บทที่ 313 เธอแกล้งป่วยเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่

ยัยหมอวายร้ายที่รัก

ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 313 เธอแกล้งป่วยเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่
“หม่ามี๊ปวดหัวจริงๆหรอ?”

หนูรินจังเป็นเด็กฉลาดเห็นความเป็นไปทุกอย่างของหม่ามี๊ ดังนั้นตอนที่ไม่มีใครอยู่เธอเลยกอดหม่ามี๊แล้วกระซิบถามที่ข้างหู

เส้นหมี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่คิดๆดูแล้วก็ค่อยๆบอกกับลูกสาวว่า “เปล่าจ้ะ หม่ามี๊แค่อยากอยู่กับพวกหนูให้นานหน่อย”

ทันใดนั้นดวงตาสุกใสของหนูรินจังก็เบิกกว้างขึ้น

“ได้ค่ะๆ หนูจะไปบอกพวกพี่ๆเดี๋ยวนี้ หนูจะให้พวกพี่ๆเตรียมแผนรับมือ ถ้าเห็นแดดดี๊มาแล้วพวกหนูจะส่งสัญญานให้นะคะ”

แล้วเจ้าเด็กคนนี้ก็สาวเท้าเล็กๆที่อ้วนจั้มวิ่งไปบอกพี่ชายทั้งสองคน

จนในวันนั้นทั้งวันพี่ภาก็เห็นว่าเด็กทั้งสามที่อยู่ในบ้านมีท่าทางแปลกๆ

ไม่ใช่ว่าเจ้าคนโตเล่นอยู่แล้ววิ่งไปที่หน้าประตูเหลือบมองดูอะไรนะ แต่เป็นเพราะคุณชายเล็กคิวคิวได้จับกระดานมาควบคุมไว้ด้านบน ภาพฉากนั้นเหมือนกันขโมยยังไงยังงั้น

แล้วหลังจากนั้นก็เป็นหนูรินจัง

เธอน่าตลกยิ่งกว่า กลางวันแสกไม่เพียงแต่เท้านั้นเดินอย่างค่อยๆ ขนาดจะพูดเธอยังใช้นิ้วมือมากันที่ปากแล้วส่งเสียง “ชูว”ตอนที่พี่ภาเรียกเธอ

“อย่าพูดนะน้าภา เดี๋ยวแดดดี๊กลับมาแล้วจะยุ่ง”

พี่ภา “…….”

หมายความว่าไง?

หรือว่าพวกเด็กๆไม่อยากให้แดดดี๊กลับมางั้นหรอ?

พี่ภามีสีหน้าสงสัย

แต่ว่าในที่สุดเธอก็ไม่ได้ให้สงสัยอีกต่อไป ตั้งหน้าตั้งตาทำธุระของเธอเอง

พอถึงช่วงกลางวัน แสนรักก็กลับมาจริงๆ

ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะอาการป่วยของคิวคิว ถ้ากลางวันเขามีเวลาว่างเขาก็จะกลับมา อย่างแรกเพื่อดูอาการของคิวคิว อย่างที่สองคืออยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ

ช่วงเวลานั้นในบ้านก็มีแค่เขาที่อยู่ดูแลเขา

พอกลับมาเขาก็ได้เห็นว่าในห้องรับแขก มีเจ้าเด็กทั้งสามที่รวมตัวอยู่ด้วยกันซึ่งเป็นอะไรที่ยากที่จะได้พบตอนเขากลับมาถึงบ้าน

“พวกลูกเป็นอะไรกัน? ทำไมมารวมตัวอยู่ที่นี่?”

“พวกเรากำลังรอแดดดี๊กินข้าวอยู่ไงคะ แดดดี๊กินข้าวหรือยัง?”

คนที่สาวเท้าน้อยๆเข้ามาคนแรกคือลูกสาวสุดที่รักของเขา เธอเงยหน้ามองเขา ไม่ต้องบอกว่าน่ารักเพียงไร

แสนรักให้ใจละลายทันที

เขาก้มตัวลงแล้วอุ้มเธอขึ้นมาและหอมไปที่ใบหน้าน้อยๆของเธอ “ยังเลย ก็มากินข้าวเป็นเพื่อนลูกในตอนนี้ไง”

“โอเคครับ แดดดี๊ เดี๋ยวพวกเราจะไปตักข้าวมาให้นะครับ” ลูกชายคนที่สองรีบวิ่งไปตักข้าวให้เขา

ส่วนอีกมือนึงของเขาพาลูกชายคนโตไป

ไม่ต้องพูดเยอะ เขาหันตัวกลับไปที่ห้องครัวด้วยท่าทีสุขุม ไม่นานก็หยิบถ้วยกับตะเกียบออกมาหนึ่งชุด!

