ตอนที่ 603 เสือไม่กินคน

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เจ้าสิบหก ที่นั่นคือบ้านเกิดของเจ้าหรือ” กลางอากาศ มั่วหร่านอีถามพลางมองลงไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและสายน้ำใส

มั่วชิงเฉินเปล่งเสียงตอบรับ นางยืนนิ่งท่ามกลางก้อนเมฆ

มั่วหร่านอีมองด้วยสายตาสนอกสนใจ “ยากจะหาที่เงียบสงบแท้ๆ เป็นอะไรไปเล่า กลับบ้านเกิดแล้วขี้ขลาดขึ้นมาหรืออย่างไร”

มั่วชิงเฉินยิ้มจางๆ ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยวูบหนึ่ง “พี่เก้า พี่สิบ พวกเราลงไปกันเถิด”

ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม มีเพียงผู้คนที่เปลี่ยนไป มิใช่ว่ากลับบ้านเกิดแล้วขี้ขลาดขึ้นมา หากแต่สะเทือนใจเมื่อได้พบเจออีกครั้งก็เท่านั้น

ตู้รั่วเองก็ดับสูญลงไปในที่ที่ไม่ไกลจากที่นี่

ในฐานะที่มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง กระทำการใดก็ยิ่งตามใจตัวเองมากขึ้น

มั่วหร่านอีในตอนนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นกลาง ด้วยนิสัยของนางก็ยิ่งไม่ปกปิดฐานะต่อหน้าคนธรรมดา

ส่วนมั่วเฟยเยียนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

สามพี่น้องค่อยๆ ร่อนลงมาจากก้อนเมฆอย่างผ่าเผย

จอบของบุรุษที่กำลังใช้ขุดดินอยู่ในทุ่งนาพากันร่วงลงบนพื้น สตรีที่กำลังซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำปล่อยผ้าให้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำลืมไล่ตาม เหล่าเด็กๆ ต่างลืมร้องไห้งอแง ทั้งหมดมองขึ้นไปบนฟ้า

จากนั้นก็คุกเข่าลงทีละคน โขกหัวพลางร้องเรียกเทพธิดา

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนร่อนลงบนผืนดิน ชาวบ้านเหล่านั้นที่นับถือพวกนางดุจดั่งเทพเซียน ทำเพียงแค่มองอย่างเคารพยำเกรง แต่ก็ไม่ได้รีบหนีไป

มั่วชิงเฉินยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น หาใช่เซียนไม่ พวกเรามาที่นี่เนื่องด้วยมีเรื่องต้องสืบหาต้นตอ ขอพวกท่านอย่าได้ตกใจ”

เหล่าชาวบ้านคลายความกังวลลงไปมาก จากนั้นก็มองไปทางพวกนางด้วยสายตากระตือรือร้น

มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย ชาวบ้านเหล่านี้ตื่นเต้นกันเกินไปแล้ว

กำลังจะปริปากพูด พลันได้ยินเสียงเด็กเอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “พี่สาวท่านเซียน พวกท่านมาสยบปีศาจใช่หรือไม่”

“สยบปีศาจหรือ” มั่วชิงเฉินสะดุ้งเล็กน้อย

อาจเพราะเห็นท่าทางอ่อนโยนของนาง เหล่าชาวบ้านถึงได้คุกเข่าอีกครา ตามด้วยพูดเสียงดังต่อเนื่อง “ท่านเซียนทั้งสาม พวกท่านล้วนมีเมตตา ขอท่านโปรดกำจัดปีศาจที่ทำร้ายคนนั่นด้วย…”

มั่วหร่านอีเม้มริมฝีปากอย่างหมดความอดทน ส่วนมั่วเฟยเยียนใบหน้าเรียบนิ่ง มองไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร

มั่วชิงเฉินทำได้เพียงพูดว่า “มิทราบว่าผู้ใดคือผู้ใหญ่บ้านหรือ”

ชายชราผู้หนึ่งแทรกตัวออกมาจากฝูงชน พลางพูดอย่างสั่นๆ ว่า “ผู้เฒ่าเองขอรับ”

