หิมะของเมืองครึ่งยังคงตกหนักหลายวันเช่นเดิมเหมือนทุกๆ ปีแต่นั่นไม่ได้มีผลต่อคนที่นี่ทุกคนยังคงใช้ชีวิตกันปกติจนบางทีหลายคนอย่างเช่นลูกค้าในร้านฟางฉีเองนั้นไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นสักเท่าไร บรรยากาศน่านอนอะไรเช่นนี้
หลังจากที่ฟางฉีแสดงเทคนิคระดับสูงและบทของตัวละครที่สนุกชวนตื่นเต้นเกือบทุกชนิดแล้ว ลูกค้าเองก็ยังไม่มีหัวข้อการสนทนาในเรื่องใหม่ประจำวันกันสักเรื่อง เห็นได้ชัดว่าวันนี้เงียบเหงาเล็กน้อยแม้ว่าคนในร้านจะคับคลั่งเหมือนปกติก็ตาม
ยือหยันและสาวกคนอื่นๆ จากหนานหัวถือชานมพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาที่นั่ง ในฐานะลูกค้าเก่าขาประจำของเมืองครึ่งที่ถูกแนะนำโดยหลิวหนิงหยุนพวกเขาทักจะเดินตามรอยเท้าของเจ้าของร้านและเล่นสิ่งใหม่ที่สุดในร้านก่อนเสมอ
ในไม่ช้าผู้อาวุโสและสาวกของหนานหัวก็จับจองที่นั่งเรียงกันเป็นแถวพร้อมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ก็ถ้วยชานมในมือ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเปิดเข้าเกมเดวิลเมครายสาม
“ท่านอาจารย์! เมื่อวานข้าคิดหนักทั้งวันเรื่องคอมโบ!” ยือหยันพูดขณะเปิดเกม “ข้ารู้สึกว่ามันมีพลังมากกว่าที่ได้เห็นจากเจ้าของร้าน!” เธอพูดอย่างตื่นเต้น
“จริงหรอ? เจ้าพูดจริง? แล้วเจ้าคอมโบมันได้หรือไม่?” โมเซียนเงยหน้าขึ้นมองยือหยัน “อาจารย์ของเราไม่ใช่คอมโบ ท่านกำลังศึกษารูปแบบของรอยัลการ์ดตั้งแต่เมื่อวานและวันนี้ก็คงจะทำเช่นนั้นต่อไป”
“โอ้ ..” ยือหยันหันไปอีกทั้ง “อาจารย์ป้าซุย! ท่านอยากเห็นท่าคอมโบใหม่ของข้ามั้ย!?”
…
ที่สำนักซวนซงและยูซุตอนนี้ช่างแตกต่างจากร้านต้นกำเนิดอินเตอร์คาเฟ่โดยสิ้นเชิงที่นั่นสงบ แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกรบกวน
ตามม้วนเอกสารโบราณในสามกลุ่มนักบวชนอกเหนือจากทวีปอันยิ่งใหญ่นี้ยังมีเกาะสวรรค์ที่อยู่ห่างออกไปในทะเลนอกทวีป ที่นั่นมีผู้ฝึกฝนและประเทศเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ข้างนอกนั่นมีความเสี่ยงและอันตรายจำนวนมากที่คาดไม่ถึงมาก่อน เนื่องจากมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ผู้ฝึกฝนส่วนมากจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับผู้ฝึกฝนบนทวีปใหญ่ๆ อย่างคนในประเทศนี้สักเท่าไร พวกเขาล้วนมีระบบระเบียบการปกครองของตัวเอง
เป็นที่แน่ชัดว่าปรมาจารย์บรรพบุรุษบางคนได้ฝ่าฟันเสี่ยงชีวิตเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมามากมายในที่สุดพวกเขาก็ล่องลอยไปยังดินเเดนเเห่งนั้นซึ่งที่นั่นประกอบไปด้วยทะเลและมีหมู่เกาะกระจัดกระจายอยู่จำนวนไม่น้อย
นอกจากนี้บันทึกของนักบวชสามประตูยังมีการกล่าวไว้ว่าดินแดนแห่งนั้นถูกบันทึกไว้ว่ามันเป็นโลกแห่งการฝึกฝนที่ใหญ่พอๆกับพระราชวังอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือเป็นที่ๆ นักบวชทั้งสามประตูรู้กัน
นอกจากนี้พวกเขายังรู้อีกว่าโลกแห่งการฝึกฝนที่นั่นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขาและยังพบว่ามันมีช่องว่างแต่มันก็ไม่ได้เป็นผลต่อความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองโลก
เมื่อพันปีก่อนพวกเขาได้รับข้อมูลว่าโลกแห่งการฝึกฝนแห่งอื่นเกือบจะถูกทำลายจากหายนะของปีศาจแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นกลับคืนมา เหลือเชื่อว่านักบวชทั้งสามประตูใช้เวลาเพียงพันปีเพื่อรื้อฟื้นให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ตามม้วนเอกสารโบราณยังมีการบันทึกต่ออีกว่าการอาศัยอยู่ในดินแดนอมตะคนที่นี่เรียกบริเวณนั้นว่า ‘ดินแดนทะเลทราย’ พวกเขาสร้างเทเลพอร์ตที่จะนำพาไปสู่โลกแห่งการฝึกฝนซึ่งมันจะพาไปสู่โลกแห่งการฝึกฝนของพวกเขา
ว่ากันว่าในโลกแห่งการฝึกฝนลึกลับนั้นมีภูเขาแห่งจิตวิญญาณมีดินที่อุดมสมบูรณ์พืชและดอกไม้ที่สวยงามแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน ที่นั่นไม่เพียงจะมีแต่มนุษย์เท่านั้นแต่ยังมีปีศาจด้วยเช่นกัน
ผู้คนต่างคิดว่านักบวชทั้งสามประตูนั้นสามารถเอาชนะกลุ่มอื่นๆโดยไม่ต้องต่อสู้ไม่มีเทคนิคหารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงมีเหตุผลอีกประการหนึ่งคือพวกเขานั้นสามารถเข้าถึงอาณาจักรแห่งการฝึกฝนและเคยติดต่อกับผู้ฝึกฝนที่อยู่ห่างไกลแถมยังได้รับประโยชน์มหาศาล
นี่เป็นเทเลพอร์ตจิตวิญญาณที่เดียวที่จะนำไปสู่สถานที่นอกขอบเขตของดินแดนทะเลทรายอย่างไรก็ตามนานมากแล้วที่มันไม่ได้ใช้งาน ดูเหมือนว่ามันจะถูกทำลายจากปลายอีกด้าน ซึ่งเป็นผลให้ภูมิภาคที่อยู่เหนือขอบเขตของดินแดนทะเลทรายกลายเป็นตำนานในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับสูง หากไม่ใช่เพราะภัยพิบัติในกลุ่มไทชิพวกเขาน่าจะยังคงยึดถือมันเป็นตำนาน หลายปีแล้วที่สาวกและผู้อาวุโสหายตัวไปอีกปลายหนึ่งไม่เคยกลับมา
ใครจะไปรู้ว่ายังมีอีกโลกหนึ่งอยู่หรือไม่กันแน่ ..
เทเลพอร์ตปลายทางนั้นได้ถูพบข้างแม่น้ำอันเหยียดยาว เวลาผ่านไปมันได้ถูกย้ายไปที่อื่นเพื่อทำการศึกษา
หากอาคารที่เก็บม้วนเอกสารโบราณเหล่านี้ถูกไฟไหม้ไป วันหนึ่งผู้คนคงจะลืมเลื่อนประวัติศาสตร์ที่ดูไร้ประโยชน์สิ้นในไม่ช้าคนในยุคนั้นคงจะหายไปพร้อมกับกาลเวลา
“หลงหยวน, วันหยิน พวกเจ้าเป็นสาวกที่มีความสามารถมากที่สุดในซวนซงและยูซุ กลุ่มไทชิได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงตกอยู่ในภาวะวิกฤติและมีปัญหามากมายในมือเราซึ่งเป็นสาเหตุที่เรามอบงานนี้ให้พวกเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง” อาจารย์ชุดขาวของยูซุพูดขึ้นช้าๆ
“การตรวจสอบของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายชราชุดม่วงจากสำนักซวนซงจ้องที่หลี่หลงหยวนและหิววันหยินเขาเอ่ยถามอย่างรวบรัด “พวกเขาเกี่ยวข้องกับผู้คนในม้วนเอกสารโบราณของเราหรือไม่? พวกเขาทำให้พวกเจ้าทำงานยากหรือเปล่า?”
“ไม่ พวกเขาไม่ได้ทำ” หลี่หลงหยวนตอบ “แต่สิ่งต่างๆ ในร้านนี้ช่างแปลกและน่าทึ้งแถมพวกเขายังมีของกินอร่อยๆ มากมายอย่างชานมแท่งไม้รสเผ็ด ..”
