ในระบบเวทมนตร์โบราณ เวท ‘บิน’ จะเป็นของโหราศาสตร์ แต่ในระบบเวทมนตร์สมัยใหม่ มันจะเป็นของทั้งศาสตร์แห่งกำลังและโหราศาสตร์ เพราะหลักการของคาถานี้คือการใช้แรงดึงดูดจากดวงดาวเพื่อต่อต้านแรงโน้มถ่วงบนพื้นโลก

ลูเซียนหลับตาลงและเพลิดเพลินไปกับสายลมยามราตรีขณะบินโฉบไปมาอย่างเป็นอิสระอยู่บนท้องฟ้า แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียดทั้งหมดออดไป เพียงแต่ว่าการบินของเขาค่อนข้างเชื่องช้า และเขาก็จำเป็นต้องเพ่งณานสมาธิไปที่ดวงดาวทั้งหลายเพื่อคำนวณทิศทางและมุมในการบิน เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาอะไร ลูเซียนรู้ว่าเขาจำเป็นจะต้องหาเวทสนับสนุนมาช่วยในการคำนวณ และก่อนที่เขาจะได้เรียนเวท ‘บิน (ขั้นสูง)’ เวทมนตร์ระดับหก เขาจะไม่มีทางบินได้เร็วเท่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์แน่ๆ แต่บางทีเขาอาจจะใช้พลังงานน้ำ และพลังงานลม เพื่อพัฒนาได้สักเล็กน้อย

ขณะที่ลูเซียนกำลังเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์แสนมหัศจรรย์จากการบินเป็นครั้งแรก เขาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังขึ้น “ท่านขอรับ ท่านได้ละเมิดกฎการควบคุมของอัลลิน มาตราที่สิบแปด ที่ว่าการบินถือเป็นเรื่องต้องห้ามในเมืองอัลลิน เว้นแต่จะเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากทางสภา เพราะฉะนั้น… จะจ่ายค่าปรับหรือจำคุกขอรับ”

ลูเซียนกระชากเปลือกตาขึ้นด้วยความมึนงง และก็ได้เห็นนักเวทหนุ่มตรงหน้าเขาที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำและติดเหรียญตรารูปเปลวเพลิง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาคือนักเวทสายต่อสู้ นักเวทหนุ่มผมดำมีท่าทางตึงเครียด และจากเหรียญตราบนอกเขา ลูเซียนรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นนักเวทระดับสี่ และเขาก็ทำงานให้กับฝ่ายลงทัณฑ์ของสภาเวทมนตร์

ทว่า นักเวทหนุ่มยังติดเหรียญตรารูปขนนกสีขาวอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเขาได้รับการอนุญาตให้บินได้เป็นกรณีพิเศษ แต่ลูเซียนไม่ใช่แบบนั้น

ลูเซียนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองตื่นเต้นเสียจนลืมข้อเท็จจริงที่ว่าห้ามบินในเมืองอัลลินไปเสียสนิท เขาลูบหน้าผากเบาๆ ด้วยความอับอายก่อนจะเอ่ยถาม “ค่า… ค่าปรับเท่าไหร่หรือ”

แต่ก่อนที่นักเวทหนุ่มจะกล่าวตอบ ลูเซียนก็คิดถึงความเป็นจริงที่ว่าตอนนี้เขาเหลือคะแนนอยู่แค่หกสิบเอ็ดคะแนนเท่านั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนคำถามใหม่ “ข้าหมายถึง… ข้าจะโดนจำคุกนานแค่ไหนหรือ”

เมื่อเห็นว่าลูเซียนค่อนข้างให้ความร่วมมือ นักเวทหนุ่มจึงลดท่าทีตึงเครียดลง “เราอยู่ในเขตนอกตัวเมืองของอัลลินในตอนนี้ เพราะฉะนั้น โชคดีหน่อยขอรับ บทลงโทษจะไม่ร้ายแรงเท่ากับการที่ท่านไปบินอยู่เหนือใจกลางเมือง และอีกอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านทำผิด ดังนั้นค่าปรับคือสามสิบคะแนน และหากท่านอยากจะจำคุกมากกว่า ท่านจะต้องอยู่ในนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนขอรับ”

“หนึ่งเดือน?! ก็ได้ๆ… ข้าเลือกจ่ายค่าปรับ” แม้ว่าลูเซียนจะไม่อยากสูญเสียเงินไปเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ในคุกตลอดทั้งเดือนเช่นกัน จึงตัดสินใจให้สถานการณ์นี้เป็นการ ‘ฉลอง’ การเลื่อนระดับแบบพิเศษให้กับตนเอง เพื่อที่เขาจะรู้สึกดีขึ้น

