ตอนที่ 149 ผลการเก็บเกี่ยวของแต่ละนิกาย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 149 ผลการเก็บเกี่ยวของแต่ละนิกาย โดย Ink Stone_Fantasy

“ที่แท้สหายทั้งหลายก็สงสัยว่าศิษย์นิกายข้าได้มังกรแดงตนนั้นไป ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง! ไม่ต้องพูดแล้ว เมื่อครู่ข้าได้ถามศิษย์ในนิกายไปแล้ว และมังกรแดงตนนั้นไม่ได้ตกอยู่ในมือของพวกเขา ต่อให้จะตกอยู่ในมือของพวกเขาจริง สหายทั้งหลายก็คิดที่จะคัดค้านหรืออย่างไร?” มู่หรงเซวี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“ถ้าหากมังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์นิกายท่าน พวกเราย่อมกล่าวแสดงความยินดีก่อนเป็นอันดับแรก แต่โลหิตของมังกรแดงระดับผลึกตนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับพวกเรามาก ไม่ว่านิกายไหนได้ไปผู้อาวุโสอย่างพวกข้าก็ยอมที่จะใช้สิ่งของที่ทีค่าเท่ากันมาแลก” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ตาเป็นประกายก่อนที่จะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบสงบ

“เฮ่อๆ! พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า หากมังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์ของนิกายพวกท่าน ข้าเองก็สามารถใช้สิ่งของที่มีค่าเท่ากันมาแลกเอาโลหิตมังกรแดงไปได้” พอมู่หรงเซวี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็ใช้มือลูบคางไปมา จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ชื่อหยางกลับแสดงท่าทีราวกับคิดอะไรอยู่ และไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา

“มันย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ศิษย์ในนิกายท่านต้องได้รับการตรวจสอบอย่างชะเอียด” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กับหลิงอวี้ และคนอื่นๆ ต่างก็แอบใช้วิชากระซิบเสียงคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ดี! งั้นตกลงตามนี้” มู่หรงเซวี่ยนตอบรับด้วยความเต็มใจ

ดังนั้นเวลาต่อมาผู้อาวุโสแต่ละนิกายก็พาศิษย์ที่ออกมาจากแดนลึกลับ เดินไปหน้าแท่นหินที่ผู้อาวุโสระดับผลึกอยู่

“แต่ละนิกายตรวจนับของที่เก็บเกี่ยวได้จากแดนลึกลับเถอะ! ซิ่วเหนียง นิกายจันทราสวรรค์ของเรานับก่อน เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กวาดสายตามองดูศิษย์ทั้งหกที่เหลือของนิกายตนเองแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

นิกายจันทราสวรรค์เป็นนิกายเดียวที่มีศิษย์เหลือเยอะกว่านิกายปีศาจ ช่างสมกับเป็นนิกายอันดับหนึ่งในแคว้นต้าเสวียนที่แข็งแกร่งกว่านิกายอื่นๆ จริงๆ

ส่วนนิกายอื่นๆ นั้น นิกายเอกะมีจำนวนศิษย์ที่เหลือเท่ากับนิกายปีศาจคือห้าคนเท่ากัน หุบเขาเก้าช่องมีศิษย์เหลืออยู่สี่คน และหอสายธารโลหิตกับนิกายวาตอัคคีต่างก็มีศิษย์ที่ออกมาจากแดนลึกลับเพียงแค่สามคนเท่านั้น

ไม่แปลกที่เป็นเช่นนี้!

หอสายธารโลหิตกับนิกายวาตอัคคีต่างก็เป็นนิกายที่ฝึกฝนการโจมตีเป็นหลัก ขณะที่ความสามารถในการป้องกันตัวค่อนข้างน้อย ประกอบกับช่วงที่มือยักษ์ค้ำฟ้าแสดงอานุภาพออกมานั้น ทั้งสองนิกายนี้ต่างก็มีศิษย์เสียชีวิตมากที่สุด

ด้วยเหตุนี้จำนวนผู้ที่รอดชีวิตจึงมีน้อย

ผู้อาวุโสของทั้งสองนิกายนี้ต่างก็แสดงสีหน้าหม่นหมองออกมา ประจักษ์ชัดว่าไม่พอใจกับผลลัพธ์ของศิษย์ในนิกายเป็นอย่างมาก

“ทราบ ท่านปรมาจารย์!”

