124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

 

เมืองฉางอัน

 

วังหลวง

 

ด้านบนของจัตุรัสหยกขาว

 

เย่กู้เฉิงเห็นเพียงประกายดาบพุ่งมาจากที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง และรู้สึกว่าลานสายตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นได้นอกจากมัน มันบดบังการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างราวกับภาพลวงตา

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

กระบี่ยาวในมือของเย่กู้เฉิงปรากฏรอยแตกกระจายไปทั่วตัวกระบี่ในชั่วพริบตา

 

“พี่ชายเย่”

 

ไม่ไกลนัก ลูกตาของซีเหมินชุยเฉวพลันหดตัวแคบลงและมองไปที่เกู้เฉิน

 

“นี่คือ?”

 

ซีเหมินชุยเฉว่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ประกายดาบถูกกวาดกระจายออกมา

 

หวิ่ง!

 

สติของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวเริ่มที่จะมัวหม่น จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

และในตอนนี้

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในจัตุรัสหยกขาวซึ่งกําลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนที่ทรงพลังไร้ต้านทาน บัดนี้ทั้งคู่กลับร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าและล้มลงแทบพื้นพสุธาเสียงสนั่นไปทั่วจัตุรัสหยกขาว

“นี่?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เห็นฉากดังกล่าวต่างมองหน้ากันไปมา

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับคิดว่าพวกตนคงจะต้องตกตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเย่กู้เฉิงเสียแล้ว

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะคิดฝันได้

 

“ฝ่า..ฝ่าบาท ตอนนี้ควรทําอย่างไรต่อดี?”

 

รองแม่ทัพพยายามระงับความตกใจของตนมองไปที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

 

“หลิวกงกง ไปตรวจดูหน่อยซิ”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น

 

“ตามพระบัญชา” หลิวกงกงโค้งคํานับให้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปยังตําแหน่งที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวตกลงมา

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตีกรอบล้อมเข้ามาทีละนิดด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นกลอุบายของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ พวกเขาก็จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและจบเรื่องราวให้ได้ไวที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลิวกงกงรีบกลับมาและกระซิบคําบอกต่อองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ “ฝ่าบาท คนพวกนั้นตายหมดแล้ว

 

“ตายแล้ว?”

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่นิ่งเงียบไป

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ที่ทรงพลังอํานาจถึงสองคนกลับมาตกตายเช่นนี้น่ะหรือ?

 

“ฝ่าบาท อาจจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่เคยลงมือเมื่อสองปีก่อน?”

 

ในขณะนั้นท่านแม่ทัพแห่งวังหลวงก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วกระซิบบอกออกไป

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ความคิดขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อสองปีที่แล้วองค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับหนานหมิง และราชาหรู่หยางรวมถึงอินจิ๋วสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งคู่ ต่างถูกสังหารตกตายอยู่นอกพระราชวัง

 

ในยามนั้นองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงตกอยู่ในความสิ้นหวัง เกือบจะผ่านพ้นวิกฤติไปไม่ได้ เพราะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดถึงสองคนที่ร่วมมือกัน

 

ในตอนนั้นเองเสียงคู่ฉินก็ดังขึ้น

 

และหลังจากเสียงบรรเลงจากภู่ฉินจบลง มันก็จบลงพร้อมกับความตาย

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่สัมผัสได้รางๆ ว่าคงจะมียอดฝีมือที่ได้เปรียบหลบอยู่ในวังหลวง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ เคยพบท่านผู้นั้นจึงไม่สามารถยืนยันเรื่องราวได้

“ข้ารู้แล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ครุ่นคิด

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือที่ได้เปรียบผู้นี้ จึงอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ทั้งยังพยายามช่วยอาณาจักรถังไว้หลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีความปรารถนาอันดีต่ออาณาจักรถัง

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นบรรพบุรุษสักคนที่ยังมีชีวิตอยู่

?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงทําได้แต่เดาอยู่ในใจ

 

สถานะของราชวงศ์ถังมีมานานกว่าห้าร้อยปี มีบรรพบุรุษที่เป็นถึงตํานานยุทธ หากจะมีบรรพบุรุษคนใดซ่อนตัวอยู่ในวังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

“ดีแล้วล่ะ”

 

“พวกเจ้าแยกย้ายกลับกันไปได้แล้ว”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงคิดคํานึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคําสั่ง

 

“ตามพระบัญชา”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้มิด พวกเขาค่อยๆก้าวถอยกลับไปที่ละคน

