เธอคนนั้นก็คือหยาดฝน แม้จะเกลียด แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขั้นนั้น เธอตั้งใจพูดเกินจริง

หยาดฝนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารักเหรอ? เธอพูดใส่ร้ายผู้หญิงที่เขารักขนาดนั้น เขาจะต้องโกรธจนหุนหันพลันแล่น ไม่แน่อาจจะตกลงเธอก็ได้

“อีกอย่าง อยู่กับนายมานานขนาดนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกเกลียดมาก ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่อยากเจอนายอีกเลย เพราะพวกนายมันน่าเกลียดมาก!”

ได้ยินแล้ว ออกัสก็ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะแทน ริมฝีปากบางของเขาแสยะยิ้มขึ้น และจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ดุร้าย: “เกลียดขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“แน่นอน ฉันเป็นครู ไม่เคยพูดโกหกหรอกนะ” เธอพูด

เขาแสยะยิ้มเย็นชากว้างกว่าเดิม เสียงของออกัสเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันที่กัดกรอด นัยน์ตาสีดำเหมือนจะกลืนคนเข้าไปทั้งหมด: “งั้น ก็เกลียดแบบนี้ต่อไปแล้วกัน ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน……”

“ฉันเกลียดไม่เป็นไรหรอกนะ หนีไปไม่ต้องดูก็ได้ งั้นหล่อนล่ะ? นายอยากให้ฉันเรียกหล่อนว่าเมียน้อยงั้นเหรอ?”

บรรยากาศระหว่างทั้งสองตึงเครียดขึ้น พวกเขาจ้องเขม็งอย่างเย็นชา เป็นเหมือนไฟที่พร้อมจะปะทุขึ้นมา

หยาดฝนยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับเห็นว่าตัวเองเข้าไปยุ่งไม่ได้เลย นัยน์ตาของพวกเขาเหมือนมีแต่อีกฝ่าย แต่ไม่มีเธออยู่เลย แม้จะเป็นสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้

“เชอร์รีน!” นัยน์ตาออกัสเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ ยิ่งเขาเกลียดประเด็นนี้เท่าไหร่ เธอก็ยิ่งพูดออกมาตลอด

น้อยครั้งที่เขาจะตะคอกเรียกชื่อเธอแบบนี้ ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ก็คือเขาโกรธจริงๆ!

“ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ฉันจะด่าหล่อนว่าเมียน้อย สถานการณ์ของหล่อนก็จะอับอายมากยิ่งขึ้น และนาย ก็จะทำให้ฉันเกลียดมากขึ้น เกลียดจนไม่รู้จะเกลียดยังไงได้อีก!”

เธอเอาแต่พูดว่าเกลียดอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าท้าทายเขาขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้ เธอท้าทายเขาทั้งเส้นตายและความอดทน ขนาดนิ้วมือยังร้อนผ่าวไปด้วยไฟแห่งโทสะ จนกระจายไปทั่วร่างกาย

ออกัสโกรธมาก แต่เขากลับหัวเราะแทน แต่น้ำเสียงนั้นกลับเยือกเย็น ดุร้าย ทำให้คนที่ได้ยินขนลุกซู่: “คุณหญิงเชอร์รีนอยากหย่ามากนักใช่ไหม ก็ได้ ฉันจะทำให้เธอสมหวังเอง……”

“ได้” เชอร์รีนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วตอบเขา

เธอรอเขาพูดแบบนี้มาตลอด วันนี้กระตุ้นอยู่ตั้งนาน ก็แค่ต้องการผลลัพธ์นี้เท่านั้น

ตอนนี้ เธอได้ยินคำพูดนั้นดั่งใจอยาก และหัวใจของเธอกลับเริ่มเจ็บปวดขึ้น เหมือนมีคนเอาเกลือมาสาดลงบนบาดแผล มันเจ็บแสบจนทนแทบไม่ไหว

ความเจ็บปวดนั้นแตกต่างจากปกติ ทำให้หัวใจและร่างกายของเธอสั่นกระตุกไปตามๆกัน

เธอใช้แรงทั้งหมดในร่างกายที่มีข่มตัวเองให้ใจเย็นลงได้ เธอยิ้มและยืนอยู่ที่นี่!

