่อนคลาย ใบหน้าภูติก็พุ่งออกมาจากเบื้องล่าง มันเข้ามาเพื่อกัดไป่ลั่ว

 

ไป่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก การโจมตีที่สามกำลังเข้ามา! ขาเล็กๆของเขาถูกใบหน้าภูติผีขย้ำเข้าอย่างเหี้ยมโหด

 

อ๊าก—

 

เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนของพลังมิติที่ขาไป่ลั่วถูกกลืนกินไป! และเลือดเนื้อของเขาก็ถูกกัดกินไปอีก! ใบหน้าภูติผีนั้นเคี้ยวเลือดเนื้ออย่างโลภโมโทสัน มันปล่อยพลังปีศาจอันเข้มข้นออกมา

 

“พลังปีศาจ!”

 

ไป่ลั่วหวาดกลัว เขาหยุดโลหิตและถอยไปพันศอก เขาจ้องมองซือหยูด้วยความชิงชัง

 

ทุกคนอ้าปากค้าง ราชาปีศาจหิมะทมิฬในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า!

 

หลงหวูชิงขมวดคิ้ว

 

“ทุกกระบวนท่าของราชาปีศาจหิมะทมิฬรับมือได้ยากนัก แม้แต่พวกกึ่งเทพก็อาจจะถูกเขาสังหารได้”

 

กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง

 

“น่าสนใจ สายโลหิตปีศาจของน้องข้าดูดกลืนฐานพลังกับเลือดเนื้อได้ พลังมิติของไป่ลั่วก็เป็นพลังจากสายโลหิต มันถูกกดเอาไว้ได้ด้วยพลังปีศาจ”

 

ซือหยูหยุดใช้สายโลหิตปีศาจ แววตาสดใสของเขาปล่อยพลังปีศาจออกมาเล็กน้อย

 

“ก็ไม่เห็นมีอะไร พลังเช่นนี้คู่ควรแล้วรึที่จะควบคุมอาณาจักรทมิฬและปกครองโลก?”

 

คำพูดเยาะเย้ยที่ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดังก้องไปทั่ว

 

ไป่ลั่วบินเข้ามาด้วยความโกรธแค้นและละอายใจ! ไป่ลั่วเคยสรุปว่าพลังของเขานั้นจัดการทุกคนในยุคเดียวกันได้ เขามั่นใจว่าเขาเอาชนะทุกคนได้ แต่ซือหยูกลับเหนือกว่าเขา และทำให้ยากที่เขาจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา!

 

“ฮื่ม! พอได้แล้ว!”

 

ไป่ลั่วใช้พลังมิติอีกครั้ง

 

ด้วยเนตรวิญญาณ ซือหยูเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งโดยรอบ เขาพบว่าจุดไหนที่แปลกไปเพียงแค่เหลือบมอง ดังนั้นแล้วเขาก็หลบคลื่นมิติได้ก่อนที่มันจะถูกสร้างเสียอีก

 

และด้วยพลังกึ่งเทพที่สัมผัสจักรวาลได้ ไป่ลั่วสัมผัสได้ว่าซือหยูนั้นหลบและลงมือก่อนหน้าที่พลังของเขาจะมีผล

 

ทั้งสองไล่ล่าและหลบหนีอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของทั้งสองซ้อนทับกัะนกลางอากาศ ต้นกำเนิดน้ำแข็ง ต้นกำเนิดอัคคี และพลังมิติ ทั้งหมดปะทะกันในระยะใกล้ๆ มันเป็นการต่อสู้อันเข้มข้นถึงขีดสุด แต่ทั้งสองก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้!

 

ฉินยู่ชางมองซือหยูด้วยความนับถือ เขาเริ่มยอมรับจากก้นบึ้งของจิตใจ

 

“พี่จิวหยาง ถ้าต้องสู้กับซือหยู ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะชนะ?”

 

“ข้ามั่นใจเท่าใดน่ะรึ?”

 

ฉินจิวหยางพูดกับตัวเอง ถ้าเป็นครู่ก่อน ฉินยู่ชางคงจะถามว่ากี่กระบวนท่าที่ฉินจิวหยางทนซือหยูได้ แต่ในตอนนี้ ฉินยู่ชางต้องถามว่าฉินจิวหยางมีโอกาสจะชนะหรือไม่ถ้าต้องสู้กับซือหยู

 

“แพ้เสียมาก ชนะเสียน้อย”

 

ฉินจิวหยางพูดช้าๆ

 

น่าแปลกฉินยู่ชางไม่โต้แย้ง เขาพยักหน้ายอมรับ

 

“ราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่งจริงๆ”

 

ในตอนนั้น ทั้งสองประมือกันเกินกว่าร้อยกระบวนท่า ไม่มีใครเลยที่เหนือกว่าอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด

 

จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากพื้นที่ประลอง…..