“รับทราบ…” นักเวทหนุ่มลงชื่อบนตั๋วใบหนึ่งแล้วยื่นส่งให้ลูเซียน “เพียงนำตั๋วนี้ไปที่ฝ่ายลงทัณฑ์และจ่ายค่าปรับก็เสร็จสิ้นขอรับ” จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นแหวนวงสวยบนมือขวาของลูเซียน “ท่านอีวานส์ ยินดีด้วยขอรับ ท่านเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางแล้ว ท่านคือนักเวทอีกคนหนึ่งที่กลายเป็นนักเวทระดับกลางได้ก่อนอายุยี่สิบสองปี ข้าเชื่อว่าแรงผลักดันนี้จะยังคงอยู่จนกว่าท่านจะขึ้นสู่ระดับสูงนะขอรับ”

ความจริงแล้ว ร่างนี้ยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดถึงอายุจริงของลูเซียนแล้วล่ะก็ อายุก่อนที่เขาจะมายังโลกนี้คือยี่สิบห้า

ลูเซียนส่งยิ้มสุภาพให้ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณขอรับ ท่านเป็นคนแรกที่แสดงความยินดีกับข้าเลยล่ะ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่”

นักเวทประจัญบานผู้นั้นตอบกลับอย่างขบขัน “ย่อมได้ขอรับ ข้าไม่กลัวการแก้แค้นจากท่านหรอก ท่านอีวานส์ ข้าชื่อจูริเซียน จากฝ่ายลงทัณฑ์และฝ่ายนักเวทประจัญบานขอรับ เพื่อนร่วมงานข้าเห็นท่านจาก ‘ดวงตาแห่งอัลลิน’ และพบว่าท่านเป็นจอมเวทระดับสี่ ข้าจึงถูกส่งมารับมือกับท่านขอรับ”

“เดี๋ยวนะ… ท่านคือจูริเซียนงั้นหรือ จอมเวทผู้มีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งแม่เหล็กไฟฟ้าผู้นั้นน่ะหรือ” ลูเซียนค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว ลาซาร์ ร็อค และเพื่อนคนอื่นๆ ของลูเซียนต่างยัดเยียดข้อมูลมากมายเกี่ยวกับอัจฉริยะวัยเยาว์ในสภาเวทมนตร์เข้ามาในสมองเขา ดังนั้นลูเซียนจึงจำชื่อได้ในทันที

จูริเซียน จอมเวทระดับสี่ เคยเป็นผู้ที่เกือบจะได้รับรางวัล ‘เหรียญจันทราเงิน’ เพราะค้นพบลำแสงที่ใช้ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวและวัตถุ แต่ด้วยความคลั่งไคล้ต่อการต่อสู้และการประลองมีมากมาย เขาจึงสมัครเข้าทำงานกับฝ่ายลงทัณฑ์และฝ่ายนักเวทประจัญบานด้วยตนเอง

จูริเซียนยิ้มกล้างแล้วกล่าวตอบ “ข้าคงจะไม่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอีวานส์หรอกขอรับ ในความคิดของนักเวทรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ เรามีอัจฉริยะเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือท่านฟิลิป ผู้ที่ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ครั้งหนึ่งและชนะรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ ถึงสองครั้ง ส่วนอัจฉริยะอีกคนก็คือท่าน ท่านอีวานส์ ต้องขอบอกเลยว่าท่านทั้งสองได้นิยามคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ขึ้นมาใหม่ เพราะตอนนี้ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกแล้วหากว่าพวกเขายังไม่ชนะรางวัลอันเป็นเกียรติสูงสุดในศาสตร์ของพวกเขา ดังนั้นราเชล อาเธอร์ ซาแมนธา แลร์รี่ และนักเวทคนอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงตัวข้า จึงเป็นเพียงคนทั่วไปเท่านั้นขอรับ”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจูริเซียนเป็นผู้ที่เลือกสรรถ้อยคำได้อย่างชาญฉลาด เขาแสดงถึงความเคารพที่มีต่อลูเซียนอย่างอ้อมๆ

หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จูริเซียนก็เรียกใช้ ‘วงแหวนเวทมนตร์อัลลิน’ แล้วหายวับไปในอากาศ ทิ้งให้ลูเซียนจ้องมองตั๋วในมืออยู่เพียงลำพัง

ลูเซียนรู้สึกซาบซึ้งที่เขาจะได้รับเงินสงเคราะห์หกสิบคะแนนทุกๆ เดือนนับแต่นี้ต่อไป ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกับการทดลองคงจะพอครอบคลุมในขั้นหนึ่ง แต่ว่า งบประมาณของเขาจะจำกัดขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ลูเซียนก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับที่เสนอให้ติดตั้งวงแหวนชำระล้างไว้ในโรงงาน มิเช่นนั้นเขาคงจะได้รับเงินมามากกว่าในตอนนี้แน่