ยิ่งเธอใจเย็นแบบนี้เท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ออกัสโกรธจนกัดฟันกรอด นัยน์ตาก็ยิ่งมีไฟปะทุขึ้นด้วยโทสะ ข้อกระดูกของมือใหญ่มีเสียงดังขึ้นกร็อด

นัยน์ตาที่เย็นชาจนเหมือนน้ำแข็งอันเยือกเย็นที่กวาดสายตามองเธออยู่ มือใหญ่ของเขาบีบคอเธอไว้

เจ็บ เจ็บมาก แรงของเขาเยอะมากจริงๆ เหมือนจะบดขยี้ไหล่ของเธอให้แหลกละเอียดถึงจะหยุด เชอร์รีนขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ สีหน้าบนใบหน้าก็ซีดเซียวมากยิ่งขึ้นไปอีก

ในตอนที่เธอคิดว่าไหล่ของตัวเองจะหักแล้ว ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือออก ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นไม่เยือกเย็นเหมือนแต่ก่อน แต่กลับใจเย็น เย็นชาเหมือนห่างเหิน ความเยือกเย็นบนตัวที่แผ่ซ่านออกมาเหมือนปฏิเสธไม่อยากให้คนเข้าใกล้

เขาไม่ได้พูดและไม่ได้มองเชอร์รีนอีก ออกัสก้าวเท้าเดินออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไป

หยาดฝนที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นเหมือนอากาศที่ไร้ตัวตน จากนั้นเธอก็รีบตามออกไปโดยไม่ลังเล

ดังนั้น คฤหาสน์ก็จึงเหลือเพียงเชอร์รีนกับบรรยากาศที่เงียบเหงาและไร้เสียง

สุดท้ายตอนที่ออกัสออกไป ดูเหมือนเขาจะกลับมาเป็นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ไม่สิ เขาเย็นชามากกว่าครั้งแรกที่เจอกันเสียอีก ความเย็นชาแบบนั้น มันแผ่ซ่านออกมาจากตัวตนที่แท้จริงของเขา

ขณะเดียวกัน เธอก็เข้าใจแล้วว่า ครั้งนี้ เขาโกรธมากจริงๆ คำพูดนั้น ก็ไม่เหมือนคำโกหกด้วย……

ในใจที่อยากจะปลดปล่อยมาตลอด ตอนนี้ ในที่สุดก็ได้มันมาแล้ว แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เจ็บปวด เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

คน ทำไมถึงได้ขัดแย้งขนาดนี้นะ……

แต่เธอ เข้าใจดีว่า การแต่งงานสลับกันไปมาสามคนแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ……

……

หยาดฝนเดินตามหลังออกัส ขาของเขาค่อนข้างยาว บวกกับที่เขาก้าวเท้ายาวอีก การเดินตามเขามันเหนื่อยมาก เธอจึงต้องวิ่งตามเขา

เธอเดินเร็วมาก เดินเหยียบท่อนไม้มีเสียงดังขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่เขากลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว

เธอพักฟื้นได้ไม่นาน สักพัก เธอก็รู้สึกไม่ไหวและเดินช้าลงเรื่อยๆ

สายตามองไปที่แผ่นหลังกำยำของเขา หยาดฝนเริ่มเหม่อลอย เธอนึกถึงตอนที่อยู่ในห้องรับแขกเมื่อกี้ คำพูดระหว่างเขากับเชอร์รีน

ไม่ว่าเป็นคำพูดหรือน้ำเสียงของเชอร์รีน เธอมองออกว่า นั่นไม่ใช่คำโกหกเลย แต่หล่อนคิดจะหย่าจริงๆ

แต่ว่า ออกัสกลับไม่ค่อยอยากเท่าไหร่……

ถ้าเป็นเหมือนกับที่เชอร์รีนพูด การแต่งงานของทั้งสองเป็นแค่การค้าขาย คนที่ออกัสรักก็คือเธอ ตอนนี้เมื่อพูดถึงการหย่าแล้ว เขาไม่ควรแสดงท่าทีแบบนี้สิ ไม่ใช่เหรอ?

งั้นก็เห็นได้ชัดว่า เขาไม่อยากหย่ากับเชอร์รีนจากจิตใต้สำนึก

และเหตุผลนี้มีแค่อย่างเดียวคือ เขายังรักเชอร์รีนอยู่ ชินกับการอยู่กับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเริ่มรักเธอเข้าอย่างจริงจังแล้ว……

ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอตอนนี้ไม่มีผิดแน่นอน สถานการณ์จะดำเนินต่อไปแบบนี้ไม่ได้ สิ่งที่ควรตัดก็ต้องตัดออกไป

หยาดฝนเดินตามไปอยู่นานมาก เธอเห็นเขานั่งอยู่บนม้านั่งข้างทะเลสาบ สีหน้ามืดมน สับสน เย็นชา เป็นเหมือนน้ำแข็งที่เยือกเย็น เดาไม่ออกและดูไม่ออกด้วย

เธอเดินเข้าไปเงียบๆแล้วนั่งลงข้างๆเขา ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองนั่งใกล้กันมาก จนปลายเสื้อแตะกัน

ตกดึกอากาศเย็นมาก ไม่ว่าจะเป็นลมที่พัดมา หรืออุณหภูมิที่ลดต่ำลง ก็ทำให้ทั้งสองอดไม่ได้หนาวจนต้องหดตัวลง

แต่ว่า แสงจันทร์สว่างไสว และสาดส่องลงมา มันดูงดงามและเงียบงันมาก

ทั้งสองไม่มีใครพูดก่อนเลย บรรยากาศยังคงเงียบสงบ นานมาก หยาดฝนก็เริ่มพูดขึ้นก่อน: “นายรู้ไหมว่า ทำไมวันนั้นฉันถึงตกลงมาจากบันได?”

