ตอนที่ 1490

War sovereign Soaring The Heavens

เมืองหานเหอ

 

เมืองหานเหอนั้น ในฐานะที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร พื้นที่ของเมืองเองก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก ยังกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมาในชีวิตนี้

 

เหตุผลที่กล่าวว่า ‘ชีวิตนี้’ เพราะถึงแม้เมืองนี้จะใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเมืองสำคัญๆในโลกเก่าของเขา

 

เมืองในอดีตของเขานั้นแตกต่างจากเมืองในโลกใบนี้มาก

 

เมืองที่เขาพบเจอในชีวิตนี้แผนผังทั้งอาคารปลูกสร้างอะไร มันมีรูปแบบเหมือนกับเมืองในสมัยโบราณของโลกเขา

 

เมืองสมัยใหม่ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่มันไร้กำแพงป้องกันอะไร พื้นที่ถนนหนทางและการคมนาคมเองก็ก้าวหน้าล้ำสมัยหมดแล้ว

 

แถมเมืองในโลกเก่าของเขาพื้นที่ของมันจริงๆย่อมครอบคลุมเขตย่อยอะไรอีกมากมาย

 

ไม่ใช่เมืองเดี่ยวที่มีกำแพงล้อมรอบเอาไว้แบบนี้

 

ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใกล้เขตเมืองหานเหอ เขาก็พบว่าบนฟ้าเริ่มแลเห็นผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาจากทิศทางแล้ว ทั้งหมดสมควรไปยังเมืองหานเหอเช่นกัน

 

เมืองหานเหอที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร แน่นอนว่าย่อมมีอาคมห้ามบินเช่นกัน

 

ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้มาก่อน

 

แถมอาคมห้ามบินที่ปกคลุมเมืองหานเหอแห่งนี้ ยังเป็นอาคมระดับเดียวกับที่ปกคลุมสำนักจันทร์จรัสแสง จำกัดตัวตนที่มีขอบเขตพลังต่ำกว่าเซียนไว้ มิให้สามารถเหินบินได้…

 

แน่นอนหากท่านเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขอบเขตเซียนขึ้นไป ย่อมสามารถเหินบินได้อย่างเสรี

 

ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงเมืองหานเหอ ต้วนหลิงเทียนก็โรยตัวลงไปยังพื้นดิน เพื่อเดินเท้าเข้าเมืองเหมือนกับผู้ฝึกตนอีกมากมายที่สัญจรไปมา

 

ถนนหนทางในเมืองหานเหอนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองทั่วไปที่เขาเคยพบมาไม่น้อย จำนวนผู้คนที่สัญจรไปมาทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเปิดหูเปิดตาอยู่บ้าง

 

“หากเทียบกับเมืองหานเหอแล้ว เมืองอื่นๆที่ข้าเคยไปมา…เหมือนหมู่บ้านเล็กๆในชนบทไม่มีผิด”

 

หลังเดินไปตามถนนหนทางชมมองทุกสิ่งอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะสถานที่หรืออาคารอันสวยงาม รวมถึงผู้คนที่ใช้ชีวิต ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำกับตัวเบา

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่เขามายังเมืองหานเหอ

 

หลังจากเจอโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาก็กล่าวถามเรื่องราวทั่วไปในเมืองหานเหอเล็กน้อย

 

ก่อนที่จะมายังเมืองหานเหอนั้น แน่นอนว่าเขาทำความเข้าใจเมืองนี้ไว้คร่าวๆแล้ว

 

ทว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หรือความเปลี่ยนแปลงอะไรในเมืองนอกเหนือจากบันทึกที่เก็บไว้ เขาย่อมไม่รู้เลย

 

อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวที่ว่า…เงินสามารถใช้ผีโม่แป้งได้

 

หลังจากต้วนหลิงเทียนไปนั่งตามเหลาอาหาร เพื่อลองรับประทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองหานเหอดู เขาก็มอบหินเซียนให้เสี่ยวเอ้อ เพื่อรับทราบความเป็นไปในเมืองหานเหอ ไม่นานเขาก็เข้าใจสถานการณ์ภายในเมือง

 

เมืองหานเหอแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ในเขตปกครองร่วมกันของ 9 พันธมิตร และได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังร่วมของ 9 พันธมิตร

 

สำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรเองก็ตั้งอยู่ที่นี่

 

กิจการรวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่น้อยในเมืองหานเหอแห่งนี้ แทบจะทั้งหมดถูกแบ่งสรรปันส่วนกันภายในขุมพลัง 9 พันธมิตร ส่วนกิจการยิบย่อยอื่นๆที่ 9 พันธมิตรไม่สนใจนั้น ล้วนถูกจัดแจงแบ่งกันควบคุมดูแล โดยขุมพลังท้องถิ่นในเมือง

 

ขุมพลังท้องถิ่นในเมืองนั้น ก็เป็นขุมพลังชั้น 8

 

แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น ย่อมไม่อาจนำไปเทียบกับขุมพลังชั้น 8 อย่างเมืองชงซันที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของสำนักจันทร์จรัสแสงได้…

 

ทั้ง 18 เมืองที่อยู่ภายใต้อาณัติของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น กล่าวไปมันแทบไม่อาจนับได้ว่าเป็นขุมพลังชั้น 8 ด้วยซ้ำ ทั้งหมดถูกนับเป็นขุมพลังชั้น 8 เพราะสำนักจันทร์จรัสแสงหนุนหลัง…

 

อย่างไรก็ตามขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น เป็นขุมพลังที่มีความแข็งแกร่งจริงๆ

 

ในบรรดาขุมพลังชั้น 8 เหล่านี้ มีเสาหลักที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มากมายหลายคน แม้จะเป็นตระกูลที่อ่อนแอหน่อย ก็ยังมียอดฝีมือในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบมากมาย

 

ขุมพลังเหล่านี้หากไม่เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหานเหอ ก็เป็นสำนักพรรคเล็กๆที่หากินตามเรื่องราว กระทั่งลัทธิกับนิกายก็มีให้เห็น

 

“ดูเหมือนตระกูลโอวหยาง ตระกูลซือถู แล้วก็ตระกูลอี้ที่เป็นเบื้องหลังของอี้เทียนสิงคนนั้น จะเป็นขุมพลังท้องถิ่นของเมืองหานเหอสินะ…แถมตระกูลโอวหยางกับซือถือยังนับเป็นงูดินเจ้าที่ๆตัวใหญ่หน่อย..”

 

“ตระกูลอี้แลดูจะอ่อนด้อยกว่าพวกมันหลายส่วน…”

 

เมื่อรวมภาพเรื่องราวที่เขาแลเห็นในเมือง กับข้อมูลที่รวบรวมได้จากเสี่ยวเอ้อ กระทั่งได้พบเจอโอวหยางหลัวกับอี้เทียนสิงมากับตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะสรุปความเป็นไป

 

นอกเหนือจากทำความเข้าใจเรื่องราวของขุมพลังดั่ง ‘งูดินเจ้าที่’ แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูของอย่างสนใจ ไม่นานก็พบร้านค้าที่ขายปากกาจารึก รวมถึงวัตถุดิบหายากมากมาย

 

การมายังเมืองหานเหอครั้งนี้ นอกเหนือจากผ่อนคลายแล้ว เขายังมีวัตถุประสงค์หลักอีก 2 อย่าง

 

หนึ่งคือซื้อหาปากกาจารึกอาคมของตัวเองสักด้าม

 

ประการที่ 2 ก็คือหาซื้อวัตถุดิบที่สามารถใช้ในการซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

หลังจากที่เดินดูของแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง ยังกล่าวถามเสี่ยวเอ้อเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ขายวัตถุดิบกับสิ่งของจำเป็น พอออกจากเหลาก็พลบค่ำแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไม่คิดจะไปไหนอีกวันนี้ก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักทันที

 

พอปิดประตูหน้าต่างห้องพักเรียบร้อยดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที จนได้เห็นผู้เฒ่าหั่วกำลังพักผ่อนสงบใจอยู่ที่ชั้นแรกของเจดีย์

 

ต้วนหลิงเทียนลองเรียกหาผู้เฒ่าหั่วอยู่สองสามรอบ ทว่าผู้เฒ่าหั่วก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร

 

‘ดูเหมือนการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จะลำบากผู้เฒ่าหั่วมิใช่น้อย…’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว

 

‘ไปดูชั้น 3 ของเจดีย์ก่อนแล้วกัน!’

 

ต้วนหลิงเทียนที่รอมานาน ในที่สุดก็ไม่ต้องรอสืบไป

 

ก่อนที่เขาจะออกจากภูเขาจิ่วฉีนั้น ผู้เฒ่าหั่วก็ได้ส่งเสียงผ่านปราณแท้ออกมาบอกเขาไว้ก่อนแล้ว ว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ถูกซ่อมแซมฟื้นฟูเสร็จสิ้น

 

หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันไม่เอื้อ เขาคงรีบแจ้นเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อชมดูตั้งแต่แรก!

 

หลังจากขึ้นมาถึงชั้น 2 ของเจดีย์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หยุดแต่อย่างไร เลือกที่จะเดินขึ้นชั้น 3 ต่อทันที

 

อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่บนบันไดทางขึ้นชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและย้อนมองมายังพื้นที่ชั้น 2 ‘ต่อไปชั้นนี้ก็คงว่างเปล่า…’

 

ด้วยสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงอัตราการไหลของเวลาที่ช้ากว่า ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดจะบ่มเพาะพลังที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกต่อไป

 

“ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!”

 

หลังจากขึ้นมาถึงชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือ ปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นในบรรยากาศ! มันช่างมหาศาลต่างจากชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติราวสวรรค์และโลก!

