ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 234 หลับสบายในฤดูใบไม้ผลิ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ชายหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้คือเจ๋อซิ่ว เฉินฉางเซิงมองหน้าที่ขาวซีดของเขา คราบโลหิตที่ริมฝีปาก ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมเจ้าอยู่ตรงนี้?”

เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ข้าจะไปสวนโจวกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงเกิดความคาดไม่ถึงเล็กน้อย สงบสักพักแล้วพูดว่า “อาจจะมีอันตราย”

เจ๋อซิ่วยังคงไร้สีหน้า พูดว่า “ฉะนั้นข้าถึงอยากไปสวนโจวกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงถามว่า “ทำไม?”

“ถังถังออกเงินแล้ว” เจ๋อซิ่วพูดว่า “ฉะนั้นข้าจะตามเจ้า เพื่อรับรองว่าเจ้าปลอดภัย”

เฉินฉางเซิงประหลาดใจถามว่า “เจ้าเตรียมจะเป็นผู้คุ้มกันของข้า?”

“ใช่” เจ๋อซิ่วนิ่งเล็กน้อย พูดต่อว่า “แน่นอน ถ้าในสวนโจวอันตรายเกินไป หลังสิ้นภารกิจแล้วต้องเพิ่มเงิน”

เฉินฉางเซิงจนถึงตอนนี้ ยังคงไม่ชินกับรูปแบบความคิดของชายหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้ แบมืออย่างไปไม่ถูก พร้อมพูดว่า “แต่ข้าไม่ต้องการผู้คุ้มกัน”

เจ๋อซิ่วมองเขาตาหนึ่งแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าตอนนี้อยู่ขั้นทะลวงอเวจีขั้นปลาย แต่ถ้าพวกเราสองคนถูกขังเข้าไปในป่าไม้แห่งหนึ่ง สุดท้ายคนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาแน่นอนว่าเป็นข้า ความจริงแล้ว ตอนต่อสู้ในการสอบใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีข้อจำกัดเยอะขนาดนั้น ไม่สะดวกที่จะโหดร้ายเกินไป ถึงโก่วหานสือจะสามารถชนะข้าได้ ก็ไม่สามารถฆ่าข้าให้ตายได้ ฉะนั้นสุดท้ายเขาก็ยังคงจะถูกฆ่าโดยข้าอยู่ดี”

ได้ยินคำพูดนี้ เฉินฉางเซิงรู้สึกอึดอัด เพราะว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เจ๋อซิ่วพูดนั้นถูก

คำพูดต่อมาของเจ๋อซิ่ว ในที่สุดก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ “และอีกอย่างเจ้ายังต้องรักษาอาการป่วยให้ข้า”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “เช่นนั้น…เดินไปด้วยกัน”

เจ๋อซิ่วยื่นมือไปหยิบสัมภาระจากบนไหล่เขาลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ เดินไปยังนอกป่า

เฉินฉางเซิงรีบตามไป พูดด้วยความไม่สบายใจว่า “ผู้คุ้มกันก็พอแล้ว ยังให้เจ้าทำงานหยาบเช่นนี้ด้วยได้อย่างไร”

เจ๋อซิ่วยังคงไร้สีหน้า ไม่ได้สนใจเขา

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าไม่เพิ่มเงินให้เจ้านะ”

เจ๋อซิ่วหยุดการก้าวเท้า คิดแล้วคิดอีกแล้วพูดว่า “นี่ถือว่าเป็นของแถม”

พวกเขาสองคนล้วนไม่ค่อยชอบพูดจา มีความเงียบขรึมมากกว่าเหล่าผู้วัยเยาว์ทั้งหลาย

ไม่มีคำพูดตลอดทาง เดินออกจากป่า

จินอวี้ลวี่ขี่รถม้า รอพวกเขาอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของสะพาน

……

……

ล้อรถกดทับถนนหินชนวนเขียวที่แข็งแกร่ง เกิดเสียงครืดๆ ประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงที่ใหม่เอี่ยมถูกคนผลักออกอย่างแรง เซวียนหยวนผ้อวิ่งออกมาจากข้างใน ร่างกายที่สูงใหญ่ราวกับภูเขาเล็กสะเทือนผืนดิน สั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน ฝุ่นละอองจากร่องบันไดหินกระจัดกระจายคลุ้งไปทั่ว

เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วเดินลงมาจากในรถ

เซวียนหยวนผ้อยิ้มใหญ่พลางพูดว่า “ออกมาเร็วขนาดนี้ ดูท่าทางแล้วชมแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วไม่ได้อะไรจึงออกมา?”

เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อธิบายว่า “เขาก็พูดตรงแบบไม่ตั้งใจอย่างนี้แหละ ไม่ได้ตั้งใจเยาะเย้ยใคร”

“ข้าไม่ใช่ถังซานสือลิ่วสักหน่อย” เซวียนหยวนผ้อไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นถึงจะสังเกตเห็นการมีอยู่ของเจ๋อซิ่ว ตกใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่คิดว่าเป็นเจ้า? เจ้าไปทวงหนี้ถึงในสุสานเทียนซูเชียวหรือ? ข้าว่าเจ้าจำเป็นต้องเร่งรีบขนาดนี้ด้วยหรือ? สำนักฝึกหลวงของข้าเคยติดเงินแล้วไม่คืนเสียเมื่อไหร่?”

จินอวี้ลวี่อยู่ข้างๆ ถามด้วยสีหน้าเข้มงวดว่า “เมื่อไหร่จะจ่ายเงินคืนข้า? คนเฝ้าประตูก็ต้องเลี้ยงครอบครัวประทังชีพเหมือนกัน”

ชายหนุ่มสามคนมองไปยังเขา ไม่ได้พูดอะไร

จินอวี้ลวี่รู้สึกอายเล็กน้อย พูดว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าไม่เหมาะกับอารมณ์ขันคำนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าคุยต่อเถอะ”

“เจ๋อซิ่วไม่ได้มาทวงหนี้”

เฉินฉางเซิงพูดกับเซวียนหยวนผ้อ กลับไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานะของเจ๋อซิ่วอย่างไร คิดแล้วคิดอีกพูดว่า “เขาแค่มาดูสำนักฝึกหลวงเล่นๆ”

เจ๋อซิ่วชายหนุ่มเผ่าหมาป่า ชื่อเสียงในหมู่ปีศาจดังมาก เซวียนหยวนผ้อรู้ว่าเขาไม่ได้จะมาทวงเงิน จึงกลับไปยังฐานะที่เป็นชายหนุ่มเผ่าปีศาจ มองเจ๋อซิ่วใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมอิจฉาพูดว่า “ได้ข่าวจากคนเก่าแก่ในเผ่าว่า ตอนที่เจ้าอายุสามปีก็สามารถล่าอสรพิษมารได้?”

เจ๋อซิ่วไม่ได้สนใจเขา

เซวียนหยวนผ้อตามเขาเดินเข้าไปยังในสำนักฝึกหลวง ถามต่อว่า “ได้ข่าวว่าตอนที่เจ้าอายุเจ็ดปี เคยฆ่าเผ่ามาร?”

เจ๋อซิ่วยังคงไม่สนใจเขา

เซวียนหยวนผ้อไม่ได้กระตือรือร้นน้อยลง พูดว่า “ดูท่าทางแล้วเจ้าคงไม่กลับที่ราบหิมะกะทันหัน เช่นนั้นเจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงของพวกข้าเลยดีกว่า”

เจ๋อซิ่วหยุดการก้าวเท้า

เฉินฉางเซิงก็หยุดการก้าวเท้าเช่นกัน มองไปที่เขา

เจ๋อซิ่วคิดแล้วคิดอีก มองเซวียนหยวนผ้อแล้วพูดว่า “อยู่กับเจ้าหมีควายตัวนี้ สงสัยข้าจะโง่ลง”