ซิ่วเหนียงที่เหลิ่งเยวี่ยพูดถึงก็คือหญิงสาวแซ่จางที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญผู้นั้น

นางเดินไปยังพื้นที่ว่างด้านหน้าเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ แล้วหยิบผ้าย่อส่วนออกที่ถูกห่อกลมๆ ออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็ร่ายคาถาแล้วค่อยๆ สะบัดลงพื้น

เสียงดัง “ฟู่!”

กล่องหยก และหินแร่ขนาดต่างๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นในทันที แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือไข่จิตวิญญาณขนาดใหญ่สองใบที่กลิ้งอยู่บนพื้น

“เอ๋! นี่คือไข่ของวิหคปีศาจใด?” พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นไข่เหล่านี้ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา

“เรียนอาจารย์ย่า นี่คือไข่จิตวิญญาณของเหยี่ยวขนเหล็ก กว่าจะได้มันมาศิษย์ต้องใช้พลังค่อนข้างมาก” จางซิ่วเหนียงโค้งตัวกล่าว

“เหยี่ยวขนเหล็ก นั่นเป็นวิหคปีศาจที่มีพลังในการฝึกฝนถึงระดับของเหลวได้ เจ้าทำได้ดีมาก ไข่ทั้งสองใบนี้มอบให้เจ้านำมันไปฟักก่อนแล้วข้าจะสั่งให้คนในนิกายช่วยเจ้าเลี้ยงมันอย่างดี” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป

“สหายเหลิ่งเยวี่ย ท่านเอ็นดูศิษย์ผู้นี้ถึงเพียงนี้ หรือว่านางคือศิษย์ที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ผู้นั้น” ชื่อหยางหรี่ตามองซิ่วเหนียงครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ผิด ซิ่วเหนียงไม่เพียงแต่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่เท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ในเส้นทางการฝึกกระบี่ที่หาตัวจับได้ยาก แม้กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องเทียนเหมยในตอนนั้น ศิษย์เช่นนี้จะถูกรักใคร่มากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินก็ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อะไรนะ เช่นนี้ก็หมายความว่าต่อไปนางก็อาจจะมาอยู่ระดับเดียวกับพวกเราได้” ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย

แม้เขาจะทราบเรื่องเกี่ยวกับร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ แต่คิดไม่ถึงว่าคนระดับเหลิ่งเยวี่ยซือไท่จะให้ความสำคัญกับศิษย์จิตวิญญาณเช่นนี้

“พวกเราทั้งหลายต้องลำบากมาไม่น้อยกว่าจะมาถึงระดับผลึกได้ แม้กระทั่งถ้าเหลือแค่ด่านเดียวแต่ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ ก็อาจจะเสียชีวิตไปนานแล้ว ข้าเพียงแค่พูดว่าเจ้าเด็กนี้มีความหวังเท่านั้น” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“นี่ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว ดูท่านิกายท่านคงจะมีผู้ที่มีความสามารถเป็นจำนวนมาก นิกายของพวกข้าทั้งหลายสู้นิกายท่านไม่ได้เลย” หลวงจีนหลิงอวี้จุ๊ปากกล่าวออกมา

“ท่านทั้งหลายพูดล้อข้าเล่นแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ข้าดูจากศิษย์ที่ยืนอยู่ในนี้ แล้ว เกรงว่าคงมีไม่น้อยที่มีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าซิ่วเหนียงเลย ยกตัวอย่างเช่นศิษย์จิตวิญญาณพสุธาของนิกายปีศาจผู้นี้ เขาฝึกฝนได้รวดเร็วมาก เกรงว่าพวกข้าในสมัยนั้นก็ไม่อาจเทียบเขาได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ต่อไปคงจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้อย่างแน่นอน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดูเหมือนจะชายตามองเกาชงทีหนึ่ง

ประจักษ์ชัดว่าเกาชงที่มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาได้ตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสในนิกายอื่นๆ แล้ว

“เจ้าเด็กเกาชงนี่อย่างมากก็แค่ฝึกฝนเร็วกว่าศิษย์ทั่วไปเท่านั้น ถ้าพูดถึงพลังการต่อสู้จริงๆ ไหนเลยจะเทียบกับผู้ฝึกฝนกระบี่ในนิกายท่านที่อยู่ในระดับเดียวกันได้” พออาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินเช่นนี้ กลับไม่สามารถนั่งนิ่งได้ เขารีบหาวแล้วตอบกลับไปทันที

