มันไม่ใช่แค่การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น ชูฮันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว
หลิวยู่ติงตกใจ “นี้มันเป็นการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเป็นการคัดกรองคน?”
ชูฮันมีสายตาล้ำลึก “ทั้งหมด”
“ไม่กลัวว่ามันจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจริงๆเหรอไง?” หลิวยู่ติงเริ่มเข้าโหมดตึงเครียด “อาจจะถูกวางยาพิษ หรือฆ่าแกงกันเพื่อชิงอาหาร หรือผลักไสพวกพ้องให้เป็นอาหารของซอมบี้แทนตัวเอง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับพวกผู้ลี้ภัย มันมีปัญหาแย่ๆมากมายที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้”
“นายกังวลเรื่องอะไร?” ชูฮันเริ่มให้ความสนใจกับหลิวยู่ติง “ฮัวหมิงและหลี่ซิงยูเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 พวกเขายังสามารถแก้ไขปัญหาได้ ครั้งนี้พวกคนที่มาใหม่มีสี่คนที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1 ส่วนพรสวรรค์คนเดียวที่มีก็ถอนตัวไปแล้ว การที่จู่ๆฮัวหมิงและหลี่ซิงยูที่ตอนแรกเป็นพวกเราแต่จู่ๆก็ทรยศขึ้นมานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการรับมือกับพวกผู้ลี้ภัยที่อาจจะทรยศขึ้นมาได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องไว้ใจใครเลยงั้นสิ?”
“มันก็จริง” หลิวยู่ติงพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วกูเหลียงเฉินล่ะ? จนถึงตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ และนายก็ยังจัดให้หลี่ชวนและพวกผู้ลี้ภัยไปอยู่กับกูเหลียงเฉินอีก ในกรณีที่ถ้าเกิดกูเหลียงเฉินทำอะไรขึ้นมา คนของเราจะไม่สามารถรับมือได้เพราะไม่มีกำลังช่วย!”
“เขาจะไม่ทำ” ชูฮันดูนิ่งสงบ
แม้กูเหลียงเฉินจะดูน่าสงสัยมาตลอดตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังชอบปลีกตัวไปอยู่คนเดียวและไม่พูดคุยกับใครเลย แต่เมื่อไหร่ที่มองดูกูเหลียงเฉินดีๆก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วกูเหลียงเฉินเป็นคนเรียบง่ายและอ่อนโยน หากเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดเผยอารมณ์ให้ใครได้เห็น ทว่าภักดีของกูเหลียงเฉินที่มีต่อชูฮันนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนไม่ใช่เรื่องโกหก!
ถึงแม้อัตราการเพิ่มจะช้ามากก็ตามที
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอีกอยู่ดี ฉันมีอีกคำถาม!” หลิวยู่ติงมีคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจ “นอกเหนือจากปล่อยให้เหล่าทหารของเราได้ฝึกฝนแล้ว คนที่สามารถรอดชีวิตจากการฝึกครั้งนี้ได้นายจะให้คนพวกนั้นเข้าร่วมกองทัพจริงๆงั้นเหรอ? ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น ระยะเวลาในการเดินทางก็จะช้าลง”
ชูฮันเพียงเลิกคิ้ว “ตอนออกจากค่ายซางจิงมาเรามีคนทั้งหมดกี่คน?”
หลิวยู่ติงตอบคำถาม “อย่างน้อยสามร้อยคน”
จากนั้นชูฮันก็จ้องหลิวยู่ติงและพูด “นั่นเราก็ยังทำได้!”
ทันทีที่ชูฮันพูด หลิวยู่ติงก็หันคอควับมาจ้องชูฮัน “นาย…นาย?”
ชูฮันกรอกตา “อะไรคือ นาย นาย ฉัน ฉัน ใจเย็น!”
“โอ้!”