สังเกตนะว่ามีแค่ถ้วยกับตะเกียบหนึ่งชุด!!

แสนรัก “……”

เจ้าเด็กพวกนี้อยากที่จะทำอะไรกันแน่?

ที่ด้านบน ในเวลานี้เส้นหมี่นอนอยู่ในห้องอย่างพะว้าพะวัง

เธอกลัวว่าพวกเด็กๆจะจัดการแดดดี๊ของพวกเขาไม่สำเร็จ แล้วก็กลัวว่าเขาจะขึ้นมาด้านบน แล้วจะมาเห็นว่าเธอแกล้งป่วย ถ้าเป็นอย่างนี้ยุ่งแน่ๆ

เส้นหมี่นอนแอบอยู่ในผ้าห่มเหมือนจะเผชิญหน้ากับข้าศึก

“คุณผู้ชายกินข้าวหรอคะ?”

“ครับ กินเสร็จแล้ว”

มีเสียงอิ่มหนำสำราญน่าดึงดูดนั้นเหมือนดังมาจากบน เส้นหมี่ได้ยินก็ให้ถอนหายใจ

กินเสร็จแล้วน่าจะไปแล้วล่ะ

เธอรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วเลิกผ้าห่มลุกขึ้นมาจากเตียง เธออยากที่จะออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอกใช่อย่างที่เธอคิดไว้ไหม

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอเธอได้เปิดประตูก็เห็นผู้ชายร่างสูงยืนอยู่ด้านหน้า เหมือนไม่รู้เป็นควันหลงมาจากไหน

ไม่มีลางบอกเหตุใดๆ เขามายืนหยุดที่หน้าประตูของเธอ

“คุณ…..คุณไปแล้วไม่ใช่หรอ?”

“ทำไม? คุณกำลังรอให้ผมไปอยู่หรอ?”

“ม่ะ….ไม่ใช่” เส้นหมี่ปฏิเสธเสียงหลง แต่ว่าเธอพูดมันเร็วไปแสดงให้เห็นถึงความลนลานในใจว่ามีมากแค่ไหน ความล้นลานนี้ชัดเจน

แสนรักแสยะยิ้มมุมปาก ยกเท้าเดินเข้ามา

“ผมได้ยินมาว่าวันนี้คุณไม่ให้แครอทดูอาการ อาการดีขึ้นแล้วหรอ?”

“เปล่าซะหน่อย!!” ทันใดนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ถลันไปที่เตียง แล้วรีบนอนลงไปอย่างรวดเร็ว

“เปล่า ยังไม่หายดีเลย ฉันเจ็บหน้าอก ขา ขาก็ยังไม่ดี เดินยังไม่ได้”

เธอปฏิเสธเสียงแข็ง พูดถึงอาการรุนแรงต่างๆ แล้วไม่ลืมที่จับผ้าห่มที่อยู่บนเตียงมาคลุมแล้วเผยให้เห็นใบหน้าน้อยๆที่ท่าทางค่อนข้างเจ็บปวด

แสนรัก “…….”

หางตานั้นมอง เขาจับโป๊ะการแสดงของเธอได้

แต่กระนั้นก็ให้เลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ยังไม่ดีแล้วยังไม่ให้เธอดูอาการอีก? คุณอยากที่จะให้ผมส่งตัวคุณไปโรงพยาบาลหรอ?”

“ไม่ๆ ฉันไม่ไปโรงพยาบาล ฉัน….ไปตรวจกับคุณแครอทก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกพี่ภาให้เรียกเธอเข้ามา”

เส้นหมี่รีบรับผิดอย่างลุกลี้ลุกลน เธอให้คำมั่นสัญญากับเขาว่าจะให้แครอทดูอาการทันที ขาดก็แค่ชูสามนิ้วเพื่อนเป็นการสาบานเท่านั้นเอง

ดีที่พูดจบ ผู้ชายคนนี้ยอมปล่อยเธอ

แล้วเธอก็ได้เห็นเขากวาดตามองเธอด้วยสายตาที่เยือกเย็นแล้วเดินออกไป

เส้นหมี่ถอนหายใจ……

ตกใจแทบแย่!

เกือบจะถูกเขาไล่ออกไปแล้วมั้ยล่ะ

แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือพอผู้ชายคนนั้นเดินออกมาหยุดอยู่ที่ปากทางบันได เขาก็ยืนจ้องมองที่ประตูบานนั้นอยู่นาน พูดไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน แต่สิ่งที่แน่ชัดได้คือสายตาที่เดิมทีมีแต่ความเยือกเย็น ตอนนี้ให้เปลี่ยนมาเป็นความอบอุ่น….