เหลื่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มบางๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นได้ยินแล้ว ต่างก็หันไปมองเกาชงอยู่พักหนึ่ง

ขณะนี้ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์คนอื่นๆ ต่างก็เดินหน้าหยิบสิ่งของที่ตนเองเก็บเกี่ยวได้ออกมา เห็นได้ชัดว่ากองสิ่งของน้อยกว่าของซิ่วเหนียงเล็กน้อย

เวลานี้แต่ละนิกายต่างก็ส่งผู้ฝึกฝนระดับของเหลวออกมาหนึ่งคน เพื่อช่วยกันนับพืชจิตวิญญาณที่อยู่ในกล่องหยกเหล่านี้ และยังแปลงมูลค่าเป็นหินจิตวิญญาณตามกฎเกณฑ์บางอย่าง

ผลลัพธ์คือมูลค่าสิ่งของที่ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ทั้งหกเก็บเกี่ยวมาได้ มีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณยักษ์หนึ่งล้านแปดแสนก้อน ลำพังแค่ไข่จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถแลกหินจิตวิญญาณได้สี่แสนก้อน

สำหรับนิกายนิกายหนึ่งแล้วการดำรงอยู่ของระดับของเหลวย่อมเป็นพลังที่สำคัญมาก

และอายุขัยของวิหคจิตวิญญาณก็ยืนยาวกว่าผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปมาก ถ้าหากฝึกฝนมันให้ดีอาจจะปกป้องนิกายได้เกือบพันปีเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นพอวิหคจิตวิญญาณเติบโตเต็มวัย ระดับความเร็วในการบินของมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เรือจิตวิญญาณทั่วไปสามารถเทียบได้ มันสามารถทำภารกิจที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปจำนวนมากไม่สามารถทำได้

ดังนั้นจึงเกือบจะพูดได้ว่าไม่เคยมีไข่จิตวิญญาณของวิหคปีศาจปรากฏในแคว้นต้าเสวียนเลย ราคาประเมินเท่ากับหินจิตวิญญาณสี่แสนก้อนยังนับว่าถูกไปด้วยซ้ำ

ถ้าไม่อย่างนั้น จางซิ่วเหนียงที่รู้ทั้งรู้ว่าเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านั้นรับมือได้ยาก ก็คงไม่เสี่ยงอันตรายร่วมมือกับเซวี่ยชื่อเพื่อฆ่าวิหคปีศาจเหล่านั้น

ศิษย์นิกายอื่นๆ ได้ทราบถึงมูลค่าแลกเปลี่ยนของหินจิตวิญญาณในตอนท้ายต่างก็สูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเย็นสะท้าน

มูลค่าสูงถึงเพียงนี้ สำหรับนิกายจันทราสวรรค์แล้วมันเพียงพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในนิกายได้ถึงสามปีเลยทีเดียว พืชสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางอย่างมีมูลค่าในโลกภายนอกมาก แต่ไม่มีขายตามตลาด ถึงอยากซื้อก็ไม่สามารถหาซื้อได้

แต่เมื่อผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนได้ยินถึงมูลค่าจำนวนนี้ ต่างก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา

มูลค่าจำนวนนี้เมื่อเทียบกับการเก็บเกี่ยวที่ได้จากแดนลึกลับในครั้งก่อน มันไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาดีใจได้

เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็ถามจางซิ่วเหนียง หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ

“อะไรกัน พวกเจ้าทั้งหมดไม่มีใครพบมังกรแดงตนนั้นหรือ?”