“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ให้เรียกขานอย่างไร”

“ผู้เฒ่าแซ่หลิ่ว”

หัวใจของมั่วชิงเฉินกระตุกวาบ ใบหน้าราบเรียบ “ผู้ใหญ่บ้านหลิ่ว ปีศาจที่พวกท่านพูดถึงก่อเรื่องอะไรหรือ”

ผู้ใหญ่บ้านหลิ่วรีบกล่าว “เรื่องเป็นเช่นนี้ขอรับ แต่เดิมหมู่บ้านเล็กๆ ของเราสงบสุขมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ว่ากันว่าเทพสวรรค์โกรธเกรี้ยวมากจึงส่งศิลาเทพและไฟสวรรค์ลงมา ยอดเขาถูกทำลายจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่ทางนี้ที่ห่างไกลออกมากลับเงียบสงบมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเราต่างคิดว่าเป็นเพราะเทพสวรรค์คอยคุ้มครอง คาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นไม่นานปีศาจตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น มันอาศัยอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน ไม่กี่ปีก็มาสร้างความหายนะให้แก่หมู่บ้าน คาบสตรีนางหนึ่งกลับไป หลายปีมานี้เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านถูกปีศาจตนนั้นคาบไปกินนับสิบคนแล้ว บรรพบุรุษของพวกเราอาศัยอยู่ที่นี่มิได้ไปไหน กลับต้องเห็นลูกหลานถูกปีศาจคาบไป ช่างน่าเศร้าเสียจริง เวลานี้จักต้องเป็นเพราะเทพสวรรค์คุ้มครองแน่ ถึงได้ส่งท่านเซียนทั้งสามมาสยบปีศาจปราบมาร”

เหล่าชาวบ้านต่างพากันโค้งคำนับ “ท่านเซียนทั้งหลายได้โปรดเมตตาช่วยชีวิตพวกเราด้วยเถิด”

เมื่อได้ยินว่าสี่สิบกว่าปีก่อน มั่วชิงเฉินก็นึกถึงเจ้าปีศาจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ของพวกนางก็คือตอนนั้น

หรือว่าปีศาจตนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าปีศาจ

คิดมาถึงตรงนี้ นางก็คิดว่าต้องสืบข่าวให้ชัดเจนเสียแล้ว

“พวกท่านบอกข้าหน่อยว่าปีศาจตนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร” มั่วหร่านอีถามอย่างสงสัย

“ปีศาจตนนั้นรูปลักษณ์คล้ายเสือ ทว่ามีขนสีน้ำเงิน กายขนาดเท่าลูกวัว แค่มองก็น่ากลัวแล้ว…” เหล่าชาวบ้านแย่งกันตอบ

“เจ้าสิบหก พวกเจ้าทำธุระที่นี่ ส่วนข้าไปเจออสูรปีศาจตนนั้นไม่ดีกว่าหรือ” มั่วหร่านอีพูดพลางกวาดตามองชาวบ้าน “พวกท่านคนไหนจะนำทาง”

ชาวบ้านที่ถูกมองต่างกลัวจนหัวหด

“ไม่มีผู้ใดนำทางหรือ” มั่วหร่านอีเลิกคิ้วอย่างหมดความอดทน

เหล่าชาวบ้านกลัวจนก้าวถอยไปข้างหลัง พลางส่ายหัวอย่างแรง

มั่วหร่านอีขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปดูคนเดียว…”

“พี่สิบ เกรงว่ามิต้องไปแล้ว ปีศาจตนนั้นมาแล้ว!” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็ทะยานขึ้นและพุ่งตัวไปทิศทางหนึ่ง

มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีเห็นเช่นนั้นก็รีบตามไป

กลิ่นอายของทั้งสามดูน่ากลัวเสียจนเมื่อเสือขนสีน้ำเงินเพิ่งจะปรากฏตัว ก็กลัวเสียจนรีบเหาะหนีไป

“ไม่ต้องหนีแล้ว” มั่วชิงเฉินร่อนลงตรงหน้าเสือขนสีน้ำเงิน มือถือก้อนอิฐพลางพูดเสียงเรียบ

