บทที่ 296 มองไกลๆ โดย ProjectZyphon
แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงอ่อนโยน วันนี้ลู่ไถเล่นหมากล้อมกับตัวเองเพียงลำพังในลานบ้านอีกครั้ง ส่วนเฉินผิงอันก็ฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ อยู่ด้านข้าง
นับตั้งแต่ที่คราวก่อนลู่ไถจับได้ว่าลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินมาแอบดู ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบินก็ไม่ได้ส่งคนมาล่วงเกินพวกเขาอีก
ลู่ไถฉวยโอกาสจังหวะที่เฉินผิงอันหยุดกระบวนท่ากระบี่ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ให้ข้าสอนเจ้าเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันยังบิดหมุนข้อมือหาท่วงท่าจับกระบี่ที่เหมาะสมและราบรื่นที่สุดเวลาพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่า หากคิดจะออกกระบี่ได้อย่างรวดเร็วก็ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในจุดที่เล็กละเอียดที่สุดอย่างต่อเนื่อง นี่คือหลักการเดียวกับวิธียกมีดที่สูงส่งที่สุดในการเผาเครื่องปั้น มองปราดๆ เหมือน ‘ไม่ขยับ’ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
พอได้ยินข้อเสนอของลู่ไถก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าดีกว่า ข้าเคยเรียนมาก่อน แต่เล่นไม่เก่ง ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเล่นหมากล้อมมาแล้ว และข้าก็ชอบดูคนอื่นเล่นมากกว่า”
หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ราชครูเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซาน แต่ละคนมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคนอื่นๆ เฉินผิงอันมักจะมองพวกเขาเล่นหมากล้อมบ่อยๆ แต่กลับไม่สามารถมองออกถึงความดีร้าย ใกล้ไกลและตื้นลึกของหมากบนกระดาน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม
ก็เหมือนการมองลู่ไถต้มชาที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ การได้มองดูหลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ยระหว่างที่เดินทางไปยังต้าสุยก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสได้เช่นกัน
การประลองบนกระดานหมากล้อม ผู้เล่นมักจะอยู่ในสภาวะลืมจิตตน เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นอะไรที่งดงามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเองก็ไม่ตื๊อ แค่ถามยิ้มๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าขอบเขตที่สูงที่สุดของการเล่นหมากล้อมคืออะไร?”
เฉินผิงอันย่อมไม่รู้อยู่แล้ว
ลู่ไถคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “อืม”
คราวนี้เป็นลู่ไถที่ต้องแปลกใจบ้าง เงยหน้าขึ้นเหล่ตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเข้าใจจริงๆ รึ?”
เฉินผิงอันก้าวเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน ลมปราณดิ่งสู่จุดตันเถียน ปณิธานหมัดไหลพรั่งพรู มองปราดๆ ไม่สะดุดตา ที่แท้เขาก็อยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าน้ำลึกไร้เสียงแล้ว เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “มีกระบี่ของคนคนหนึ่ง และยังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ช่วยปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้แก่ข้า หมัดของเขาให้ความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือเป็นอย่างที่เจ้าบอกว่า ‘ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’”
ลู่ไถอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะเคยได้พบเห็นคนมหัศจรรย์และภาพงดงามมามากมาย เคยเห็นคนที่ทานอาหารด้วยจอกสามขาคลอดนตรีบรรเลง ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ พัดขนนกโพกแพรพรรณ ดื่มน้ำค้างทานแสงอรุโณทัย
มองเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดก็คือการเสวยสุขอย่างหนึ่ง
แต่ลู่ไถรู้สึกว่าเฉินผิงอันยังทำได้ดียิ่งกว่านี้
เขาลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เห็นเพียงว่าระหว่างจมูกและหูของเขามีไอสีขาวสี่กลุ่มลอยออกมา ไม่ได้ลอยห่างไปไหน แล้วก็ไม่ได้สลายหายไป แต่เป็นเหมือนงูขาวตัวเล็กบางที่พลิกคว่ำหน้า
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมลู่ไถถึงทำเช่นนี้
ลู่ไถเดินไปยังใจกลางของลานบ้าน เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวหลอมลมปราณ ผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเลี้ยงและหลอมลมปราณเช่นกัน การหายใจเข้าออกล้วนหนีไม่พ้นคำว่า ‘ลมปราณ’ ลมปราณเหมือนเส้นใยที่ล่องลอย หากไปอยู่บนร่างของคนธรรมดา คือใช้บรรยายว่าคนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากปรากฎบนตัวของกระบี่จะเป็นอีกสภาพการณ์ที่แตกต่างออกไป”