“มีคำถามอะไรอีกมั้ย? ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พวกเราก็ต้องเข้าไปด้วย” ชูฮันพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าออกไป นอกเหนือจากการฝึกฝนคนหนึ่งร้อยหกสิบคนแล้ว หลิวยู่ติง ซูเฟิงและตัวเขาเองก็มีโปรแกรมการฝึกที่แตกต่างออกไปของแต่คนละเหมือนกัน แต่แค่ได้ยินหลิวยู่ติงและซูเฟิงก็แทบจะเข่าอ่อนแล้ว
“เดี๋ยว! ฉันยังมีปัญหาที่ไม่เข้าใจอยู่” ซูเฟิงรีบส่งเสียงรั้งชูฮันที่กำลังเดิน—–
พ้ะ!
เสียงกระแทกอย่างกระทันหันดังขึ้น ซูเฟิงจ้องไปที่ชูฮัน “คุณเตะฉันเหรอ?”
ชูฮันสั่นขาเพื่อสะบัดกล้ามเนื้อ “คุณไม่ทำตามระเบียบ”
———-
และในขณะเดียวกัน ที่ห้องทำงานของภายในค่ายเขี้ยวหมาป่านอกเมืองอันลู
ก๊อก! ก๊อก!
มีเสียเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานของซางจิ่วตี้
“เข้ามา” ซางจิ่วตี้ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เธอนิ่วหน้าเล็กน้อยและลดเอกสารในมือลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองตรงประตู
เอี๊ยด—–
ประตูไม้เปิดอ้าออกและตามมาด้วยคนสองคนเดินเข้ามาในห้อง ชายคนแรกหน้าตาเปรอะเปื้อน ส่วนคนที่เดินตามมาทีหลังคือติงซือเย้าที่ปักหลักอยู่ในค่ายเขี้ยวหมาป่ามาเป็นเวลานานแล้ว
ซางจิ่วตี้เหลือบมองติงซือเย้า จากนั้นก็จ้องลึกไปที่ชายที่เดินนำหน้าเข้ามาก่อน เมื่อตอนที่เขาเดินเข้าประตูเข้ามาดูเหมือนเป็นพวกผู้ลี้ภัย แต่เมื่อเข้ามาในห้องแล้วและปิดประตูลงชายคนนั้นนก็รีเปลี่ยนสีหน้าที่แสร้งทำไว้ออก…พลังผันผวนพิเศษ
ซางจิ่วตี้รับตำแหน่งดูแลควบคุมค่ายเขี้ยวหมาป่ามาเป็นเวลาทั้งหมดสี่เดือนแล้ว และเธอเองก็คุ้นเคยกับพลังผันผวนแบบนี้ดีเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรดมา เขาคือใครกัน?
ต่อหน้าต่อตาซางจิ่วตี้ ติงซือเย้าปิดประตูและส่งผ้าเปียกในมือส่งให้ชายตรงหน้า
หัวคิ้วของซางจิ่วตี้ย่น หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเธอตำแหน่งเดิมไม่ได้ลุกขึ้น มันมีความอันตรายแฝงอยู่ในแววตาของเธอ “กัปตันเหอเฟิง มีเรื่องอะไรกันถึงได้มายืนอยู่ต่อหน้าฉันแบบนี้?”
เหอเฟิงไม่เพียงแต่จะโด่งดังเรื่องความสามารถแล้วและคุ้นเคยกันดีกับซางจิ่วตี้ แต่เขายังเป็นกัปตันของทีมฮูหยาอีกด้วย ถึงแม้ตัวตนของเขาจะไม่เป็นที่รู้จักในคนกลุ่มน้อย แต่ซางจิ่วตี้ที่เป็นคนของทีมเขี้ยวหมาป่านั่นย่อมรู้จักเขาดีและแน่นอนว่าฝีมือของเธอไม่สามารถเทียบเหอเฟิงได้เลย แต่นี้มันผ่านไปถึงสี่เดือนแล้งตั้งแต่ชูฮันได้รับตราตำแหน่งพลเอก ทำไมจู่ๆเหอเฟิงถึงมาปรากฏตัวที่ค่าย นั่นคือสาเหตุที่เธอตกใจ
กัปตันของทีมฮูหยา นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!