 

เดิมที่พวกเขาคิดว่าวันนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่แสนยากลํา บาก และถึงแม้จะจัดการยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งสองคนได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้

 

หลังจากนั้นพระราชวังก็ค่อยๆสงบลง

 

จอมยุทธที่มารั้งรออยู่ในเมืองฉางอันแต่เนิ่นๆ ต่างก็งงงวย

 

แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองฉางอันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขตพระราชวังได้เลย ทําได้เพียงสัมผัสความผันผวนของกระแสพลังที่มาจากวังหลวงในระยะไกลเท่านั้น

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้น แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายที่กระจายออกมาก็เพียงพอที่จะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอันเลยทีเดียว

 

จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าคาดหวังที่จะได้ชมดูการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว

 

หนึ่ง เป็นเพราะขีดจํากัดของพวกเขา สําหรับยอมยุทธที่พากันเข้ามาภายในเมืองฉางอัน หากต้องการเข้ามาใกล้พระราชวังถัง พวกเขาก็ต้องพึงสังวรไว้ด้วยว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในราชวงศ์ถังนั้นเป็นชื่อที่ตั้งไว้ลอยๆ หรือไม่?

 

ประการที่สอง แม้ทางพระราชวังถึงจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวังเพื่อชมการต่อสู้จริง แต่ใครจะกล้าไปกันเล่า?

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด แค่ผลพวงจากพลังที่กระจัดกระจายออกมาก็เพียง พอที่จะกดดันจนจอมยุทธส่วนใหญ่จนหายใจไม่ออก

 

จอมยุทธพวกนั้นล้วนอยากดู แต่ไม่มีใครที่อยากจะแขวนชีวิตของตนเองไว้ในกํามือของผู้อื่น

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับชมการต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง แต่การรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังจากระยะไกลก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของพวกเขาอย่างรู้จบรู้สิ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายยากที่จะเข้าใจได้ก็คือ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากวังหลวงนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เย่กู้เฉิงกับซีเหมินชุยเฉวต่อสู้กันจริงรึเปล่าเนี่ย?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นเรื่องหลอกลวง? ไม่สิ ด้วยตัวตนของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ ในเมื่อกล่าวว่าจะมาชี้แนะวิถีกระบีกันที่พระราชวังถังแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทําตามที่

พูด…”

 

จอมยุทธทั้งหลายต่างพูดคุยส่งเสียงกัน น้ำเสียงของแต่ละคนเต็มไปด้วยความงงงวย

 

ในขณะนั้นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวก็ยืนขึ้น

 

“บางที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่อาจจะมาถึงแล้ว”

 

ชายชราผมขาวเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เมื่อเขาเอ่ยคําขึ้น จอมยุทธที่อยู่รอบๆ ต่างก็เงียบฟัง

 

“ หมายความว่าเช่นไรกัน?”

 

จอมยุทธบางคนที่อดใจไม่ไหวก็ถามออกไป

 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดขี้นว่า “ผู้คนล้วนมาอยู่ที่นี่แต่จะได้สู้กันหรือเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่อง…”

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทั้งหมดต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเข้าใจความหมายของชายชราผมขาวดี ขณะนี้เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวอาจจะถูกใครบางคนภายในพระราชวังถึงปราบไปแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น จึงไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป

 

“ภายในพระราชวังถึงนี่เก็บซ่อนความน่ากลัวเอาไว้มากจริงๆ”

 

ในที่สุดชายชราผมเคราขาวก็เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

เหล่าจอมยุทธต่างมองหน้ากันหัวใจของพวกเขากระตุกวูบอย่างอธิบายไม่ได้

 

วังหลวง

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

หลังจากซูฉินสะบัดมือออกไปเป็นประกายดาบ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวังอีก

 

ด้วยประกายดาบที่ส่งออกไปนั้นอย่าว่าแต่เย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน เลยแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถปัดป้องได้

 

“หลังจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงมากว่าหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงไอพลังของตนที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่ แม้ว่าเขาจะใช้ สมบัติไปมากมายเช่น หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้งหรือโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาได้เชื่องช้ามาก

 

แต่ตอนนี้มันได้ก้าวหน้าขึ้นแล้ว

 

หากจะแบ่งขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่เป็นสามระดับย่อย ซูฉินก็มาถึงระดับที่สองแล้วในตอนนี้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าแสดงความพึงพอใจอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากนั้น

เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา