เงาร่างคนบนอสูรเกราะทมิฬ หากพิจารณาท่อนบนให้ละเอียดแล้ว คาดไม่ถึงว่ามีผิวหนังสีม่วงอ่อน เป็นสตรีที่มีดวงตาสองข้างเป็นสีดำเขียว

 

 

ทุกคนล้วนไว้ผมยาวและสวมผ้าคลุมไหล่ สวมเกราะสงครามสีดำ ในมือถือมีดอาวุธสีดำสนิทรูปทรงต่างๆ เครื่องหน้าแววตาสดใสงดงาม

 

 

ครั้นเมื่ออสูรเกราะทมิฬหยุดชะงักสตรีพลันทยอยกันกระโดดลงมาจากหลังอสูร เผยเรือนร่างทั่วสรรพางค์กายออกมา รูม่านตาของหานลี่ที่มองไปยังผลึกลูกบอลพลันหดเล็กลง!

 

 

ตั้งแต่บั้นเอวลงไปของสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นตะขาบ!

 

 

เท้าเล็กๆ ยี่สิบสามสิบข้าง ประกอบกับร่างกายสตรีท่อนบน แม้ว่าหานลี่จะเห็นแล้วก็ยังอดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้ สั่นสะท้านเล็กน้อย

 

 

แต่สตรีชนต่างเผ่าเหล่านี้ดูเหมือนจะฝึกฝนมาอย่างคล่องแคล่ว ชั่วครู่ก็เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ

 

 

สตรีชนต่างเผ่าที่ดูมีฐานะหน่อยคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว เมื่อมาอยู่ตรงหน้าคนอื่นๆ ก็มองไปยังกำแพงหิน ฉับพลันนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ริมฝีปากฉีกจนขึ้นไปถึงใบหู เผยฟันแหลมคมเต็มปากออกมา และยังแลบลิ้นเรียวบางราวกับลิ้นงูออกมา

 

 

ใบหน้าของหญิงสาวที่สดใสและงดงามเปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยมในพริบตา ภายใต้ความแตกต่างนี้ หากคนขวัญอ่อนเห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก ก็อาจจะเป็นลมล้มพับลงไปได้

 

 

แม้นว่าหานลี่จะไม่เป็นถึงเพียงนั้น แต่ก็ตกใจเช่นกัน มุมปากกระตุกไปเล็กน้อย

 

 

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นฉากนี้

 

 

ใบหน้าของหญิงสาวอึมครึม มนุษย์อสรพิษของเผ่าเพลิงอาทิตย์ที่เหลือกลับเงียบสงัด ทุกคนล้วนเผยสีหน้าประหวั่นออกมา

 

 

“หึ ต่อให้เป็นเผ่าตาข่ายทมิฬแล้วอย่างไร? ก็แค่พวกกากเดนเท่านั้น ตอนนั้นเผ่าตระกูลวาของพวกเรากำจัดพวกมันไปจนเกลี้ยงแล้ว เวลานี้พวกเราก็ทำได้เช่นเดิม สาเหตุที่อีกสองเผ่าถูกกำจัดนั้น เป็นเพราะถูกพวกมันลอบโจมตี ในเมื่อเราเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว เผ่าเรายังต้องหวาดกลัวเจ้าพวกที่เอาชีวิตมาได้จากความตายอีกหรือ?” ฮูหยินแค่นเสียงเฮอะ สะบัดแขนเสื้อไปทางผลึกลูกบอลวารี

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เพลิงลำแสงรอบผลึกลูกบอลหายวับไป ทั้งเขตอาคมหยุดเคลื่อนไหว ภาพวาดทั้งหมดหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา

 

 

มนุษย์อสรพิษชุดขาวคนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ พลันมีสีหน้าฮึกเหิม น้อมกายลงเอ่ยตอบรับพร้อมกัน ความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาหายวับไปกว่าครึ่ง กลายเป็นสีหน้าฮึกเหิมมีกำลังใจ

 

 

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี มุมปากเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา

 

 

เมื่อครู่ฮูหยินดูเหมือนว่าจะแค่นเสียงเฮอะธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับใช้เคล็ดวิชาลับของพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์

 

 

แม้ว่าเคล็ดวิชาลับชนิดนี้จะลึกลับพิศวง แต่สำหรับเขาที่ฝึกฝนคาถาขับเคลื่อนแล้ว กลับพบได้อย่างง่ายดาย

 

 

มิเช่นนั้นปุโรหิตระดับต่ำเหล่านี้ ไหนเลยจะถูกปลุกเร้ากำลังใจได้อย่างง่ายดายปานนั้น

 

 

“ในเมื่อรู้ว่าศัตรูเป็นใครก็จัดการง่ายแล้ว พวกเจ้าแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม แยกกันไปตรวจสอบการรบที่ประตูเมืองทั้งสี่ หากพบกับปุโรหิตของเผ่าตาข่ายทมิฬ จะต้องจับเอาไว้ให้ได้ หากมีผู้ที่บังอาจอยากถอยในเวลานี้ ก็ลงโทษตามกฎของเผ่าเสีย!” ฮูหยินหยัดกายลุกขึ้น แล้วออกคำสั่งอย่างเข้มงวด

 

 

มนุษย์อสรพิษทั้งสองฝั่งพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม ล้วนค้อมตัวคารวะพลางตอบรับคำสั่ง จากนั้นก็ดำเนินการตามแผนเดิมที่วางไว้ แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มเดินออกไปจากวิหาร

 

 

ชั่วพริบตาในวิหารจึงเหลือเพียงฮูหยิน หญิงสาว รวมทั้งหานลี่ และมนุษย์อสรพิษอีกสี่คน

 

 

มนุษย์อสรพิษทั้งสี่คนนี้อายุอานามไม่น้อย ล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมรวมขั้นต้น นับว่าเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์เป็นอันดับสองของเผ่ารองจากฮูหยิน

 

 

หานลี่แค่กวาดตาไปยังมนุษย์อสรพิษทั้งสี่คนวูบหนึ่ง แล้วชักสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ฮูหยินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันหน้าไป เอ่ยอะไรสักอย่างกับหานลี่

 

 

แต่ในครานั้นพลันมีเสียงอึกทึกเลื่อนลั่นดังขึ้นรอบด้าน เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินเริ่มสั่นเทาอย่างหนักอีกครั้ง

 

 

“เริ่มโจมตีเมืองแล้ว!” ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

“อันใด สหายหั่วไม่อยากออกไปหรือ?” หานลี่กลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ยถาม

 

 

“ไม่จำเป็นต้องออกไป หากเดาไม่ผิดละก็ ชนชั้นสูงของเผ่าตาข่ายทมิฬจะเป็นฝ่ายตามหาที่นี่เอง” ฮูหยินกลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย

 

 

“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” หานลี่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

 

 

“ตระกูลวาของพวกเราและตระกูลตาข่ายทมิฬเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน จึงรู้นิสัยของพวกมันอยู่บ้าง แม้นว่าจะเปิดเขตอาคมทั้งหมด แต่กว่าครึ่งคงไม่อาจต้านทานผู้วิเศษที่แท้จริงของเผ่านั้นได้ พวกมันเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลับการอำพรางกาย คราที่โจมตีศัตรูก็ชอบสังหารผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นค่อยสังหารชนชั้นล่างของคู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น” ฮูหยินฝืนฉีกยิ้มอธิบายขึ้น

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

 

 

หานลี่ลูบใต้คางไปมา เผยสีหน้าขบคิดออกมา แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา เอ่ยประโยคที่ทำให้ฮูหยินและพวกหน้าเปลี่ยนสีออกมา

 

 

“เช่นนั้น สหายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง ก็ไม่ใช่ผู้ช่วยที่สหายหั่ววางเอาไว้ก่อนหน้าสินะ เช่นนั้นข้าขอเชิญเขาออกมาเป็นอย่างไร?”

 

 

“อะไรนะ พวกมันมาแล้ว!” ฮูหยินร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง

 

 

แต่สตรีผู้นี้เพิ่งเปล่งคำพูด ฉับพลันนั้นหานลี่พลันใช้มือหนึ่งกวักไปทางเสาไม้ในบริเวณนั้น

 

 

ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีสันแวววาวข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ตะปบเสาต้นนั้นเอาไว้แน่น

 

 

เสียง ตู้ม ดังขึ้น!

 

 

มือยักษ์ยังไม่ทันได้ตะปบแน่น ในเสาพลันมีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วอยู่ห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสายนี้กลายเป็นเผ่าตาข่ายทมิฬคนหนึ่ง

 

 

ฮูหยินและเหล่าคนของเผ่าเพลิงอาทิตย์เห็นชาวตาข่ายทมิฬผู้นี้ ชั่วขณะนั้นพลันตั้งท่าเตรียมการป้องกันด้วยความตกตะลึง

 

 

ฮูหยินพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีกระบองสั้นสีแดงสดกระบองหนึ่งปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าทำมาจากหิน!

 

 

มนุษย์อสรพิษสวมชุดขาวอีกสี่คนที่เหลือพลันโบกมือ ในมือมีมีดยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น เปล่งแสงเย็นยะเยือก ราวกับอสรพิษน้อยสีเงินกำลังสะบัดหัวสะบัดหางไปมา

 

 

สองมือของหญิงสาวเริ่มรางเลือน คันธนูแกร่งสีเหลืองบนแผ่นหลังมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ลูกธนูกระดูกสีขาวดอกหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบวางอยู่บนนั้น

 

 

ชาวตาข่ายทมิฬที่ถูกหานลี่บีบออกมา มีผิวสีม่วงอ่อน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นสีเงินแวววาว ขับให้ใบหน้าน่าเอ็นดูของเขาดูลึกลับขึ้นสองสามส่วน

 

 

มันกำลังจ้องเขม็งมายังหานลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่สนใจการเคลื่อนไหวของฮูหยินและพวก ปากพลันเอ่ยอย่างเย็นเยียบออกมา

 

 

“กลิ่นอายของเจ้าแปลกพิกล ไม่ใช่คนของเผ่าตระกูลวา เป็นคนของเผ่าใด! มองเคล็ดวิชาอำพรางกายของข้าออก เป็นเผ่า‘ดวงตาสีขาว’หรือว่าเผ่า ‘พันฝัน’

 

 

เห็นได้ชัดว่าชาวตาข่ายทมิฬผู้นี้เข้าใจผิดว่าหานลี่คือคนของสองชนต่างเผ่าที่มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี

 

 

หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยปากอะไร กลับกวาดสายตาไปยังเงาทะมึนตรงมุมหนึ่งของวิหาร นิ้วหนึ่งชี้ไปตรงนั้นโดยไม่ปริปาก

 

 

เสียง พรึ่บ ดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า เปล่งแสงเจิดจ้าแล้วไปถึงเงาทะมึน พลางสับลงไป

 

 

เสียงดังขึ้นเบาๆ เงาทะมึนมีลำแสงดำสนิทสายหนึ่งพุ่งออกมา ชั่วขณะนั้นพลันตัดสลับกันกับกระบี่เล่มเล็ก ในเวลาเดียวกันเงาสายหนึ่งพลันลอยขึ้นจากเงาทะมึน

 

 

รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสีเขียวออกมา กระบี่ลำแสงทำให้ลำแสงสีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาหาเงาสีดำที่ปรากฏขึ้นมา

 

 

ความเร็วนี้มากกว่าครั้งก่อนสองสามเท่า

 

 

เงาสีดำที่ทะลักออกมาถูกความเร็วของลำแสงสีเขียวทำให้ประหลาดใจ แต่มันก็ไม่ธรรมดา ร่างกายบิดเบี้ยว แล้วกลายเป็นเส้นไหมสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป

 

 

แค่พลิ้วไหวคราหนึ่ง เส้นไหมสีดำพลันปรากฏห่างออกไปสิบจั้ง

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ กระบี่เล่มเล็กแค่พลิ้วไหว พลันกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เส้นไหมสีดำที่เดิมทีหยุดชะงักคิดจะหยุดลง เห็นเส้นไหมสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่เบื้องหน้าของตนเอง ก็ตะลึงงันพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง

 

 

พริบตานั้นเสียง ฟิ้วๆ พลันดังแหวกอากาศขึ้น!

 

 

ลำแสงสีเขียวและสีดำ หนึ่งวิ่งหนีหนึ่งไล่ตาม จนกะพริบวาบเลือนๆ ไปทั่วทั้งวิหาร

 

 

เห็นเพียงก่อนหน้านี้เส้นไหมลำแสงทั้งสองยังอยู่อีกฝั่งของวิหาร ครู่ต่อมาก็มาปรากฏที่อีกฝั่งของวิหาร

 

 

ความเร็วของทั้งสอง แค่มองก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตาค้าง!