“ฉันมาที่นี่เพื่อส่งข้อความสองข้อความให้คุณและของสองสิ่ง” เหอเฟิงตรงเข้าประเด็นทันที
เหอเฟิงเอาผ้าขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาและสิ่งสกปรกตามร่างกาย จากนั้นก็หยิบเอกสารสำเนาสองชุดจากตรงแขนออกมาและวางมันลงต่อหน้าซางจิ่วตี้
ติงซือเย้าที่ยืนอยู่ด้านหลังเหอเฟิงมาตั้งแต่แรกไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้มาสบตากับซางจิ่วตี้ เพราะว่าเขาเป็นคนพาเหอเฟิงเข้ามา และตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งโดยตรงจากเหอเฟิงที่เป็นกัปตันทีมฮูหยาของเขา เหอเฟิงสั่งให้ติงซือเย้าพาตัวเขาเข้ามาพบซางจิ่วตี้แบบปลอมตัวเข้ามาและให้รายงานข้อมูลภายในของค่ายเขี้ยวหมาป่าให้ฟัง
ตอนนี้ติงซือเย้ารู้สึกว่าบุญโชคดีที่เขาสะสมมาได้หมดลงแล้ว
มันเป็นเพราะติงซือเย้าอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เหอเฟิงและซางจิ่วตี้ไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด ตอนนี้การเผชิญหน้าระหว่างปีศาจทั้งสองตัวได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและประโยคต่อไปที่เอ่ยขึ้นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม
ซางจิ่วตี้เพียงแค่เหลือบตาไปที่ของสองสิ่งบนโต๊ะ จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นสบตากับเหอเฟิง “ขอโทษ ฉันไม่ขอรับ กรุณานำข้อความและของพวกนี้กลับไป”
“ฉันมาที่นี่เพื่อยืนต่อหน้าคุณพร้อมกับข้อความแรกที่ฉันนำมา” เหอเฟิงหยิบเก้ามาและนั่งลงเพื่อจ้องหน้ากับซางจิ่วตี้ตรงๆ น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “ชูฮันและกองทัพของเขาหายไป”
หลังจากพูดจบ เหอเฟิงก็เงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยาของซางจิ่วตี้
ซางจิ่วตี้ไม่อารมณ์จะมาเล่นสงครามประสาทกับเหอเฟิง เธอเพียงแค่ยิ้มออกมาเบาๆ “ฉันดูชื่อที่เสาหินทุกวัน ชื่อของชูฮันยังคงอยู่ในอันดับแรกของวิวัฒนาการระยะ 3 อยู่เหมือนเดิม เขายังไม่ตาย เพราะฉะนั้นข่าวนี้ไม่มีผลอะไรต่อฉัน”
เหอเฟิงเองก็ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจออกมาให้เห็นเพราะซางจิ่วตี้มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างที่เขาคาดไว้ เขาเพียงพูดต่อ “เพราะชูฮันหายตัวไป สิ่งที่ฉันนำมาเพื่อมอบให้เขาจึงสามารถส่งมอบให้แค่คุณได้คนเดียวเท่านั้น”
นี่เป็นกลหลวงอีกอันรึไง?
ซางจิ่วตี้แสยะยิ้มอยู่ในใจและตัดสินใจพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยน้ำเสียงเรียบ “ฉันไม่สามารถเป็นตัวแทนของชูฮัน ขอโทษด้วย ส่วนข้อมูลของคุณฉันขอไม่รับ กรุณากลับไปเถอะ อ้อและอีกอย่างช่วยบอกพวกผู้บริหารในซางจิงด้วยว่าฉันซางจิ่วตี้จะอยู่ที่นี้ ไม่——“
“ฉันไม่ได้ถูกส่งมาจากค่ายซางจิง ครั้งนี้ฉันเป็นตัวแทนของตัวฉันเอง” จู่ๆเหอเฟิงก็พูดขัดคำพูดของซางจิ่วตี้ขึ้นมา
ทันใดนั้นเองซางจิ่วตี้ก็เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารพร้อมกับสีหน้าเหลือเชื่อ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”