ลู่ไถพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ลมปราณรวมตัวกลายเป็นเส้นใย สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล็กจิ๋วเล่มหนึ่งต่อหน้าเขา เขาเป่ามันเบาๆ หนึ่งที
หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว เบี่ยงหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปจากหูของเขา จากนั้นแสงสีขาวที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่วลานบ้านอย่างว่องไว ลากเอาประกายแสงพร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่าที่คงอยู่นานไม่จางหาย ถักทอให้เรือนทั้งหลังคล้ายกลายเป็นกรงขังปราณกระบี่ เป็นบ่อสายฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยปราณกระบี่เฉียบคม
ลู่ไถกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็หายวับไป
แล้วลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่ก็ยังพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง เจ้าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดอย่างบ้าคลั่ง แค่กระบวนท่าหมัดท่าหนึ่งที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดก็ต้องฝึกตั้งหนึ่งล้านครั้ง ดังนั้นปณิธานหมัดจึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลับไม่เข้าใจสัจธรรมของมัน”
ลู่ไถหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือแบมาด้านหน้า “กระบวนท่าหมัดบนโลกใบนี้ นอกจากจะเสริมสร้าง เอ็น กระดูกและเลือดลมให้แข็งแกร่ง บำรุงจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่นแล้ว ความลี้ลับที่แท้จริงอยู่ที่ลมปราณแท้จริงที่ ‘ไม่ยืมใช้กำลังของฟ้าดิน กลับกันคือต้องออกคำสั่งแก่ฟ้าดิน’ ทุกอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกันอย่างแนบแน่นก็เพื่อให้ออกหมัดได้เร็วอย่างไร้เหตุผล!”
ลู่ไถปล่อยหมัดออกมาโดยตรง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว พายุหมัดระเบิดก่อนจะส่งเสียงเหมือนผ้าทอถูกฉีกขาด
ลู่ไถปล่อยหมัดอีกครั้ง คราวนี้เอนเอียงเล็กน้อย หนึ่งวาดหนึ่งไถล แต่จุดหมายปลายทางที่หมัดปล่อยออกไปกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะเงียบเชียบ แต่อากาศที่หมัดแตะไปโดน ลมปราณกลับระเบิดแตก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเอ่ยอธิบาย “สองหมัด ข้าใช้พละกำลังและจิตวิญญาณที่เหมือนกัน หมัดหนึ่งปล่อยออกไปตรงๆ มองดูเหมือนเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด แต่ก็คล้ายการข้ามน้ำข้ามภูเขา หนทางที่เร็วที่สุดคือหาตีนเขาให้เจอ แล้วล่องไปตามกระแสน้ำ เจ้าเดินตรงไปตามทาง กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เร็วที่สุด เล่าลือกันว่าขอบเขตปลายทางที่แท้จริงของวิถีวรยุทธ์คือขอบเขตสิบ ขยับขึ้นไปอีกก็คือขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพบนสวรรค์ที่ขนาดผู้ฝึกลมปราณก็ยังอิจฉาและหวาดกลัว”
ลู่ไถเก็บหมัด ถอนหายใจ เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววเลื่อนลอย “กลียุคของใต้หล้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หากสามารถยืนหยัดอยู่ไปได้จนถึงท้ายที่สุด ก็คือ…”
เลือดสดซึมลงมาจากมุมปากของลู่ไถ แต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยืนหยัดเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่ง อย่าได้ถูกหอบเข้าไปในสถานการณ์ใหญ่ ต้องอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของที่นั่น เมื่อถึงเวลาฟ้าดินจะร่วมแรงให้ความช่วยเหลือ เฉินผิงอัน อย่าคิดช่วงชิงผลได้ผลเสียเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเฉาสือผู้นั้น จะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ จะต้องได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่…”
ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย
สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่อาจเป็นประโยคหนึ่งที่พูดติดปากไปเรื่อยเปื่อย
แต่สำหรับสำนักหยินหยางแล้ว กลับไม่เหมือนกัน
คนที่เชี่ยวชาญการดูดวง ทำนายชะตาและการดูดาวมักจะไม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา หรืออาจจะมีข้อยกเว้นเป็นบางคน แต่ก็อย่าหวังว่าจะได้สร้างบุญกุศลไว้ให้แก่ลูกหลาน ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นต้องเบิกบุญเก่ามาใช้ล่วงหน้า เมื่อบรรพบุรุษไร้คุณธรรมย่อมเป็นภัยต่อคนรุ่นหลัง
เฉินผิงอันมองออกว่าท่าไม่ดีจึงตวาดเบาๆ “ลู่ไถ พอได้แล้ว!”