ออกัสกะพริบตาแล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเย็นชา: “ทำไมเหรอ?”

“วันนั้น เชอร์รีนกับพี่สะใภ้ทะเลาะกัน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เหตุผลที่ทะเลาะกันมีพี่สะใภ้พูดขึ้นก่อน แต่เชอร์รีนผลักพี่สะใภ้จริง ไม่งั้น ฉันก็คงไม่ตกลงมาหรอก” หยาดฝนพูดแบบนี้ เธอไม่คิดว่า ตอนนี้ตัวเองจะกลายเป็นคนที่ต่ำช้าได้ขนาดนี้

แววตาของเขายังคงมืดมน และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”

คำพูดนี้กลับทำให้หัวใจของหยาดฝนเจ็บปวด เรื่องแบบนั้น เขากลับพูดออกมาอย่างเรียบเฉยได้ยังไงกัน

เธอคิดว่า เขาจะสงสัยความจริงในวันนั้น และตามสืบเหตุผลที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะยังไง เชอร์รีนผลักแม่ของเขาลงไป

นั่นก็หมายความว่า เขาเชื่อใจเชอร์รีนจากใจจริง นี่ทำให้ความระแวงในใจเธอสูงขึ้นเรื่อยๆ

“อืม แต่ดูเหมือนเชอร์รีนจะเกลียดฉันมาก ใช่สิ เรื่องที่ฉันทำก็ไม่สมควรให้คนอื่นชอบหรอก แล้วจะคาดหวังให้เธอชอบฉันได้ยังไง?” หยาดฝนเปลี่ยนเรื่องคุยและหัวเราะประชด

ออกัสไม่ได้ตอบสิ่งที่เธอพูด ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากม้านั่ง และพูดว่า: “ดึกมากแล้ว อากาศก็หนาวมากด้วย เธอเพิ่งหายดี อย่านั่งข้างนอกนานล่ะ กลับเข้าไปในคฤหาสน์เถอะ”

ทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ถึงยี่สิบนาที ยังพูดคุยกันได้ไม่นาน หยาดฝนก็พูดอย่างผิดหวังและเอาแต่ใจว่า: “แต่ว่า ฉันยังอยากนั่งตรงนี้อีกสักพัก นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”

เขาถอดเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ แล้วคลุมตัวเธอไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและทุ้มต่ำว่า: “อย่าเอาแต่ใจเลย กลับเข้าไปเถอะ”

แม้จะมีเสื้อกั้นเอาไว้ แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากเสื้อคลุมใหญ่ของเขา ความผิดหวังของหยาดฝนได้ถูกไออุ่นนี้สลายหายไป เธอยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้น: “ออกัส พวกเราเหมือนได้กลับไปเหมือนเมื่อสามปีก่อนเลยนะ”

ริมฝีปากบางของเขายิ้มตอบเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร มือใหญ่แค่ช่วยเธอคลุมเสื้อไว้ให้แน่นกว่าเดิมเท่านั้น

หยาดฝนกระตุกยิ้มแล้วซบลงไปในอ้อมกอดของเขา ออกัสหลบตัวออกไปโดยไม่พูดอะไร เป็นการกระทำที่ละเอียดอ่อนมาก เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไหร่

ทั้งสองกลับไปถึงคฤหาสน์ เชอร์รีนก็ไม่อยู่ในห้องรับแขกแล้ว น่าจะกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะ คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ แต่ห้องกลับมีแค่สองห้อง

ตอนนี้ เชอร์รีนนอนหนึ่งก้อง ที่เหลือก็เป็นห้องของหยาดฝน

พอส่งหยาดฝนเข้าห้องไปแล้ว เขาก็พูดอะไรเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่ห้องหนังสือทันที

ในห้องหนังสือไม่มีเตียง มีแค่เก้าอี้หนัง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หนังนั้น ร่างสูงโปร่งยืดไปด้านหลัง แล้วหลับตานอน

หยาดฝนมองจนเขาเข้าไปในห้องหนังสือ เธอรู้สึกอารมณ์ดี สะใจ และสบายใจขึ้นมาก

เชอร์รีนก็ไม่ได้นอนเลย เธอนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่นานมาก ภายในห้องยังคงเงียบสงบ มีเพียงลมหายใจอ่อนๆของเธอที่ดังอยู่ในบรรยากาศอันเงียบงัน

ตอนนี้เธอรู้สึกการเคยชินเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เธอชินกับการมีเขานอนอยู่ข้างกาย พอเขาไปแล้ว ถึงรู้สึกความเหงามันทรมานแค่ไหน

แต่ เธอจะต้องอดทนให้ได้……