ในฐานะเป็นเผ่าปีศาจด้วยกัน เขาแน่นอนว่าดูออกว่าเซวียนหยวนผ้อคิดยังไง

สีหน้าของเซวียนหยวนผ้อจู่ๆ เข้มงวดขึ้นมา พูดอย่างตั้งใจว่า “เอาตัวอักษรตัวแรกทิ้งไป ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธจริงๆ”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “ได้ หมีควาย”

เซวียนหยวนผ้อโกรธมาก โวยวายว่า “ทำไมเจ้านี่น่ารังเกียจเหมือนถังซานสือลิ่ว”

……

……

เฉินฉางเซิงกลับมาถึงเรือนเล็ก หลังชำระล้างร่างกายแบบง่ายๆ ก็ขึ้นไปบนเตียงแล้วเริ่มนอน เมื่อคืนเขาไม่ได้พักผ่อนทั้งคืน เหนื่อยล้ามาก จิตวิญญาณตอนนี้ก็สงบลงมา ไม่ปั่นป่วนอีก เหลือเพียงแต่ความพอใจและอบอุ่น ฉะนั้นการนอนหลับครั้งนี้จึงหอมหวานมาก กระทั่งมีคนเข้ามาในห้องก็ไม่รู้สึกตัว

ม่ออวี่นั่งอยู่ข้างเตียง มองคิ้วที่สะอาดสวยงาม เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพูดประโยคอะไร สูดดมลมหายใจและกลิ่นอายในห้องที่กลับมาคุ้นเคยอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์ของนางถึงดีขึ้นมาก เปิดมุมผ้าห่มของเฉินฉางเซิงขึ้นมา แล้วก็มุดเข้าไปทั้งเช่นนี้

นางหลับไปอย่างรวดเร็ว แม้จะจมในห้วงฝัน แย้มยิ้มจนคิ้วราวกับปวงบุปผชาติ

ถ้าถูกเหล่าขันทีและข้าราชการในพระราชวังเห็นสภาพนางเช่นนี้ ต้องคิดว่าตัวเองตาลายเป็นแน่

ฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาซู่ๆ ซ่าๆ นอกหน้าต่าง ม่ออวี่ลืมตาตื่นขึ้นมา ยืดตัวยืดเอวไปมาอย่างเกียจคร้าน หันหลังก็เห็นเฉินฉางเซิงกำลังนอนหลับสนิทชนิดชิดบั้นท้าย เพิ่งจะรู้สึกเขินอาย บนใบหน้าที่สวยงามมีวงกลมแดงสองวงนวลปลั่งปรากฏอยู่ รีบลุกขึ้นแล้วจากไป หายไปท่ามกลางฝนฤดูใบไม้ผลิที่นอกหน้าต่าง

ผ่านไปไม่นาน ประตูห้องถูกเปิดออก ลั่วลั่วเดินเข้ามา

มองเฉินฉางเซิงที่หลับสนิท นางดีใจจนวิ่งเข้าหา กำลังเตรียมจะกระโจนขึ้นไปบนเตียง กลับได้กลิ่นแป้งฝุ่นที่จืดจาง

นางเลิกคิ้วเรียวเล็ก ชิดเข้าไปที่ลำคอของเฉินฉางเซิงที่อยู่บนเตียง สูดดมอย่างตั้งใจ จู่ๆ ก็โมโหขึ้นมา กระทืบเท้าหลายที หยดฝนที่ราวกับไข่มุกที่บริเวณจวนเสียงซู่ๆ พลันร่วงหล่นลงมา

แม้จะกระทืบเท้าเพราะโมโห ก็ไม่ได้กระทืบจริง เพราะว่านางไม่อยากรบกวนเฉินฉางเซิงจนตื่น

นางมองฝนฤดูใบไม้ผลิที่นอกหน้าต่าง ด่าทออย่างรุนแรงว่า “ม่ออวี่ นางผู้หญิงไร้ยางอาย!”

ปิดหน้าต่าง ผลักฝนฤดูใบไม้ผลิและลมที่นุ่มนวลไว้ด้านนอก เรือนเล็กก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียว นางคิดว่าจะไม่มีผู้หญิงไร้ยางอายมารบกวนอาจารย์ของตนเองอีก ถึงจะสบายใจขึ้น ยกเก้าอี้เดินมาข้างเตียง มองเฉินฉางเซิงด้วยยิ้มกริ่ม ไม่พูดอะไร และก็ไม่ทำอะไร แค่มองอย่างเงียบๆ เช่นนี้ รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง

……

……

เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมา รู้สึกแขนขวาถูกกอดอย่างแน่น ได้ยินลมหายใจที่ช้าๆ และสบายๆ ไม่ต้องลืมตา ก็รู้ว่าใครมา ยิ้มขึ้นมา แขนถูกกอดเป็นเวลานาน มีความรู้สึกลำบากเล็กน้อย ความปวดเมื่อยที่คุ้นเคยขนาดนี้ จะไม่รู้ว่าใครมาได้อย่างไร?

ลืมตาขึ้นมามอง เป็นลั่วลั่วที่นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างที่คาดไว้ ไม่รู้ว่านางมานานแค่ไหน น่าจะเป็นเพราะนั่งจนเมื่อย ก็เหมือนแต่ก่อน มือสองข้างอุ้มกอดแขนของเขาแน่นอย่างเคยชิน วางอยู่บนตัวของเขา เพียงแต่นางยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางนี้อาจไม่ถึงกับดูอึดอัด แน่นอนว่าก็น่ารักดี

แพขนตาขยับเล็กน้อย ลั่วลั่วตื่นขึ้น ขยี้ตาอย่างมึนงง เห็นเฉินฉางเซิงกำลังมองตัวเอง ถึงจะมีสติขึ้นมา รู้สึกเขินเล็กน้อย แต่ยิ่งมีความดีใจ ตะโกนด้วยเสียงดังฟังชัด “อาจารย์”

“เด็กดี” เฉินฉางเซิงจับใบหน้าเล็กๆ ของนาง

สองคนออกมาจากเรือนเล็ก ไปนั่งในหอตำราสักพัก รอเซวียนหยวนผ้อและเจ๋อซิ่วมา พูดคุยเรื่องราวในสุสานเทียนซู เวลากลางวัน จินอวี้ลวี่ทำอาหารเสร็จ หลังกินข้าวเสร็จ เฉินฉางเซิงและลั่วลั่วเดินเล่นในสำนักฝึกหลวง ฝนฤดูใบไม้ผลิราวกับฝุ่นแป้ง ไม่ต้องกางร่ม เพียงแต่ตอนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไทรย้อยใหญ่ ลื่นเท้าเล็กน้อย

มองจิงตูท่ามกลางฝนซา ลั่วลั่วเงียบขรึมสักพัก หันตัวมองไปยังเขาแล้วถามว่า “อาจารย์ ท่านจะไปสวนโจวไหม?”

อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานในสำนักฝึกหลวง สามารถพูดได้ว่านางเป็นคนที่เข้าใจเฉินฉางเซิงมากที่สุดในโลก ชัดเจนมากว่าถ้าไม่ใช่ว่ามีเหตุผลที่จะต้องออกจากสุสานเทียนซู คนที่รักษาทะนุถนอมเวลาและโอกาสอย่างอาจารย์ แน่นอนว่าไม่ออกจากสุสานเทียนซูอย่างง่ายดายเช่นนี้ จากไปจากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านั้น

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ใช่”

ลั่วลั่วตาเบิกกว้าง ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เพราะอะไร?”

ไม่รอเฉินฉางเซิงตอบ นางก้มหัวลง มองน้ำที่ถูกฝนหยดเป็นวงในสระใต้ต้นไทรย้อย พูดเสียงแผ่ว “เป็นเพราะว่าอาจารย์หญิงจะไปสวนโจวเช่นนั้นหรือ?”

เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย เพิ่งรู้ว่าอาจารย์หญิงที่นางพูดออกจากปากนั้นหมายถึงสวีโหย่วหรง แม้เขาจะไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับสวีโหย่วหรง ลั่วลั่วขานชื่อเช่นนี้ยังคงทำให้เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย พูดว่า “เกี่ยวอะไรกับนาง? มีเพียงแค่ขั้นทะลวงอเวจีถึงจะเข้าสวนโจวได้ แม้พรสวรรค์ของนางสะท้านขวัญผู้คน แต่ก็ยังไม่ทะลุระดับขั้นถึงขั้นทะลวงอเวจีสักหน่อย”

เมื่อคืนสุสานเทียนซูถูกส่องสว่างทั้งคืน หลายสิบคนทะลุระดับขั้นถึงขั้นทะลวงอเวจี ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว สวีโหย่วหรงที่ได้อันดับหนึ่งของประกาศชิงอวิ๋นก็เหมือนจะจืดจางลงไปเล็กน้อย

“อาจารย์หญิงวันก่อนนางทะลวงอเวจีแล้ว”

ไม่รู้ว่าลั่วลั่วคิดอะไรเข้าใจบางอย่าง ฟื้นท่าทีที่น่ารักไร้เดียงสาเหมือนวันปกติ หัวเราะอย่างมีความสุขพลางกล่าวว่า “สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนางเป็นสายเลือดหงส์ที่แท้จริง คนที่หยิ่งทะนงขนาดนี้ แม้จะไม่สนใจว่าถูกอาจารย์ท่านนำหน้าไป แต่จะถูกผู้คนธรรมดาเหล่านั้นนำอยู่ข้างหน้าได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย ใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะย่อยข่าวสารที่มาอย่างกะทันหันนี้ไปได้

สิ่งที่เขานึกถึงเป็นอันดับแรกกลับเป็น ประกาศชิงอวิ๋นน่าจะเปลี่ยนใหม่ในเร็วๆ นี้

“ยินดีด้วย” เขามองไปยังลั่วลั่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

ลั่วลั่วหน้ามุ่นเม้มปากพูดว่า “มีอะไรน่าดีใจ”

สวีโหย่วหรงทะลุระดับขั้นเป็นขั้นทะลวงอเวจี แน่นอนว่าไปจากประกาศชิงอวิ๋น เมื่อคืนมีคนจำนวนมากทะลวงอเวจี ถ้าออกจากสุสานเทียนซูแล้ว ก็ต้องออกจากประกาศชิงอวิ๋นเช่นกัน

เฉินฉางเซิงยื่นมาจับชีพจรให้เขา พูดว่า “สายเลือดของเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ต่างกันมาก โดยเฉพาะตระกูลจักรพรรดิขาวของพวกเจ้า สายเลือดพรสวรรค์รุนแรงยิ่งใหญ่มากเกินไป ฉะนั้นถึงแม้เป็นขั้นถอดจิตอย่างเจ้า ก็สามารถต่อสู้ชนะผู้ต่อสู้ที่เป็นขั้นทะลวงอเวจีจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องสนใจมากเกินไป เพียงแต่ถ้าเจ้าอยากจะทะลวงอเวจี ความยากก็จะมากหน่อย”

นึกถึงตรงนี้ เขาสงสัยอะไรบางอย่าง เมื่อคืนเจ๋อซิ่วจริงๆ แล้วทะลวงอเวจีได้อย่างไร ในกระบวนการนั้นได้แบกรับอะไรบ้าง

ลั่วลั่วจู่ๆ มองเขาแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “อาจารย์ หลังไปสวนโจว เห็นอาจารย์หญิงแล้ว ท่านห้ามใจอ่อนเด็ดขาด”

เฉินฉางเซิงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านั้นนางก็ได้พูดแล้วว่าสวีโหย่วหรงจะไปสวนโจว

จดหมายนกกระเรียนขาวผ่านไปหลายปีแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อสวีโหย่วหรง และก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก กระทั่งความรู้สึกไม่ดีและเกลียดชังที่เคยมีก็ยังหายไม่หมด แต่พอคิดถึงว่าอาจจะได้พบนางจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วลั่วถึงพูดเช่นนี้