ลู่ไถพยักหน้ารับ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือด นั่งกลับลงไปที่ข้างโต๊ะหิน พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ในเมื่อข้าหาที่แห่งนี้พบ เจอดาดฟ้าที่ป้อมอินทรีบินแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าก็ต้องเดินทางเพียงลำพังแล้วนะ”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกายเขาพยักหน้ารับ “เมื่อเรื่องของที่แห่งนี้ยุติลง ข้าจะเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพัง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
ลู่ไถถาม “มีแผนการยังไง?”
“ย่อมต้องมีอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ระยะใกล้ ก็คือหาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง เพื่อตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ต่อให้ตายไปแล้ววิญญาณหยินก็ยังรวมตัวกันไม่สลายไปไหน นำมาหล่อหลามสามจิต เสริมสร้างรากฐานของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้แน่นหนา ระยะไกลคือหลังจากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วจะเรียนวิชาหมัดกับท่านผู้เฒ่าต่อ แต่ละก้าวที่เดินไปต้องมั่นคงมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดก็จะมากกว่าเดิม”
ลู่ไถพยักหน้ารับ “ไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่เป็นไร วิถีสวรรค์แว้งกลับเล็กน้อยแค่นี้ สำหรับลูกศิษย์สำนักหยินหยางแล้วก็ไม่ต่างจากข้าวที่ต้องกินทุกวัน”
หลังจากเฉินผิงอันแน่ใจแล้วว่าลู่ไถไม่ได้แค่แกล้งพูดเพื่อให้ตนสบายใจก็วางใจลงได้ สอดสองมือรองใต้ท้ายทอย พูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดไว้ แต่ไม่ทันได้ทำ นั่นคือปูทางเส้นหนึ่งให้กับบ้านเกิด เส้นทางแบบที่ทุกๆ ระยะสามลี้ห้าลี้จะมีศาลาริมทางอยู่หนึ่งหลังนั่นแหละ ต่อให้ต้องจ่ายเงินมากเท่าไหร่ ข้าก็ไม่เสียดาย”
ลู่ไถกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่ทางเส้นหนึ่งเท่านั้น จะต้องจ่ายเงินสักกี่แดงกันเชียว”
มิน่าเล่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหมอนี่ถึงชื่อว่าเจินเจียนและม่ายกวาง ดูท่าคงชอบต่อปากต่อคำเอาชนะคนอื่นมาตั้งแต่เกิด
เฉินผิงอันไม่คิดจะโต้เถียงกับเขา แค่พูดต่อไปว่า “เมื่อไปถึงที่บ้านเกิดแล้ว จะพยายามจัดการร้านสองร้านในตรอกฉีหลงด้วยตัวเอง ขอแค่ได้เงินมา ต่อให้แต่ละวันจะมีเงินเข้าบัญชีแค่ไม่กี่เหรียญก็ถือว่ายังดี”
“อีกอย่างก็คือที่สุสานเทพเซียนและเทวรูปที่ผุพังเหล่านั้น แม้ว่าครั้งก่อนที่กลับบ้านเกิดจะลงมือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการสร้างเพิงไว้เป็นจำนวนมาก ซ่อมแซมเทวรูปบางส่วน แต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องสร้างร่างทองให้พวกมันใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ”
“นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าซื้อตำราการสร้างรูปปั้นมาหลายเล่ม?”
“อืม พยายามรู้ข้อห้ามและกฎเกณฑ์ให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่กลายเป็นว่าหวังดีแต่ดันทำพัง”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าจะยุ่งมากเลยนะเนี่ย”
เฉินผิงอันทอดสายตามองทิศไกลอยู่ตลอดเวลา “ส่วนระยะไกลยิ่งกว่านั้น เจ้ายังอยากฟังไหม?”