“เรียนท่านปรมาจารย์เหลิ่งเยวี่ย ไม่รู้ว่ามังกรแดงตนนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถึงแม้ข้าจะตั้งใจหามันเป็นพิเศษแต่ก็ไม่พบร่องรอยของมันเลย” ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ต่างก็มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจางซิ่วเหนียงก็ตอบแทนทุกคนอย่างนอบน้อม

“ช่างเถอะ ในเมื่อหาไม่เจอก็แสดงว่าพวกเจ้าไม่มีวาสนาที่จะได้เจอ เอาของทั้งหมดออกมาเถอะ! ถ้าสหายทุกท่านไม่วางใจล่ะก็ สามารถใช้พลังจิตกวาดดูตามตัวของพวกเขาว่ามีผ้าย่อส่วนห่ออื่นๆ หรือยันต์เก็บของอื่นๆ อยู่หรือไม่” ถึงแม้เหลิ่งเยวี่ยซือซือไท่จะรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า และจ้องมองจางซิ่วเหนียงและศิษย์คนอื่นๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หรงเซวี่ยน และผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนต่างก็ใช้พลังจิตกวาดดูตามตัวจางซิ่วเหนียง และศิษย์นิกายจันทราสวรรค์คนอื่นๆ อย่างไม่เกรงใจ จากนั้นต่างก็ค่อยๆ พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา

หลวงจีนหลิงอวี้แสดงเจตนาให้ทราบว่านิกายต่อไปที่จะมาแสดงสิ่งของที่เก็บเกี่ยวมาได้คือหุบเขาเก้าช่อง

เห็นได้ชัดว่าพืชสมุนไพรจิตวิญญาณที่โผล่ออกมาต่อหน้าคนทั้งสามนั้นมีน้อยกว่าศิษย์นิกายจันทราสวรรค์มาก แน่นอนว่ามันไม่สามารถเทียบกับของจางซิ่วเหนียงได้เลย

แต่พอผู้อาวุโสระดับของเหลวของหอสายธารโลหิตผู้หนึ่งหยิบน้ำเต้าสีเหลืองอ่อนขึ้นมาจากกองสิ่งของที่ศิษย์พี่อวิ๋นผู้นั้นเก็บเกี่ยวมาได้ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ และดึงจุกมันออกแล้วดมเบาๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที

“นี่คือสุราจิตวิญญาณ ทั้งยังเป็นสุราจิตวิญญาณธรรมชาติที่มีคุณภาพไม่น้อยเลย ศิษย์หลานอวิ๋น เจ้าไปได้มันมาจากไหน?” ชายวัยกลางคนของหอสายธารโลหิตผู้นี้รีบถามออกไป

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที ผู้อาวุโสนิกายต่างๆ ที่รับผิดชอบการตรวจสอบต่างก็เข้ามาล้อมดู และตรวจสอบสุราจิตวิญญาณในน้ำเต้าด้วยความประหลาดใจ

“เรียนอาจารย์อาทุกท่าน นี่คือสิ่งที่ศิษย์ได้มาจากรังของปีศาจวานรตนหนึ่ง คิดว่าเป็นสุราที่พวกมันกลั่นกันเอง” ชายหนุ่มหน้าดำโค้งตัวตอบด้วยสีหน้าสงบ

“มิน่าเล่า! มันเป็นเรื่องจริงที่อสูรปีศาจประเภทวานรชอบกลั่นสุราจิตวิญญาณมาดื่มเอง สุราจิตวิญญาณเหล่านี้บริสุทธิ์มาก เมื่อดื่มเข้าไปแล้วไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูพลังเวทย์ได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกล้ามเนื้ออย่างคาดไม่ถึง มันแตกต่างจากสุราจิตวิญญาณทั่วไปที่ขายตามท้องตลาดเป็นอย่างมาก ส่วนมูลค่า…” ผู้ฝึกฝนระดับของเหลววัยกลางคนของหอสายธารโลหิตกล่าวชมเชย และปรึกษากับคนอื่นเบาๆ ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ประเมินราคาออกมาที่หินจิตวิญญาณห้าแสนก้อน

สุราจิตวิญญาณที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทย์ได้ในทันทีนี้มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่น้อย

ไม่ว่าใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจแล้วใช้พลังเวทย์จนหมดนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ และผู้ที่เสียชีวิตจากสาเหตุเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลยแม้แต่น้อย

และถ้าหากมีสุราจิตวิญญาณสักหนึ่งน้ำเต้าติดตัวไว้ล่ะ เทียบเท่ากับว่ามีชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์เสริมอื่นๆ ที่สุราจิตวิญญาณนี้มีอยู่เลย

ดังนั้นมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณห้าแสนก้อนก็นับว่ายุติธรรมแล้ว

แต่เมื่อหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้ยินเช่นนี้ก็นึกได้ในฉับพลัน

……………………………………….