หลังจากเก็บตั๋วไว้ในกระเป๋ากางเกง ลูเซียนก็ค่อยๆ ร่อนลงช้าๆ ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็มองไปทางความมืดมิดฝั่งตะวันตก เขาหวังเหลือเกินว่าจะมีโอกาสได้กลับไปนครอัลโต้เพื่อพบเจอกับเพื่อนๆ ที่นั่น

ตอนที่เท้าของลูเซียนกำลังแตะกับขอบหน้าต่างบ้าน หน้าต่างห้องข้างๆ เขาก็เปิดออก เป็นเลย์เรียและไฮดี้นั่นเอง

เด็กสาวทั้งสองตื่นขึ้นมาแล้วนอนหลับต่อไม่ได้เพราะความคิดถึงบ้าน ทั้งสองจึงเปิดหน้าต่างออกมาดูท้องฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับ

“ท่านอีวานส์?” ทั้งสองประหลาดใจ

“เจ้าสองคนนอนไม่หลับเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนส่งยิ้มให้ “อยากจะได้แบบฝึกหัดอาร์คานาอีกสักชุดหรือไม่เล่า”

เด็กสาวทั้งสองพลันสัมผัสได้ถึงภัยร้าย จึงถอนหลังกลับไปพร้อมกัน “ไม่เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอีวานส์นะเจ้าค่ะ แต่เราไม่เป็นไร เราแค่อยากจะ… ปิดหน้าต่างแล้ว สวัสดีปีใหม่และขอให้ท่านได้เป็นนักเวทระดับกลางในปีนี้นะเจ้าค่ะ!”

จากนั้นทั้งสองก็ปิดหน้าต่างไปต่อหน้าต่อตาลูเซียน

สองวินาทีผ่านไป หน้าต่างบานนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เด็กสาวทั้งสองจ้องมองตรงมาทางลูเซียนที่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทั้งสองพลันมีสีหน้าตกตะลึง

“ท่านอีวานส์เลื่อนระดับแล้วอย่างนั้นหรือ นี่เราหลับไปหนึ่งปีเลยรึ?!”

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ลูเซียนได้ประทับเวทมนตร์ระดับสามที่ชื่อ ‘ดวงดาวแห่งมัสเคลินย์’ ไว้ในดวงจิตของเขา หลังจากแน่ใจว่าพลังใหม่ของเขาเสถียรพอแล้ว ตอนนี้ลูเซียนกำลังมุ่งหน้าไปยัง ‘หอคอยอัลลัน’ เพื่อปรับระดับเหรียญตราเวทมนตร์ของตน

จนถึงตอนนี้ ลูเซียนได้สร้างสัญลักษณ์เวทมนตร์ระดับหนึ่งไปแล้วยี่สิบเจ็ดบท ระดับสองสิบเจ็ดบท และระดับสามสามบทไว้ในดวงจิตของเขา และนั่นก็ถือเป็นจำนวนที่มากกว่านักเวทระดับสามโดยเฉลี่ยถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเวทมนตร์ระดับสามของลูเซียนทั้งหมด ยกเว้น ‘บิน’ ต่างเป็นเวทมนตร์พิเศษที่เขาพัฒนาขึ้นเอง!

ในฝ่ายบริหารจัดการนักเวท สีหน้าประหลาดใจของอีริคกลายเป็นภาพชินตาของลูเซียนไปเสียแล้ว เขายื่นมือออกมาพลางกล่าวว่า “ยินดีด้วย อีวานส์ เจ้านี่อัจฉริยะจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะใช้น้ำยาเวทมนตร์ช่วย แต่พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเจ้าก็แน่นมากๆ อีกไม่นานนักเวทระดับสูงหรือผู้วิเศษก็คงอยากได้เจ้าเป็นไปลูกศิษย์แน่ๆ”

“ขอบคุณขอรับ ท่านอีริค” ลูเซียนจับมือกับอีริคแล้วยื่นเหรียญตราเวทมนตร์ให้ “นอกเหนือจากศาสตร์แห่งธาตุและโหราศาสตร์แล้ว ศาสตร์อื่นๆ ข้ายังใหม่มากขอรับ”

อีริครับเหรียญตราเวทมนตร์ของลูเซียนไปพร้อมกับเอ่ยเตือน “ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกเวทสนับสนุนเก็บไว้ในเหรียญตราได้ถาวรแล้วนะ เจ้าอยากได้เวทแบบไหนหรือ”