 

 

ฉับพลันนั้นเส้นไหมสีดำเบื้องหน้าพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเจ็ดแปดสายที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หานลี่เลิกคิ้ว มือหนึ่งกวักออกไป เส้นไหมสีเขียวหยุดชะงัก พุ่งกลับมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ พลันกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กเล่มหนึ่งจมหายเข้าไปในร่าง

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของหานลี่ล้วนเยือกเย็น ราวกับว่าไม่กินแรงเลยแม้แต่น้อย

 

 

เส้นไหมสีดำที่แยกกันพุ่งออกไป หมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศในวิหารแล้วรวมตัวกันเป็นเส้นเดียวอีกครั้ง

 

 

จากนั้นลำแสงสีดำพลันสว่างวาบ ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีทองอ่อนคนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น

 

 

แต่แค่สตรีผู้นี้จ้องเขม็งไปมายังหานลี่อย่างโหดเ**้ยม เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

 

เมื่อเห็นดวงตาสีทองของสตรีผู้นั้น ร่างของฮูหยินพลันสั่นสะท้าน

 

 

“ดวงตาสีทองเงิน นั่นคือสัญลักษณ์ของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ! มหาปุโรหิตอีกสองเผ่าที่เหลือล้วนถูกพวกเจ้าสังหารสินะ!”

 

 

เอ่ยจบนนางพลันจ้องเขม็งไปยังชาวเผ่าทมิฬอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

 

“เฮอะ นับว่าเจ้าตามีแววอยู่บ้าง แต่ในเมื่อพวกเราลงมือเองแล้ว ดวงชะตาของเผ่าเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว” ชาวตาข่ายทมิฬตาสีทองเหลือบตามองวูบหนึ่ง ปากพลันเอ่ยด้วยเสียงแหลมสูงออกมา

 

 

เวลานี้ร่างของชาวตาข่ายทมิฬที่ปรากฏขึ้นคนแรกพลันพลิ้วกาย หายวับไปราวกับภูตผี ครู่ต่อมาพลันปรากฏขึ้นข้างกายชาวตาข่ายทมิฬตาสีทอง และยืนเคียงไหล่กัน

 

 

หานลี่มองสตรีทั้งสอง ดวงตาทั้งสองกลับหรี่ลงเล็กน้อย

 

 

บนร่างของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองมีลำแสงวิญญาณประหลาดปกคลุมอยู่ จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขาคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองออกได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังยุทธ์ลึกล้ำแค่ไหน

 

 

ดูแล้วอีกฝ่ายจะต้องมีสมบัติป้องกันตัว แค่ไม่รู้ว่าคือสมบัติชนิดใด!

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่กลับไม่ได้มีเจตนาจะลงมือในทันที

 

 

ฮูหยินที่อยู่ด้านข้างดวงตาเปล่งประกายสองสามครั้ง ยังไม่ทันใดได้เอ่ยอะไร หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันยกคันธนูสีเหลืองในมือขึ้นง้าง ปล่อยลูกธนูกระดูกในมือออกไปอีกครั้ง

 

 

เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น ลูกธนูลำแสงสีเหลืองและขาวสองสีสายหนึ่งพุ่งออกไป ทันใดนั้นพลันสั่นเทา ชั่วขณะนั้นทั่วท้องฟ้าพลันดูเหมือนเต็มไปด้วยลูกธนูสีเหลืองอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่ก็ปกคลุมชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามเอาไว้

 

 

ในความคิดของไป๋จูเอ๋อร์ผู้นี้ ถึงอย่างไรเสียสงครามครั้งนี้ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แน่นอนว่าจึงไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามไร้สาระอะไร ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ

 

 

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นพลันกัดฟันกรอด ขยับกระบองสั้นสีแดงในมืออย่างปล่อยเลยตามเลย กลายเป็นอสรพิษเพลิงสายหนึ่งพุ่งออกจากมือไป

 

 

มนุษย์อสรพิษชุดขาวอีกสี่คนมองสบตากันวูบหนึ่ง กวัดแกว่งมีดยาวสีเงินในมือ มีดลำแสงสีเงินสายแล้วสายเล่าสับออกไปอย่างดุดัน

 

 

ครานั้นเหล่าคนเผ่าเพลิงอาทิตย์พลันร่วมมือกันทำการโจมตี

 

 

ภายใต้ลำแสงหลากสีสันที่กำลังพัวพันกันไปมานั้น ชั่วพริบตานั้นดูเหมือนว่าจะห่อหุ้มชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองเอาไว้

 

 

แต่สตรีทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างบ้าคลั่งนั้น กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งระเบิดออกไป

 

 

พวกมันกลายเป็นรัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่ม หมุนคว้างอยู่ตรงหน้าสตรีทั้งสองด้วยความรวดเร็ว