ในไม่ช้าสาวกทั้งสองคนก็เริ่มเล่าเรื่องเกมของว่างระหว่างวันและประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับ
“เกมใหม่ล่าสุดและเป็นที่นิยมที่สุดของพวกเขาในตอนนี้คือเดวิลเมครายสาม เกมนี้มีการทดสอบที่ยากสำหรับการควบคุมทักษะ แม้ว่าเกมส่วนใหญ่จะเน้นไปที่นักรบแต่ผู้ฝึกฝนก็สามารถเล่นได้เช่นกัน” หลี่หลงหยวนพูดขณะที่สาธิตเทคนิคดาบอันชั่วร้ายพร้อมคอมโบ คนในห้องโถ่งส่วนใหญ่คิดว่ามันดูดีมาก
อาจารย์สองทั้งสองสำนักสูญเสียคำพูดไป
…
รายงานและการสาธิตของพวกเขาใช้เวลาคนละเกือบครึ่งวัน หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วอาจารย์ทั้งสองคนมองหน้ากัน “เจ้าได้อะไรจากการรายงานของพวกเขา?”
“กฏแห่งเวลา”
สี่พยางค์นี้ทำให้พวกเขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
…
มีปีศาจในโลกนี้
ในขณะที่มนุษย์มักจะมีการฝึกฝนที่น้อยกว่าล้าไปไปร้อยกว่าปี ส่วนปีศาจนั้นจะใช้การฝึกฝนอย่างน้อยร้อยปี ยกเว้นเหล่าสมาชิกราชวงศ์ของเผ่าปีศาจพวกเขาต้องฝึกฝนมานานก่อนที่จะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์
ปีศาจใช้เวลานานกว่านี้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับมนุษย์ ในทำนองเดียวกันเผ่าปีศาจนั้นทรงพลังมากนอกจากนี้พวกเขายังมีปัญหาที่แหลมคมไม่แพ้มนุษย์
เมื่อใดก็ตามที่ปรมาจารย์ผู้ทรงอำนาจลุกขึ้นมันก็จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เผ่าพันปีศาจ แต่แน่นอนความมั่งคั่งของกลุ่มปีศาจนั้นต่ำกว่ามนุษย์มาก
ปีศาจเป็นเหมือนฤๅษีในภูเขาแห่งจิตวิญญาณพวกเขามีความสุขกับชีวิตในถ้ำที่พำนักและเอ้อระเหยไปกับการใช้ชีวิตไม่แพ้มนุษย์
ส่วนมนุษย์มักอาศัยอยู่ในความเจริญรุ่งเรืองและความหรูหราในขณะที่ปีศาจชอบภาพที่สวยงามในธรรมชาติ อย่างไรก็ตามปีศาจบางตนเองก็ชอบความเจริญรุ่งเรืองในเมืองมนุษย์หลังจากได้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ท้องฟ้าอันมืดมิด เราไม่รู้เลยว่าพายุจะเกิดขึ้นตอนไหนเวลาใด
ชายผู้หนึ่งปรากฎตัวขึ้นท่าทางของเขาดูสง่าผ่าเผยเขาอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินพร้อมด้วยลวดลายปีกสีทอง เขายืนอยู่บนคลื่นทะเลพร้อมหอกในมือ
เขาโบกคลื่นขึ้นลงราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนเรือและคลื่นสีดำที่ทะยานขึ้นแต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาได้เลย ในไม่ช้าสัตว์ทะเลขนาดใหญ่หลายตัวก็ปรากฎขึ้นมันโผล่ขึ้นมาจากก้นทะเลและพวกเขาก็เคารพชายคนนี้อย่างพร้อมเพรียงและไม่กล้าทำสิ่งใดโดยประมาท
พวกเขาดูอ่อนน้อมถ่อมตนตามธรรมชาติราวกับว่าชายคนนี้เป็นเจ้านายของพวกเขา
ด้วยเสียงที่ลึกล้ำดูเหมือนว่าเขากำลังถามอะไรบางอย่าง แต่มันไม่ได้เป็นภาษามนุษย์ปกติที่ใช้ในทวีป
ดวงตาที่ลึกซึ้งของเขาจ้องไปยังพื้นดินผืนใหญ่ที่แสนไกลออกไปมันไกลริบคล้ายว่ามันอยู่ที่ริมขอบฟ้า