“ข้าขอเลือกอย่างอื่นแทนที่เวทสนับสนุนได้หรือไม่ขอรับ” เพราะมีแหวน ‘เวทธาตุ’ อยู่แล้ว ลูเซียนจึงไม่ต้องการเวทสนับสนุนระดับกลางไว้บนเหรียญตรา เขาจึงร้องขอทางเลือกอื่นไปตามตรง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีริคต้องเจอกับคำถามนี้ เขาจึงถามกลับมาอย่างตรงประเด็น “เจ้าต้องการอะไรล่ะ มันจะมีค่ากว่าเวทสนับสนุนระดับกลางไม่ได้นะ”

“ข้าอยากได้เวทปั้นแต่งขอรับ ท่านอีริค เพื่อเพิ่มระยะหวังผลของคาถาบทหนึ่ง” ลูเซียนต้องใช้มันเพื่อเวท ‘บอลไฟยักษ์ของลูเซียน’ แม้ว่าเขาจะต้องใช้พลังวิญาณเพิ่มขึ้นสองเท่าในการร่ายคาถาเวทพร้อมกับเวทปั้นแต่ง แต่นั่นจะทำให้ประสิทธิภาพของบอลไฟมีเสถียรภาพมากขึ้น

สภาเวทมนตร์ได้พัฒนาเวทเสริมออกมาหลากหลายชนิด นั่นรวมถึงเวทร่ายคาถาโดยไร้เสียง ร่ายคาถาฉับพลัน ร่ายคาถาเสริม เวทปั้นแต่งทุกชนิดและอื่นๆ อีกมากมาย จอมเวทหรือนักเวทจำเป็นต้องผ่านข้อกำหนดก่อนเพื่อให้ได้รับเวทเหล่านี้ด้วยการแลกเปลี่ยน และพวกมันก็ไม่ใช่ถูกๆ เลย แต่เวทปั้นแต่งที่ลูเซียนร้องขอนี้คือเวทที่ถูกที่สุด

“มูลค่าพอๆ กัน” อีริคผงกศีรษะ “แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าอาจต้องเสียคะแนนเพิ่มประมาณสิบถึงห้าสิบคะแนนนะ”

“ไม่มีปัญหาขอรับ” แม้ลูเซียนจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจเขากำลังหลั่งโลหิต เขาเพิ่งจะจ่ายค่าปรับไป และตอนนี้เขาก็เหลือคะแนนอยู่แค่สามสิบเอ็ดเท่านั้น และสามสิบเอ็ดคะแนนนี้ก็เป็นส่วนที่เหลือจากการขายกริชเหล็กกล้าเมื่อก่อนหน้านี้ หากว่าเขายังต้องใช้เงินหลังจากนี้อีก ลูเซียนก็คงจำเป็นต้องขายกริชดูดพลังแล้ว

อีริควางเหรียญตราของลูเซียนพร้อมกับกระดาษโน้ตไว้ในกรงเวทมนตร์แล้วจากนั้นจึงดึงกระดิ่ง แสงสีเงินระเบิดโพลงแล้วสิ่งของในกรงนั้นก็หายไป

สิบนาทีหลังจากนั้น กระดิ่งก็เริ่มสั่นระรัว เหรียญตราถูกส่งกลับมา พร้อมกับกระดาษหนังม้วนหนา

อีริคยื่นเหรียญตราให้กับลูเซียนแล้วขมวดคิ้ว “อีวานส์ เจ้าเพิ่งจะจ่ายค่าเวทปั้นแต่งไปสามสิบคะแนน และเจ้ายังได้รับภารกิจบังคับมาด้วย”

ตอนนี้ลูเซียนกลายเป็นนักเวทระดับกลางแล้ว การได้รับภารกิจบังคับจากสภาเวทมนตร์จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา และตอนนี้ก็เป็นช่วงต้นปีพอดีเสียด้วย

ทว่า ลูเซียนก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ที่เขาได้รับภารกิจมาเร็วถึงเพียงนี้ เขารับเหรียญตรากลับมาพร้อมกับม้วนกระดาษหนังที่มีเวทปั้นแต่งเขียนไว้บนนั้น แล้วเริ่มดึงข้อมูลภารกิจออกมาจากเหรียญตราเวทมนตร์

‘จำกัดปีศาจ (ง่าย): ในหุบเขาคาปัส อาณาจักรโฮล์ม นักเวทระดับสามพยายามอัญเชิญปีศาจระดับต่ำออกมาแต่ล้มเหลว นักเวทเสียชีวิตเพราะมันและพวกปีศาจก็เข้าครอบครองปราสาทแล้ว เจ้าจะต้องกำจัดปีศาจไปพร้อมกับนักเวทท่านอื่นที่ได้รับภารกิจนี้เช่นกัน รางวัล: ห้าสิบคะแนนอาร์คานา’

……………………