เสือขนสีน้ำเงินอยู่ขั้นเจ็ด สติปัญญาไม่ต่ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ เห็นสีหน้าซีดลงจนเกือบเป็นสีขาว ทันใดนั้นก็มองไปรอบทิศทาง มองเห็นมั่วเฟยเยียนกับมั่วหร่านอีร่างกายก็สั่น ท้ายที่สุดก็ถอยไปคุกเข่ากลางอากาศ ประกบสองขาหน้าเข้าด้วยกัน น้อมคำนับพลางกล่าว “ขอท่านเซียนทั้งสามไว้ชีวิตข้าด้วย…”

ทั้งสามคนล้วนงงงัน

มั่วหร่านอีหัวเราะเสียงดัง “พี่เก้า น้องสิบหก พวกเจ้ารีบดูสิ เสือขนสีน้ำเงินตนนี้ช่างน่าขันเสียจริง”

เสือขนสีน้ำเงินกัดฟันกรอด พลางพูดในใจ เจ้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายแสนต่ำต้อยนี่ช่างกำแหงนัก หากไม่ได้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยู่ด้วยถึงสองคนละก็ ปู่จับเจ้ากินรองท้องไปนานแล้ว

“เจ้าคิดจะจับใครกินรองท้องกัน!” มั่วหร่านอีทะยานขึ้น จากนั้นก็ตบใบหน้าของเสือขนสีน้ำเงินหนึ่งที

เสือขนสีน้ำเงินไม่ได้ขัดขืน มันมองไปทางมั่วชิงเฉินที่มีระดับสูงสุดอย่างใจลอย “ปู่พูดออกมาหรือ”

มั่วชิงเฉินพยักหน้ายืนยัน

เสือขนสีน้ำเงินยกขาหน้าขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง จากนั้นแอบมองสีหน้าของมั่วชิงเฉินลอดผ่านซอกอุ้งเท้า

ในความคิดอันบริสุทธิ์ของอสูรปีศาจนั้น ชัดเจนแล้วว่าผู้ใดมีระดับสูงที่สุดผู้นั้นก็คือหัวหน้า

มุมปากของมั่วชิงเฉินกระตุกเล็กน้อย เดิมทีได้ฟังคำบรรยายของชาวบ้าน อสูรปีศาจตนนี้จักต้องดุร้ายอย่างแน่นอน แล้วมันทำท่าทางใสซื่อเยี่ยงนี้ทำไมกัน

เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่นางจะได้พบกับอสูรปีศาจปกติสักตน

มั่วหร่านอีที่เห็นมันหยาบคายใส่ตน แต่กลับทำเพียงแค่มองสีหน้าของมั่วชิงเฉิน ในใจก็โกรธจนตบไปที่ใบหน้าอีกครั้ง ตามด้วยตำหนิ “เจ้าทึ่ม เจ้ามองไปทางไหนกัน”

มุมปากของมั่วชิงเฉินกระตุกอีกครา

พี่สิบ นิสัยแข็งนอกอ่อนในของท่านนั้น อย่าเอาไปลงกับเสือแค่ตัวหนึ่งได้หรือไม่

สบตากับมั่วเฟยเยียน มั่วเฟยเยียนก็หันหน้าหนีอย่างเงียบๆ

เสือขนสีน้ำเงินกระโดดขึ้น ตามด้วยตวัดหางไปทางมั่วหร่านอีอย่างแรง “หุบปาก หากเพียงแค่เจ้าคนเดียว ปู่จับเจ้ากินไปนานแล้ว! พละกำลังแค่นั้นยังอวดดี เสียชีพไม่อาจเสียศักดิ์!”

พริบตาเดียวเสือขนสีน้ำเงินกับมั่วหร่านอีก็ต่อสู้กันปึงๆ ปังๆ มั่วชิงเฉินได้แต่ลูบหน้าผาก นางเก็บก้อนอิฐลงในกำไลเก็บวัตถุและหยิบม้านั่งออกมาหนึ่งตัว “พี่เก้า นั่งเถิด”

มั่วเฟยเยียนนั่งลงเงียบๆ และหยิบผลซิ่งอบแห้งออกมาจากถุงเก็บวัตถุออกมายื่นให้

อสูรปีศาจขั้นเจ็ดกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายมีพละกำลังพอๆ กัน

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เพิ่งเริ่ม ชาวบ้านบนพื้นดินต่างตกใจกลัวจนวิ่งกลับเรือน จากนั้นเงยหน้ามองพวกเขา ต่อมาก็เห็นทางมั่วชิงเฉินทั้งสองคนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม มั่นใจว่าจะต้องได้เปรียบแน่ ท้ายที่สุดก็ขยับม้านั่งและหยิบเมล็ดแตงออกมาพลางพากันมุง

มั่วชิงเฉินทานผลซิ่งอบแห้งชิ้นสุดท้ายหมดก็เช็ดมือ “พี่สิบ ท่านอย่าสู้อีกเลยจะมืดแล้ว”

นางมองออกว่ามั่วหร่านอีมีนิสัยอวดดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่ยอมใคร พอโตขึ้นพี่น้องก็แยกจากกัน จนตอนนี้มาเจอกันอีกครา ระดับการบำเพ็ญเพียรห่างชั้นกันอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมในใจนางถึงได้ไม่สบอารมณ์

แต่เสือขนสีน้ำเงินตนนี้กลับรนหาที่ตาย

มั่วหร่านอีหอบหายใจ มองไปทางเสือขนสีน้ำเงินอย่างเกรี้ยวกราด “เหอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

เสือขนสีน้ำเงินเองก็ไม่มีท่าทีอ่อนข้อ “หึ ฝากไว้แล้วอย่ามาเอาคืนล่ะ ครั้งหน้าหากคนเช่นเจ้ามาเพียงลำพัง ปู่ไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

“นี่คือเสือจริงหรือ” จู่ๆ มั่วเฟยเยียนที่มีท่าทีไม่แยแสมาตลอดก็หันหน้ามาพลางถามอย่างจริงจัง

มั่นชิงเฉินในใจพลันรู้สึกสนุก นางทำใจสังหารอสูรปีศาจตนนี้ไม่ได้แล้ว จึงกวักมือพลางเอ่ย “ปู่ มานี่หน่อย”

เสือขนสีน้ำเงินสดุ้งตกใจกลัว มันค่อยๆ ขยับไปตรงหน้ามั่วชิงเฉินและพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ท่านเซียนเมตตาข้าแล้ว ข้ามีนามว่าอาชิงขอรับ”

“เอ๋ ข้านึกว่าเจ้ามีนามว่าปู่เสียอีก” ใบหน้าของมั่วชิงเฉินไร้อารมณ์ นางเชิดหน้าขึ้น “เล่ามาถิด เรื่องที่เจ้ากินคนนั้นเป็นมาอย่างไรกัน ข้าไม่คิดว่าอสูรปีศาจขั้นเจ็ดตนหนึ่งมีความจำเป็นต้องกินคนธรรมดา”

“คือว่า…” เสือขนสีน้ำเงินลังเล

“จะพูด หรือจะตาย เจ้าคิดดูให้ดีๆ สักหน่อย” มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ

เสือขนสีน้ำเงินพลันร้องไห้ “มนุษย์เช่นพวกเจ้าล้วนไม่ฟังเหตุผลหรือไร”

“ดูท่าว่าเจ้าจะคิดดีแล้วใช่ไหม” มั่วชิงเฉินหยิบก้อนอิฐขึ้นมาอีกครา จากนั้นวางลงบนโต๊ะชุดน้ำชา

เสือขนสีน้ำเงินขนลุกชัน มันจ้องตากับมั่วชิงเฉินอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างท้อใจ “ข้ายอมบอกก็ได้ หลายสิบปีก่อน ปู่…ข้ากำลังอาบแดดอยู่ในหลุมหญ้าไกลออกไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีผู้สูงส่งร้องเรียก จึงรีบวิ่งมาอย่างไม่กล้ารีรอ แต่ที่พบกลับไม่ใช่ผู้สูงส่งอะไร เป็นเพียงมนุษย์ที่กำลังจะสิ้นลมผู้…”

ใจของมั่วชิงเฉินกระตุก “เจ้าเลยจับเขากินหรือ”

เสือขนสีน้ำเงินส่ายหน้าทันที “ปู่แค่คิดเท่านั้น คนผู้นั้นใช้อาคมปีศาจได้ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถูกเขาควบคุม หลายปีมานี้เขารักษาบาดแผลมาโดยตลอด ปู่ลดตัวจากราชาแห่งภูเขามาเป็นเพียงข้ารับใช้ตั้งหลายสิบปีเชียวนะ!”