“พูดมาเถอะ หากพูดผิดไป ระคายหูข้า ข้าก็จะกระโดดลงไปล้างหูในบ่อน้ำเอง”
เฉินผิงอันไม่สนใจคำเหน็บแนมจากเขา “บนภูเขาลั่วพั่วของที่บ้านเกิด นอกจากเรือนไม้ไผ่แล้ว ข้ายังอยากสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เพิ่มอีก เริ่มจากที่ตีนเขา…อย่าดีกว่า เริ่มจากกึ่งกลางภูเขา ไล่ขึ้นไปยังยอดบนสุด มีกระเบื้องเชิงชายคา น้ำหยด ชายคาแบบตวัดงอน ฝ้าเพดานลายเหลี่ยมงดงาม รูบากและเดือยสวมอย่างที่เจ้าเล่าให้ฟัง มีครบทั้งหมด”
เฉินผิงอันพูดมาถึงตรงนี้ก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาทำไม้ทำมือประกอบ
ลู่ไถเหลือกตามองบน “ช่างเป็นปณิธานยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งนัก”
เฉินผิงอันทำท่าท้อแท้เล็กน้อย
ลู่ไถรีบชูสองมือขึ้น “ก็ได้ๆๆ เจ้าพูดต่อเถอะ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้วก็ได้”
เฉินผิงอันถึงได้พูดต่อว่า “ข้าจะซื้อตำรามาเยอะๆ อริยะสามลัทธิ เมธีร้อยสำนัก ผลงานของนักปราชญ์ ล้วนต้องเก็บสะสมเอาไว้สักหน่อย ก่อนหน้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกสลาย ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิงบ้านของข้า แค่หนังสือสักเล่มยังหาได้ยาก เจ้าคงจินตนาการไม่ออกเป็นแน่ เมื่อเทียบกับได้เห็นเศษเม็ดเงินสักเม็ดหนึ่งยังยากกว่ามาก”
“ข้าต้องการให้หอเรือนเล็กใหญ่บนภูเขามีอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมวางไว้มากมาย และยังมีของพิเศษเฉพาะถิ่นจากแคว้นต่างๆ ทั่วหล้าที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นพรมผ้าทอและแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ข้าจะเลี้ยงพวกภูติร่าเริงน่ารักที่ช่วยหวีผมแต่งหน้าให้คน เจ้าตัวจิ๋วที่ยืนคารวะต้อนรับแขกที่มาเยือนอยู่บนกิ่งก้านบอนไซ พืชพรรณบุปผาประหลาดแปลกตา ภูเขาสูงน้ำไหล หอเรือนศาลา ป่าไผ่ป่าไม้เขียวขจี ทุกวันจะต้องมีทะเลเมฆหมอกลอยผ่านหน้าผาเหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง…”
“หลี่เป่าผิง หลี่ไหวสามารถอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบ หลินโส่วอีก็สามารถตั้งใจฝึกตน อวี๋ลู่สามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขา ขอความรู้ด้านวิชาหมัดจากผู้เฒ่าแซ่ชุย เซี่ยเซี่ยที่อยู่ที่นั่นก็…ไม่ต้องถูกชุยตงซานรังแก เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ที่นั่นหากอยากฝึกตนก็ฝึกตน อยากขี้เกียจก็ขี้เกียจ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหร่วนซิ่วก็สามารถมาเป็นแขกที่บ้านข้าได้บ่อยๆ ข้าจะนำขนมที่ร้านของตัวเองออกมารับรองนาง…”
“ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนจะต้องมีชาวบ้านมากมายไปจุดธูปกราบไหว้ศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะทำทางบนภูเขาให้กว้างๆ ปูด้วยหินกระเบื้องสีเขียวเหมือนที่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ เวลาฝนตกก็ไม่ต้องกลัวว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า เตรียมงอบและเสื้อกันฝนไว้ที่ศาลเทพภูเขาเยอะๆ ต่อให้ฝนตกลงมากะทันหัน พวกชาวบ้านก็ไม่ต้องกังวล ตอนจะลงจากภูเขาสามารถยืมไปใช้ได้ คราวหน้าที่มาจุดธูปค่อยเอามาคืน”
“ไม่ว่าใต้หล้าจะเป็นอย่างไร คนด้านล่างภูเขามีวิธีใช้ชีวิตแบบไหน บนภูเขาของที่อื่นเป็นอย่างไร ข้าแค่หวังว่าเมื่ออยู่ที่บ้านของข้า ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ใช้ชีวิตในแต่ละวันไปอย่างผ่อนคลายมีความสุข ข้าไม่ต้องการให้ตัวเองและคนอื่นเป็นเหมือนเมื่อครั้งของหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ และหากตอนที่พวกเราเป็นฝ่ายมีเหตุผล แต่คนอื่นไม่ยอมฟัง ก็ต้องทำให้พวกเขาฟังให้ได้ ไม่ว่าจะอาศัยหมัดหรืออาศัยกระบี่ก็ตาม…”
ลู่ไถรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกำลังมองเฉินผิงอันปั้นตุ๊กตาหิมะของตัวเองในฤดูร้อน
—–จบภาคสี่—–