 

ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใจกลางพื้นที่มีศิลามหึมาตั้งอยู่

 

ศิลามหึมาที่ตั้งอยู่นั้น เรียกว่าหากนำไปตั้งไว้ที่โลกเก่าในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ก็นับว่าทำให้สนามฟุตบอลถึงกับแออัดขึ้นมาทันที!

 

ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าอะไรเหินร่างไปยังกึ่งกลางศิลาก้อนนั้นทันที เขาแลเห็นบางสิ่งปักเอาไว้ มันตั้งตระหง่านปานจะค้ำสวรรค์!

 

เป็นง้าวเล่มหนึ่ง!

 

“นี่น่ะเหรอ ง้าวเทวะสะท้าน ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้?”

 

เห็นง้าวเล่มนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

 

ง้าวเทวะสะท้าน เป็น 1 ใน 6 ยอดสมบัติสวรรค์ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในแง่ของพลังอำนาจแล้ว อันดับของมันยังอยู่เหนือกว่ากระบี่นิลสวรรค์ที่ปักอยู่ในชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติเสียอีก!

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเขาคงไม่มีปัญญาใช้ง้าวเล่มนี้ได้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขอลองหยิบยกมันสักที!

 

อนิจจาแม้จะเร่งเร้าพลังสุดตัวจนหน้าดำคร่ำเครียด แต่ง้าวเทวะสะท้านก็แน่นิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย…

 

“โอย…ไม่รู้ชาติไหนข้าถึงจะใช้ยอดสมบัติสวรรค์พวกนี้ได้”

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม

 

ผู้ใดในหล้ายังเข้าใจความรู้สึกเขาได้?

 

เกาทัณฑ์ดับตะวันนั้น แม้จะเคยเป็นยอดสมบัติสวรรค์ แต่มันก็เสียหายไปแล้ว พลังอำนาจของมันไม่อาจเทียบได้แม้แต่ยอดสมบัติสวรรค์ที่มีพลังอำนาจน้อยที่สุด

 

ขณะเดียวกันยอดสมบัติสวรรค์ที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างกระบี่นิลสวรรค์ กับง้าวเทวะสะท้านในชั้น 3 นั้น มันคือยอดสมบัติสวรรค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ พลังอำนาจของมันสุดที่เขาจะจินตนาการได้!

 

‘จากคำกล่าวของผู้เฒ่าหั่ว หากวันใดที่ข้าสามารถกวัดแกว่งยอดสมบัติสวรรค์ 1 ใน 6 ชิ้นนี้ได้ด้วยพลังของตัวเอง ข้าก็เสมือนผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า!’

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งบังเกิดรสขมปร่าขึ้นมา

 

แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะความแข็งแกร่งของเขาดันอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนไม่อาจแม้แต่จะขยับยอดสมบัติสวรรค์เหล่านี้ได้…

 

หนึ่งคืนที่ผันผ่านไปด้านนอก ภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ผ่านไปถึง 2 วันครึ่ง

 

เวลา 2 วันครึ่งก็มากพอที่จะทำให้ด่านพลังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียนมั่นคง

 

เมื่ออรุณรุ่งของอีกวันมาเยือน ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

หลังจากที่แช่น้ำร้อนในถังอย่างผ่อนคลายจนสดชื่นสบายตัว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก

 

หลังออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปเลือกซื้อหาปากกาจารึกที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

 

‘ปากกาจารึกนี่แพงจริงๆ! เป็นแค่ปากกาจารึกระดับ 3 ดาวแท้ๆ แต่ข้าต้องจ่ายถึง 100,000 หินเซียนระดับ 7!’

 

หลังจากที่หมุนปากกาจารึกเล่นในมือรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าตึง..

 

หลังจากที่ซื้อปากกาจารึกเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูวัตถุดิบต่างๆในตลาด และใช้เวลาเดินวนเวียนอยู่ในตลาดทั้งวัน

 

‘น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าหั่วยังไม่ฟื้น…ไม่งั้นจะได้ให้ท่านดูชมว่ามีวัตถุดิบอันไหนที่ใช้ซ่อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง’

 

ตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้อะไรเลย เขาพบวัตถุดิบ 2 ชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกลักษณะของมันให้เขาทราบไว้คร่าวๆ

 

ช่วงเย็นตอนที่เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่เขาพัก ก็พบว่ามีคนมารอเขาอยู่

 

“คุณชายท่านนี้ ข้าคือพ่อบ้านของตระกูลโอวหยาง ท่านผู้นำของเราคิดเรียนเชิญท่านไปเยือนตระกูลโอวหยาง”

 

ผู้ที่มารอพบต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นชายชราคนหนึ่ง

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกติดใจอยู่บ้าง…พลังฝึมือของชายชราผู้นี้ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงเลย

 

และผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วจะเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ

 

มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นกลาง…