มั่วชิงเฉินตะลึงงัน หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้าปีศาจ

นางถามเสือขนสีน้ำเงินอย่างไม่สนใจเสียงของมัน “แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสตรีเหล่านั้นกัน หรือว่าคนผู้นั้นต้องกินคนเพื่อรักษาแผล”

เสือขนสีน้ำเงินลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตอบออกมา “ท่ามกลางหุบเขาช่างอ้างว้าง ต้องคาบเหล่าสตรีกลับไปถึงจะครึกครื้น…”

เมื่อเห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉินมืดครึ้ม มันก็พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “หลายปีมานี้ ข้าคาบกลับไปแค่สิบนางเท่านั้น ไม่ได้กลืนลงท้องไปสักนาง”

“ที่แท้ก็เดรัจฉาน ยังไม่ทันเปลี่ยนร่างก็ย่ำยีสตรี น้องสิบหก เดรัจฉานเช่นนี้ไม่สู้สังหารแล้วถลกหนังออกมาเสียเล่า ยังจะรีรออะไรอยู่!” มั่วหร่านอีพูดด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

เสือขนสีน้ำเงินมองมั่วหร่านอีอย่างอดทน หักห้ามใจที่จะกลืนนางลงท้องทั้งเป็น

มั่วชิงเฉินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ความคิดของนางวกไปวนมา

มนุษย์ที่เสือขนสีน้ำเงินตนนี้พูดถึง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเจ้าปีศาจ เขาบาดเจ็บหรือ

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยปาก “อาชิง พาข้าไปพบคนผู้นั้น”

เมื่อเห็นมันลังเล นางจึงพูดด้วยเสียงเย็น “จะให้ถลกหนังตอนนี้หรือจะพาข้าไป เจ้าเลือกเอง”

“พาท่านไปขอรับ” อาชิงตอบเสียงค่อยสีหน้าหม่นหมอง

มั่วชิงเฉินเก็บของอย่างรวดเร็ว มองไปทางมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอี “พี่เก้า พี่สิบ พวกท่านรอข้าที่หมู่บ้านนี้เถิด ข้าจะไปดูสักหน่อย”

“เหตุใดถึงไม่ไปด้วยกันเล่า” มั่วหร่านอีย่นคิ้ว

มั่วชิงเฉินอธิบาย “ข้ามีสมบัติวิเศษที่ใช้ดำดินได้ ข้าไปดูสถานการณ์ก่อน หากมีอันตรายจะรีบกลับมาทันที หรือไม่ก็จะส่งสัญญาณให้พวกท่านไปช่วย ถ้าหากไปด้วยกันแล้วพบเหตุไม่คาดคิดอาจเป็นอันตรายทั้งหมดได้”

ไม่ว่าอย่างไรเจ้าปีศาจก็เป็นปัญหาใหญ่ หากว่ามันบาดเจ็บก็อาจจะแก้แค้นแทนตู้รั่วได้ ทั้งยังแก้จัดการปัญหาใหญ่ไปได้ ถ้าหากบาดแผลมิได้หนักหนาขนาดนั้น…อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกนางมาพัวพันได้

มั่วหร่านอีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

รอจนมั่วชิงเฉินกับเสือขนสีน้ำเงินเหาะออกไป มั่วหร่านอีก็เม้มริมฝีปาก “น้องเก้า พวกเราจะรออยู่ที่นี่จริงๆ หรือ”

มั่วเฟยเยียนพูดด้วยสีหน้าเรียบสงบ “แน่นอนว่า…ตามไป!”

พริบตาเดียวหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ก็กลับมาเงียบสงบ